CHAPTER 2
“กูโทรหามึงไม่ติดเลย”
ผมเดินเข้ามานั่งลงบนโซฟาหนังสีน้ำตาลที่ยาวและโค้งเป็นครึ่งวงกลม ภายในสถานบันเทิงย่านใจกลางเมือง ที่นี่มีพี่เอ็กซ์เป็นเจ้าของ เวลาเข้ามาก็จะได้ส่วนลดมากหน่อย
คนที่ทักผมเมื่อกี้ก็คือไอ้ปืน ผมมองหน้ามันนิ่ง ๆ ไม่ได้ตอบอะไร และรับแก้วเครื่องดื่มที่มีสาวสวยมานั่งชงให้ดื่ม ผมยิ้มบาง ๆ ให้เธอไปตามมารยาท อันที่จริงก็ไม่ต้องการหรอกนะ อยากชงดื่มเองมากกว่า ขี้เกียจยิ้มให้ใคร
“โทรศัพท์มึงพังหรือเปล่า” พี่ภูมิเอ่ยถาม ผมจึงส่ายหน้าเล็กน้อยให้เป็นคำตอบ
“ไม่พังแล้วทำไมโทรไม่ติดวะ กูโทรตั้งแต่เช้าละ” พี่ลมถาม
สงสัยจะโทรหาผมกันครบทุกคนเลยมั้ง ผมกระดกเครื่องดื่มสีอำพันเข้าปากไปอึกใหญ่ และจิ้มแหนมกระดูกอ่อนหมูเข้าปากตามไป ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าแต่ละคนกำลังมองผมอยู่ ก็ไม่เข้าใจว่ามองทำไม
“ไร?” ผมเอ่ยถามสั้น ๆ และคว้าแก้วเครื่องดื่มมากระดกดื่มอีกครั้ง แก้เขินที่ถูกจ้องมอง
“โทรศัพท์ไม่พังแล้วทำไมถึงโทรไม่ติด มึงปิดเครื่อง?” พี่ดินถาม
ทำไมทุกคนดูข้องใจกับโทรศัพท์มือถือของผมขนาดนี้ ผมเอาโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดให้ทุกคนเห็นว่าไม่ได้ปิดเครื่องสักหน่อย
“แล้วทำไมไม่ติดวะ” พี่เอ็กซ์ย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
“โทรมาทำไม” ผมไม่ตอบและเป็นฝ่ายถามกลับไป วันนี้ว่างไม่มีเรียนก็เลยไม่ต้องไปมหา’ลัย ผมก็นอนอยู่แต่ในห้องจะโทรมาทำไมนักหนาล่ะ มีอะไรก็เดินเข้ามาหาในบ้านซะก็จบแล้ว
“ก็จะย้ำว่าอย่าลืมนัดคืนนี้” พี่ลมตอบ
“สรุปว่าโทรศัพท์เป็นเชี่ยอะไรถึงโทรไม่ติด”
“ค้างจ่ายแล้วโดนตัด?”
ผมยังไม่ทันได้ตอบพี่เกมส์ ไอ้ปืนก็ถามแทรกขึ้นมา ไอ้นี่ก็คิดบ้า ๆ ว่าค้างจ่าย ก็บอกว่ารวยไง จะค้างเพื่อ? ไอ้พวกนี้นิ ถามอะไรไม่รู้เรื่อง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วกลั้นใจตอบกลับไป
“เครื่องบิน”
“งง เครื่องบินอะไรของมึง” พี่ดินเกาหัวตัวเองแกรก ๆ คนอื่น ๆ ก็ดูลุ้นกับคำตอบของผม จะมีก็แต่ไอ้กราฟและไอ้มาร์ชที่นั่งขำคิกคักกันอยู่สองคน
“เปิดโหมดเครื่องบินไว้”
พอผมตอบไปแบบนั้นผมก็นั่งเกร็งลุ้นว่าจะโดนด่าขนาดไหน แต่ไม่เลย… แต่ละคนนั่งอ้าปากค้าง มีแต่ไอ้เพื่อนรักทั้งสองที่ยังคงหัวเราะไม่เลิก
“ฮ่า ๆ ๆ ยังไม่ชินอีกเหรอที่ไอ้ไฟชอบเปิดโหมดเครื่องบินอะ” ไอ้กราฟหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมา
ทุกคนส่ายหน้าช้า ๆ ให้เป็นคำตอบ ที่จริงก็ควรชินนะ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เปิดโหมดเครื่องบิน เปิดโคตรจะบ่อย ชอบเปิดมานานแล้วด้วย เวลาที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็จะเปิดอยู่เป็นประจำแต่ส่วนมากเวลาที่เปิดคืออยู่ในบ้าน ถ้ามีอะไรก็มาเคาะห้องเรียกก็จบละ
“กูเหนื่อยใจกับมัน” พี่ลมส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหันหน้าหนี พอหันหน้าไปแล้วท่าทางของพี่ลมก็ดูแปลกไป ตอนแรกก็ทำหน้าตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นกระตุกยิ้ม
ก็คงจะเจอสาวที่ถูกใจ อีกสักครู่คงจะลุกไปหาตามสเต็ป
“มึงเห็นเหมือนกูปะ” พี่ลมถามพี่ดิน พี่ดินก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“ผมก็เห็น” ไอ้ภีมพูดขึ้นมา แล้วมันก็ยกยิ้ม
“มึงอยากรู้ปะไอ้ไฟ ว่าพวกกูเห็นอะไร” พี่ดินหันมาถาม
หัวคิ้วของผมย่นเข้าหากัน ก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้เข้าหาตัวเองด้วยความงง ผมต้องอยากรู้ด้วยเหรอ? ผมส่ายหน้าเล็กน้อยให้เป็นคำตอบ มาผับแบบนี้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างหรอก ยิ้ม ๆ กันแบบนี้ก็คือเห็นสาว ซึ่งก็คงสวยมาก ๆ เซ็กซี่มาก ๆ หรือไม่ก็พวกดารา ก็เห็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
เมื่อได้คำตอบจากผมสามคนนั้นก็ทำหน้าเอือมระอา อะไรของพวกมันวะ ผมแค่ไม่อยากรู้ทำไมต้องทำหน้าเอือมด้วย ไม่เข้าใจ…
“เอาเป็นว่ากูอยากบอก กูเห็นไอติม” ไอ้ภีมบอกกับผม มันยิ้มร่าได้ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉยแล้วเกาท้ายทอยตัวเองแรง ๆ ก่อนจะพูดต่อ “กูเหนื่อยใจกับไอ้ไฟ แม่งไม่คิดจะตกใจเลยมั้ง”
“มึงแกล้งทำหน้าตกใจทีซิไอ้ไฟ กูอยากเห็นหน้ามึงตอนตกใจ” ไอ้ปืนมองหน้าผมแล้วเอ่ยขึ้นมา
มุมปากของผมยกขึ้น แสยะยิ้มเล็กน้อย ก็คนไม่ตกใจจะให้ทำหน้าตกใจ มึงบ้าหรือเปล่า?
“ไอติมอะไอติม” ไอ้มาร์ชเอ่ย เหมือนพยายามบิลด์อารมณ์ให้ผมตกใจ
“ผับไม่มีไอติมขาย” ผมเอ่ยออกมา นี่หรือเปล่าที่ทุกคนกำลังสื่อ
“พ่อง!” พี่ดินพูดใส่หน้าผม ก็พ่อคนเดียวกันปะวะ พี่ลมก็คงคิดแบบผมอะถึงได้สะบัดฝ่ามือลงกลางกบาลพี่ดิน
“ไปตายไปไอ้ไฟ”
“ตายไม่ได้ ถ้ามันตายใครจะแข่งรถวะ” ไอ้กราฟหันไปพูดใส่หน้าไอ้ปืน
“ไอติมจริง ๆ ว่ะ กำลังเดินมาทางนี้แล้ว” พี่เกมส์เอ่ยขึ้นมา
ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ ไอติมเดินได้นี่มันไอติมของผมแล้ว ผมเกร็งจนนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปทางไหน ทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างพากันหัวเราะ
“เป็นบุญตาของกูที่ได้เห็นหน้าไอ้ไฟตอนตกใจ” พี่เอ็กซ์พูดจบก็กลั้วหัวเราะ ยังจะมาหัวเราะผมอีกนะ!
“ไอติม! จำเราได้เปล่า เราภีมไง”
ผมแทบหยุดหายใจที่ไอ้ภีมเรียกไอติมและยังชวนคุย ผมไม่กล้าที่จะหันไปทางข้างหลังที่ทุกคนกำลังมองไป ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ผ่านมากี่ปีก็ไม่พร้อม แค่รู้ว่าไอติมอยู่ใกล้ ๆ หัวใจก็เต้นโครมคราม สูญเสียความเป็นตัวเองโคตร ๆ หากต้องหันหน้าไปหาหรือคุยอะไรด้วย หัวใจอาจจะเด้งผ่านเนื้อหนังออกมาเต้นตุบ ๆ อยู่ข้างนอกแน่ ๆ ก็เวอร์ไปหน่อย ถ้าเป็นขนาดนั้นคือตายแล้ว!
แต่ทำไมถึงเงียบ… ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา ไอติมไม่คุยกับไอ้พวกนี้เหรอวะ ผมปรับลมหายใจให้เป็นปกติไม่หายใจแรงเหมือนเมื่อสักครู่ หัวคิ้วขยับย่นเข้าหากันอีกครั้งแล้วมองหน้าทีละคน
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” แต่ละคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
หัวเราะขนาดนี้แสดงว่าผมถูกแกงหม้อใหญ่แน่ ๆ ไอ้สัส! เล่นซะเกือบหยุดหายใจ ผมค่อย ๆ หันไปมองทางด้านหลัง
“ติม…” เสียงแผ่วเบาหลุดออกจากปากของผม คราวนี้แหละที่เรียกว่าเกือบหยุดหายใจของจริง