CHAPTER 1
สมาร์ตโฟนเครื่องหรูในมือของผมแสดงภาพหญิงสาวที่กำลังยกยิ้มที่มุมปากตามสไตล์ที่เธอชอบทำ คิ้วเรียวอยู่เหนือดวงตาที่ดูสวยเฉี่ยว จะว่าดูดุก็ดุ จะว่าน่ามองก็น่ามองจนไม่อาจละสายตาไปได้ จมูกของเธอโด่งรับกับใบหน้า ริมฝีปากบางน่าดูดดึงให้บวมเจ่อ เธออยู่ในชุดเดรสสั้นแนบลำตัว ผมยาวดัดลอนปกปิดเนื้อเนินอก ภาพของเธอถูกแชร์ว่อนโซเชียล ที่มาของภาพก็คือเพจสมาร์ตโฟนที่เธอไปทำหน้าที่เป็นพริตตี้อยู่นั่นเอง
ผมนั่งจ้องมองภาพนี้อยู่นานหลายนาที ก็อย่างที่ว่าดวงตาของเธอนั้นน่ามอง เมื่อมองไปแล้วก็ไม่สามารถละสายตาได้จริง ๆ ถ้าได้จ้องมองจากตัวเป็น ๆ คงต้องได้กอดคอรั้งตัวเธอเข้ามาชิดตัวผมและกดริมฝีปากเข้าที่ปากของเธอแน่ ๆ แต่จะทำอย่างนั้นคงไม่ได้ เพราะแค่จะเดินเข้าไปคุยด้วยสักครั้งยังไม่กล้า
มาถึงตรงนี้ภาพความทรงจำเมื่อตอนอยู่ ม.6 แล่นเข้ามาในสมองของผมทันที…
“ให้” คำพูดสั้น ๆ ของผมดังขึ้นมาพร้อม ๆ กับดอกกุหลาบช่อโตที่ผมตั้งใจเลือกมาเป็นพิเศษ ถูกยื่นไปตรงหน้าเธอ
เธอชะงักนิ่งไปแป๊บหนึ่ง แค่แป๊บเดียวจริง ๆ เธอก็เบือนหน้าหนีไป ผมรีบสาวเท้าก้าวไปยืนตรงหน้า หัวคิ้วของเธอก็ขยับย่นเข้าหากัน
“ให้” ผมพูดอีกครั้งพร้อมนำดอกไม้ช่อโตส่งไปตรงหน้า
มือเล็กยกขึ้นคล้ายจะรับไว้ ผมจึงยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ แต่แค่เสี้ยวนาทีรอยยิ้มบนใบหน้าก็ต้องเลือนหายไป พร้อม ๆ กับช่อดอกกุหลาบที่ตกลงบนพื้นคอนกรีตจากการถูกปัดอย่างไม่ไยดี
“ทำไม” ผมเอ่ยถาม รู้ตัวดีว่าทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของผมน่าจะสื่อออกมาถึงความผิดหวัง
ผิดหวังที่เธอไม่ยอมรับดอกไม้ช่อนี้ เพราะการที่เธอไม่รับก็ถือเป็นการจบความสัมพันธ์ บ่งบอกให้เข้าใจได้ว่าผมไม่ได้ไปต่อ…
“ไม่เอา” เธอตอบกลับแล้วหันหลังให้ เดินออกห่างจากผมไปเพียงไม่กี่เมตร เพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อม ๆ กับส่งช่อดอกไม้ให้
ซึ่งแน่นอนว่าเธอรับ…
นั่นคือการอกหักในครั้งแรกของชีวิต เคยคุยกันทุกวันแต่แปลกที่พอวาเลนไทน์ผมเอาดอกไม้ไปให้เธอกลับไม่รับ และปัดทิ้งอย่างไม่สนใจ
นึกอยากจะถามเอาคำตอบดี ๆ ให้ได้คลายความบอบช้ำ แต่ก็ไม่ถามเพราะกลัวว่าจะกลายเป็นซ้ำให้ต้องช้ำไปกันใหญ่ ปล่อยให้เรื่องราวเลือนหายไปจะดีกว่า
แต่ดอกไม้ช่อนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีคนให้ค่าหรอกนะ อย่างน้อยก็ยังมี ลูกเกด ที่ก้มเก็บมันขึ้นมาและปัดฝุ่นอย่างเบามือ
“ขอก็แล้วกันนะ วันนี้ยังไม่ได้เลย คิก ๆ” ลูกเกดพูดไปยิ้มไปทำให้ผมเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง แต่หัวใจก็ยังคงห่อเหี่ยวอยู่เหมือนเดิม
“อือ” ผมตอบรับสั้น ๆ แล้วเดินหนีออกไปหาเพื่อน
จากในตอนนั้นผมก็คุยกับเกดมากขึ้น ความสัมพันธ์ก็พัฒนามาเป็นแฟน แต่ก็ได้ไม่นานหรอกนะ ‘เราเข้ากันไม่ได้’ มันก็อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างที่ผมใช้ในการบอกเลิกเกด เพราะที่จริงแล้วในใจยังคงมีแต่เธอคนนั้น
“นี่มึงยังไม่เลิกดูรูปติมอีกเหรอวะ” ไอ้ภีมเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ผม มันเอ่ยถามก่อนจะยิ้มเยาะ
ติม ที่มันพูดถึง ก็คือไอติม เจ้าของรูปในมือถือที่ผมนั่งดูอยู่นาน
นอกจากไอ้ภีมจะเดินเข้ามาแล้ว เพื่อน ๆ ของผมก็พากันเดินเรียงแถวเข้ามากันครบ แล้วแยกย้ายกันนั่งประจำที่เดิม ๆ ของตัวเอง ต่างพากันหันมามองหน้าผม
“กูได้ยินไอ้ภีมบอกว่ามึงดูรูปไอติม” ไอ้มาร์ชเอ่ยขึ้นมา
“ทีเจอตัวจริงเสือกหลบหน้า” ไอ้กราฟพูดจบมันก็กระตุกยิ้มให้
“อ่อนฉิบหายเลยไอ้ไฟ” ไอ้ปืนพูดต่อ
พวกมันทั้ง 4 คน ต่างยกยิ้มและหันไปยักคิ้วให้กัน ท่าทางเยาะเย้ยผมอย่างเห็นได้ชัด พวกมันดูไม่เก็บอาการกันสักนิด ที่จริงต่อหน้าผมนี่มันควรจะแสดงสักหน่อย ให้ผมได้พอรู้สึกดี แต่ไม่เลย ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้มันมีหน้าที่ซ้ำเติม! ใครอย่าได้พลาดเชียว พวกมันพากันซ้ำอย่างเดียว
แต่ไม่ใช่ว่าพวกมันเลวหรอกนะ พวกมันดี ดีจริง ๆ ไม่งั้นคงไม่คบกันมานานแบบนี้หรอก จะเสียก็แค่คอยเยาะเย้ยในเรื่องความรักนี่แหละ ที่จริงมันก็แค่อยากให้ผมเดินหน้าเข้าหาไอติม หรือไม่ก็มูฟออนออกจากไอติม
แต่ผมก็ยังคงวนเวียนอยู่รอบไอติม ไม่สามารถเดินหน้าเข้าหาเพราะกลัวจะต้องอกหักเป็นครั้งที่สอง และไม่สามารถมูฟออนได้เพราะในใจก็ยังคงมีแต่ไอติม
“ไอติมไม่ได้คบกับไอ้แม็กซ์นะมึงรู้ยัง”
ได้ยินคำถามจากปากไอ้มาร์ชผมก็ตวัดสายตาดุใส่มัน ไอ้เวร! เรื่องนี้รู้ตั้งแต่จบ ม.6 แล้ว ยังจะเสือกเอามาถาม แม่งตั้งใจกวนตีนผมนั่นแหละ
“มองหน้ากูแบบนี้แสดงว่ามึงรู้แล้ว” ไอ้มาร์ชพูดต่อ คนอื่น ๆ ก็พากันนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คงจะฮาไปกับไอ้มาร์ชมันนั่นแหละ
“กวนตีน” ผมเอ่ยขึ้นมา หลังจากนั่งเงียบให้พวกมันแซวอยู่นาน
วันนั้นไอติมรับดอกไม้จากไอ้แม็กซ์ก็จริงแต่สุดท้ายก็ไม่ได้คบกัน คงจะไม่ถูกคอแหละมั้ง ที่ทุกคนรู้ก็เพราะไอ้แม็กซ์โพสต์พร่ำเพ้ออะไรของมันไม่รู้เยอะแยะไปหมด เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอน ม.6 จนปัจจุบันผมอยู่ปี3 แล้ว นานขนาดนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร
“ฮึ” ไอ้ภีมหัวเราะในลำคอแล้วโยนแผ่นกระดาษเอสี่ที่แสดงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการแข่งรถใส่ผม
ชื่อผู้จัดก็คือชื่อของพ่อไอ้ภีมมันนั่นเอง พ่อมันเป็นอดีต ส.ส. แต่นั่นก็นานมาแล้วอะนะ ภายหลังท่านหันมาเปิดโชว์รูมรถแบรนด์ดังที่จังหวัดในเขตปริมณฑลก็จังหวัดเดียวกับบ้านที่ผมอยู่นี่แหละ