ความเดิม- "ค่ะ ออ..คุณคงจะเป็นคนที่เซ้งร้านของเตี่ยไปใช่มั๊ยค่ะ คือฉั๊นจะขอเข้าไปในร้านหน่อย พอดีลืมสำคัญน่ะค่ะ" ณรรรดาเอ่ยขึ้นแต่แววตาเต็มไปด้วยคำขอร้อง
…………………………………
"อ่อ..ได้ซิครับ งั้นสักครู่ครับ ขอผมเปิดประตูก่อน" นวนนท์รีบล้วงกระเป๋าหากุญแจมาเปิดอย่างรวดเร็ว แล้วเข้าไปเปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วกลับออกมาเชื้อเชิญสาวเจ้าที่ยืนรออยู่ที่หน้าร้านอีกครั้ง
"เชิญครับ ตามสบายเลยนะครับ"
ด้านณรรรดายิ้มให้เจ้าของร้านคนใหม่อย่างเป็นมิตรพร้อมกับค้อมตัวให้แล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปที่เคาน์เตอร์แล้วเปิดลิ้นชักหยิบกล่องที่ลืมวางไว้ แล้วหันมายิ้มกับเจ้าของร้านอีกครั้ง
"ขอบคุณนะคะ ได้แล้วค่ะ งั้นดิฉันขอตัวกลับเลยนะคะ ต้องไปทำธุระต่อ" ณรรรดาเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วเดินออกจากร้านไป
ส่วนนวนนท์ได้แต่แปลกใจว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์หรือแม้แต่รถยนต์สักคันที่จอดบริเวณใกล้ ๆ ร้าน หญิงสาวผู้นี้มาที่นี่ได้ยังไง ชายหนุ่มรู้สึกแปลก ๆ มีลางสังหรณ์แบบไม่ค่อยดียังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก
{แย่แล้วป๋าเข่งต้องเฉ่งกุแน่ถ้าลูกสาวสุดที่รักของแกเป็นอะไรไป} เมื่อคิดได้ดังนั้น เขารีบปิดร้านอีกทีและจับมอร์เตอร์ไซค์คันหรูรีบบึ่งออกไปทันทีเขาเห็นหญิงสาวโบกแท็กซี่หวอย ๆ และขึ้นไปไม่นาน เขารีบจับรถมอร์เตอร์ไซค์ขับตามรถแท็กซี่คันนั้นไปติด ๆ จนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
นวนนท์หาที่จอดรถที่ค่อนข้างพลางตา เพราะเขาอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่สิ่งที่เขาเห็นมันทำให้เขาต้องรีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็ดหน้ากล้องทันที
ตัดมาที่ณรรรดา
"มีอะไรหรือน้องใบตองถึงได้นัดพี่มา เราคุยกันเข้าใจแล้วนิ่" ชายหนุ่มหน้าหล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายหงุดหงิดรำคาญ
"ค่ะ พอดีเอาของสำคัญมาคืน" ณรรรดายื่นกล่องกำมะหยี่สีขาวมุกส่งคืนให้
"อืม..พี่คงต้องเดินทางสัปดาห์หน้าแล้วหละ หวังว่าเราคงเป็นเพื่อนกันได้นะ"
"คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะความรู้สึกหนูไม่ได้คบพี่เป็นเพื่อนนี่คะ ถ้าจะเป็นเพื่อนก็คงเป็นตั้งแต่แรกแล้ว" ณรรรดาสวนกลับทันที
"โอเค พี่ผิดเองที่โลเล ดูแลตัวเองดี ๆ นะ พี่ไปล่ะ" ชายหนุ่มเดินหันหลังจากไปอย่างไม่หันกลับมามองพร้อมกับขึ้นรถยนต์หรูที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว
"ค่ะ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ใบตองอยากจะฝากที่ไว้สักอย่างนึงนะคะ ถ้าวันนึงที่พี่ไม่มีใคร…อย่ากลับมาหานะคะ เพราะถ้าถึงวันนั้น ฉั๊นคงตัดผู้ชายห่วย ๆ ออกไปจากใจฉั๊นได้อย่างหมดสิ้นแล้ว แค่นี้แหละค่ะที่จะบอก" ณรรรดาพูดออกไปด้วยอารมณ์และหันหลังกลับทันทีเมื่อพูดจบ
ด้านนวนนท์ที่แอบฟังอยู่ห่างพอประมาณแต่ได้ยินเสียงหญิงสาวพูดประโยคนั้นชัดเจนและยิ่งไปกว่านั้น เขาเห็นหญิงสาวปาดน้ำตาพร้อมกับเดินออกมา และทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งกำลังแล่นมาด้วยความเร็วสูง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฟึ่บ!! พุ่บ.! พุ่บ.! พุ่บ.! (เสียงสองคนล้มกลิ้งหลายตลบลงไปด้วยกันเพื่อหลบวิถีรถยนต์คนนั้น)
"ทำไมไม่ระวังตัว ห๊า..ถ้าเราเป็นอะไรไปป๋าเข่ง แม่เรา พี่ชายเราจะเป็นยังไง พวกเค้าจะเสียใจแค่ไหน" นวนนท์เผลอต่อว่าคนตัวเล็กเสียงขรม ส่วนคนที่เพิ่งรอดอย่างหวุดหวิดจากวิถีรถที่จะพุ่งชนเมื่อสักครู่ได้แต่ตกใจระคนแปลกใจ
"ทำไมพี่ถึงรู้จักชื่อเล่นเตี่ยหนูล่ะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าหนูมีพี่ชาย" ณรรรดาเอ่ยถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะบิดาของเธอถ้าไม่สนิทหรือไว้ใจใครจริง ๆ จะไม่ยอมบอกชื่อเล่นนี้ของตนให้คนอื่นได้รับรู้ในขณะที่เธอลืมไปว่าเธอกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักแกร่งของชายหนุ่มที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนนวนนท์รู้ตัวทันทีว่าตนเองพลาดไปแล้วได้แต่คิดหาทางหนีทีไล่
"เอ่อ..พอดี ก็..ก็..พี่เซ้งร้านขนมนั่นต่อจากป๋าแกไง เห็นลูกน้องของแกเรียกชื่อแกลับหลังแกว่าป๋าเข่ง ๆ ก็เลยเรียกตามบ้าง แต่ว่าน้องอย่าไปเล่าให้ป๋าแกฟังนะ แกคงไม่ชอบเดี๋ยวจะพาลไม่ให้เซ้งร้านต่ออีกละยุ่งเลยทีนี้" นวนนท์ได้แต่ไหลไปเรื่อย
"ไม่บอกค่ะ ไม่บอก หรือถ้าเตี่ยรู้ขึ้นมาภายหลังหนูจะช่วยปกป้องพี่เอง" ณรรรดาพูดยิ้ม ๆ เธอรู้สึกชอบพี่ชายคนนี้เสียแล้วซิ แต่มารยาทกุลสตรีก็ต้องรักษา จึงค่อย ๆ ลุกออกจากตักแกร่งของชายหนุ่มแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างต้องการเช็คร่างกายตัวเองว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง แต่ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าเสื้อที่เธอใส่อยู่นั้นเปื้อนเลือดและเธอได้สำรวจดูดีแล้วว่าตัวเธอไม่มีบาดแผล จึงเริ่มสำรวจร่างกายของอีกคนบ้าง
"พี่คะ พี่มีแผลที่ข้อศอกนะคะ"
"ไม่เป็นไรครับ นิดเดียว กลับเถอะ จอดรถไว้ไหนเดี๋ยวพี่ไปส่งที่รถ" นวนนท์เอ่ยขึ้น ใจจริงอยากพาไปหาป๋าเข่งเสียด้วยซ้ำแต่ต้องเคารพสิทธิ์ของสาวเจ้า
"หนูไม่ได้เอารถมาค่ะ เมื่อเช้ารถที่บ้านมาส่ง" ณรรรดาเอ่ยขึ้นพร้อมกับหลุบตาลงความจริงเธอไม่อยากขับรถเองเพราะไม่ได้นอนเลยต่างหาก และนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มมีแผลจึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพับเป็นแนวยาวแล้วพันไปที่ข้อศอกของชายหนุ่ม
"จะให้พี่ไปส่งที่บ้านหรือที่ไหนก็บอกมา" นวนนท์เริ่มรู้สึกรำคาญยัยเด็กเจ้าปัญหาคนนี้เสียแล้ว
"ไปโรงพยาบาลค่ะ พี่ชายคนรองหนูทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล" ณรรรดาเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้เธอจะใช้ความรู้สึกที่เรียกว่าเซนส์นำทาง
"ได้ งั้นขึ้นรถ" นวนนท์เอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการ