อาการบาดเจ็บของทิวาดีขึ้นมาก แผลของเธอแห้งและตกสะเก็ด หากคอยหมั่นทาครีมลดรอยแผลเป็นก็ไม่มีอะไรให้กังวลถึงเรื่องความเรียบเนียนของผิว
ร่างบอบบางในชุดนักศึกษาและกระโปรงสั้นเหนือเข่าโชว์เรียวขาสวยเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ทรุดนั่งลงหน้าจานอาหารเช้าบนโต๊ะ
“ดิฉันเตรียมไส้กรอกให้คุณทิวาเพิ่มสองชิ้นค่ะ”
“รู้ใจจังเลยค่ะคุณป้า”
ทิวารีบหันไปยกมือไหว้ขอบคุณป้าแม่บ้าน หลายวันมานี้หญิงสาวปรับตัวได้ไว แม้กระทั่งบอดี้การ์ดของมาเฟียหนุ่มก็เริ่มที่จะกล้าคุยกับเธอ ถึงจะไม่ได้สนิทสนมเหมือนผู้หญิงสูงอายุข้างกาย
“เลิกเรียนกี่โมง”
“บ่ายโมงค่ะ มีเรียนแค่ช่วงเช้า”
“วันนี้ออกไปพร้อมฉัน”
“นายจะไปไหนเหรอ”
พันแสงยกกาแฟขึ้นจิบ ลอบมองคนที่กระตือรือร้นถามอยู่ตรงหน้า ใช้แววตาจ้องริมฝีปากอวบอิ่มที่กำลังอ้างับไข่ดาวในจานก่อนจะรีบดึงทิชชูเช็ดให้เธออย่างเบามือ
“เป็นเมียหรือไงฉันถึงต้องมาคอยรายงานเธอทุกเรื่อง”
“ถามในตำแหน่งผู้หญิงของนายต่างหาก” ทิวาจีบปากจีบคอตอบกลับเมื่อได้ฟังคำพูดประชดประชันแบบนั้น “แค่อยากรู้ ถ้าให้เดาคงไปฆ่าคนอีกตามเคย”
“ฉันไปดูกาสิโน”
มาเฟียหนุ่มตอบคำถามให้คนตัวเล็กกระจ่าง กระตุกยิ้มหลังได้เห็นใบหน้าสวยเบ้หน้าใส่อย่างไม่เกรงกลัวเขาเลยสักนิด
“นายเป็นเจ้าของกาสิโนด้วยเหรอ”
“เป็นหุ้นส่วน”
“กับเพื่อนมาเฟียสองคนที่คุณเอดีสพูดถึงในสนามแข่งใช่ไหม”
คิ้วหนากระตุกถี่หลังได้ยินสรรพนามที่แตกต่างกัน เคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะพร้อมประมวลคำพูดของหญิงสาวอีกครั้ง
“เธอเรียกไอ้เอดีสว่าอะไร”
“ก็...คุณเอดีส”
“หึ เธอเคารพมันมากกว่าฉันสินะ”
“ก็เขาดีกับฉัน อุตส่าห์ขับรถพาไปส่งมหาลัยทุกวัน”
“แล้วที่มันได้เสนอหน้าไปเพราะคำสั่งใคร”
“นายโกรธเหรอ งั้นฉันเรียกคุณพันแสงก็ได้”
“เรียกเฮีย”
ทิวาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง เอียงใบหน้าสวยมองคนที่เอ่ยคำสั่งอยู่ตรงหน้า เขาวางไอแพดที่ใช้ทำงานลงทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้
“ทำไมฉันต้องเรียกแบบนั้นด้วย”
“แล้วทำไมถึงไม่เรียก”
“ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงของนายแต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเรียกใครแบบไหน”
หญิงสาวเชิดหน้าใส่คนที่มานั่งออกคำสั่งอย่างไม่เกรงกลัว หยิบไส้กรอกในจานขึ้นมาทานผ่านสายตาคมกริบที่จับจ้องมา
“ถ้าฉันเป็นเธอจะพยายามทำตัวดีๆ”
พันแสงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น เพิ่งจะเคยเห็นผู้หญิงแสนพยศแบบนี้ครั้งแรก เธอควรจะว่านอนสอนง่ายหรือเข้ามาออดอ้อนเพื่อปอกลอกเงินจากเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ
ไม่ใช่ลอยหน้าลอยตาเถียงทุกคำ!
“อิ่มแล้วค่ะคุณพันแสง”
“ปีกกล้าขาแข็งเหลือเกินนะ ไม่กลัวฉันอย่างวันที่ไปสนามแข่งแล้วหรือไง”
ทิวาเม้มริมฝีปากหลังได้เห็นแววตาคมกริบดุใส่ หันมองเสียงเคาะประตูซึ่งคาดว่าจะเป็นฝีมือของคุณเอดีส
“วันหลังจะพาเธอไปเตือนความทรงจำสักหน่อย รอบนี้เอาอะไรดี ตัดขา ตัดแขน หรือตัดหัว”
คนเลว!
แอบกระซิบด่าคนตรงหน้าในใจ หยิบทิชชูมาเช็ดริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้นวิ่งไปเปิดประตู
“เชิญครับคุณทิวา”
เอดีสผายมือเปิดทางให้ผู้หญิงของเจ้านายเดินนำออกไปจากห้อง ไม่ลืมหันมาก้มศีรษะเคารพมาเฟียทรงอิทธิพล
ทิวานั่งบนรถหรูพร้อมกองบอดี้การ์ดหลายสิบคนที่ขับตามหลังมา หันมองคนข้างกายก็เห็นเขาเอาแต่สนใจงานในมือ
เอดีสขับรถมาถึงมหาลัยโดยใช้เวลาไม่นาน ขับเคลื่อนมาจอดหน้าตึกเรียนอย่างทุกวัน แววตาคู่คมเห็นร่างท้วมๆ ชะเง้อคอมองรถอย่างตั้งใจ
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกกว้างชบาก็รีบวิ่งเข้ามาหาเพื่อนสนิทอย่างไว ไม่วายหันมองคนขับมือขวาของมาเฟียที่คอยแอบลอบมองอยู่ทุกวัน
สองเท้าชะงักหลังได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาแสนดุของคนที่นั่งอยู่ข้างกายเพื่อนสาวอย่างทิวา อ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า
“ไหนมึงบอกว่าเขาหน้าเหมือนข้อศอกหมาไงทิวา”
ทิวาเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะหลุดพูดออกมาแบบนั้นต่อหน้ามาเฟียหนุ่ม ยกเท้าถีบร่างท้วมไปเต็มแรงจนทรุดกองกับพื้น
“เธอว่าใครหน้าเหมือนข้อศอกหมา!”
พันแสงกระชากเสียงดุถามด้วยความไม่สบอารมณ์ รั้งร่างเล็กเอาไว้ไม่ให้หลบหนีออกไปจากรถ
“ฉันไม่ได้พูดว่านายหน้าเหมือนข้อศอกหมา”
“แล้วเพื่อนเธอมันสะเออะพูดเองอย่างนั้นเหรอ!”
หญิงสาวรีบแกะมือหนาที่รั้งแขนเธอไว้อย่างกับคีมเหล็ก สะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมพร้อมกระโดดหนีลงจากรถอย่างไว
“อยากตายหรือไงอีชบา!”
วิ่งเข้ามาจับมือเพื่อนสนิทที่เดินกะเพกให้รีบหลบออกมาจากรถเพื่อเร่งเข้าตัวอาคารเรียน ไม่วายหันไปด่าคนที่ปากพูดไม่คิด
“แม่นั่นพูดถึงกูว่าอะไรไอ้เอดีส”
เอดีสลอบมองเจ้านายผ่านกระจกหน้ารถ สีหน้าไม่สู้ดีปรากฏฉายชัดทำเอาพันแสงกระชากเสียงถามอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด
“กูถามทำไมเสือกเงียบ!”
“พูดว่าหน้าตานายดีกว่าข้อศอกหมานิดหน่อยครับ”
พันแสงเดินเข้ามายังกาสิโนที่ใกล้จะสำเร็จเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ใบหน้าหล่อบึ้งตึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความน่ากลัวแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณจนลูกน้องที่เดินตามอยู่ด้านหลังทำได้เพียงก้มหน้าอยู่เงียบๆ
“เมื่อวานพวกกูไปหาที่สนามแข่งทำไมรีบกลับวะ”
เหนือฟ้าละใบหน้าจากโต๊ะสนุ๊กเกอร์มองร่างสูงของเพื่อนสนิทเดินกระแทกเท้าเข้ามานั่ง ก่อนจะเห็นมือหนาหยิบแก้วไวน์บนโต๊ะขว้างใส่กระจกออกไปจนแตกกระจาย
“เป็นเหี้ยอะไร มาถึงก็ทำลายข้าวของเลยนะมึง”
“อย่าเสือกไอ้ลูคัส”
“อย่าปากดีไอ้พันแสง”
ลูคัสด่ากราดกลับไปพร้อมยกยิ้มร้ายใส่คนที่นั่งพ่นลมหายใจออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ การได้ปะทะฝีปากด้วยกันแบบนี้เป็นเรื่องชินชาที่แทบจะเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาเจอหน้า
“เจ้านายแกเป็นอะไรไอ้เอดีส”
มาเฟียเจ้าของกาสิโนรีบเอ่ยถามมือขวาคนสนิทของเพื่อน ก่อนจะเห็นใบหน้าขาวซีดขึ้นมา ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไม่กล้าเอ่ยปากบอก
“ผมไม่กล้าบอก ต้องขออภัยด้วยครับ”
พูดจบก็ก้มหัวทำความเคารพเดินออกไปจากห้องเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับสามมาเฟียทรงอิทธิพล
“สัญญาหุ้นของมึง”
ลูคัสโยนซองเอกสารสีน้ำตาลใส่คนนั่งยกเหล้าในแก้วขึ้นดื่ม ก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปเล่นสนุ๊กเกอร์อีกครั้ง
พันแสงและเพื่อนสนิทอีกสองคนร่วมมือกันทำกาสิโนในสนามแข่งรถใจกลางเมือง การลงทุนมหาศาลไม่สามารถกำหนดเม็ดเงินที่จ่ายไป แต่เล็งเห็นถึงความคุ้มค่าที่จะได้รับกลับมาไม่น้อย
“ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมที่จะใช้เป็นตัวล่อ”
เหนือฟ้าทรุดนั่งบนโซฟาตัวยาว จ้องมองใบหน้าเคร่งขรึมที่พยักหน้าตอบเขาเล็กน้อย ชะงักกับการได้เห็นแววตาหวั่นไหวเริ่มที่จะลังเลของเพื่อน
“คิดให้ดีๆ ถ้ามึงไม่อยากส่งเธอไปก็หาคนอื่น”
“กูคิดดีแล้ว หาคนอื่นคงไม่ทัน”
อีกไม่กี่วันข้างหน้าศัตรูคู่แค้นที่คอยขัดแข้งขัดขามาตลอดหลายปีกำลังจะเดินทางมาด้วยเอกสารลับที่มันกล้าหลอกใช้คนของเขาให้ทรยศขโมยมา
“งั้นก็พาเธอมาเจอพวกกูหน่อย”
ตวัดตามองมาเฟียเจ้าของบ่อน้ำมัน เห็นมันขยิบตาให้ด้วยความกวนเท้าก็กระตุกจนอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นถีบเข้าอย่างจังแต่คนตรงหน้ากลับรู้ทันรีบหลบหนีอย่างไว
“ก่อนส่งไปขอเช็คหน่อยว่าเด็ดไหม เผื่อไม่ได้เรื่องแล้วจะเสียงาน”
“มึงหยุดพูดได้ไหมไอ้ลูคัส”
“หึ แค่กับพวกกูมึงยังไม่กล้าพามาเจอเลย กับไอ้แฟรงค์จะกล้าส่งไปเหรอ”
เพียงได้ยินชื่อ ‘แฟรงค์’ ศัตรูคู่แค้นที่ไม่มีทางได้ญาติดีกันทำเอาพันแสงกัดฟันกรอด เขาต้องสูญเสียเงินไปไม่น้อยกับการถูกโจมตีจากมัน
“จะทำอะไรก็รีบทำให้เสร็จ เพราะไม่อย่างนั้นสนามแข่งมึงถูกเล่นสกปรกไม่สิ้นสุดอีกแน่”
“กูรู้แล้ว”
“ตกลงพามาไหม จะตั้งตารอ”
ลูคัสไม่ลดละที่จะคะยั้นคะคอเพื่อนสนิท แอบได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของมาเฟียเจ้าของกาสิโนที่นั่งขบขำอย่างกั้นไม่ไหว
“แม่งน่ารำคาญ ไปไกลๆ ตีนกูเลย”
“จบแล้วแหละกูว่า หาคนอื่นมาเถอะเพราะเอาหัวเป็นประกันมึงก็ไม่กล้าส่งไปหรอกผู้หญิงคนนั้น”
“ทำไมกูจะไม่กล้า เธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรอยู่แล้ว”
“ไอ้เหนือฟ้าเป็นพยานกับกูนะว่ามันพูดอย่างนี้ อย่าให้กูเห็นว่าหมาไม่งั้นโดนดีแน่”
เหนือฟ้าพยักหน้าตอบกลับทันควัน ยกมือขึ้นตบไหล่คนที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนโซฟา ก้มต่ำมองมือหนาที่กำหมัดแน่นก็ยกยิ้มร้ายขึ้นมา