นักเลงหัวไม้

1376 Words
แต่สำหรับเขา เบนบูรพา มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งแวดล้อมรอบกายตั้งแต่เยาว์วัยมันสอนให้ผู้ชายอย่างเขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย และสิ่งนั้นได้กลายมาเป็นความแข็งแกร่งและช่วยเยียวยาหัวใจและความรู้สึกให้แกร่งตามไปตามกาลเวลาของมัน ในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งเรื่องของความรัก ที่มันเริ่มสมานเข้าหากันจนเกือบสนิท แต่ใช่ว่าคนอย่างเขาจะไม่โหยหามัน มือหนารีบปิดบาดแผล เมื่อได้ยินเสียงย่ำเท้าหนักเดินใกล้เขามาและนิ่งฟัง อย่างคนระแวดระวังภัย “วันนี้รู้สึกไม่ดีเลยให้ตายสิ...” ชลิดาเดินบ่นงึมงำย่ำเท้าให้ถึงบ้านพักของตนเองที่เห็นมาแต่ไกล หากแต่ไม่ทันได้ถึงหน้าบ้านเช่าของตนเองก็มีเรื่องให้หล่อนต้องกรีดร้องเสียงหลง “กรี๊ดดด...!” กระโดดหลบอย่างอัตโนมัติไม่ไกลนัก ก่อนจะรีบหันมาด้วยหัวใจเต้นรัวด้วยความตกใจกลัว “... คุณทำบ้าอะไรของคุณ คุณนพ?...” ร้องถามเสียงหลง เมื่อรู้ว่าเป็นใคร เสียงเบรกลากล้อของมอเตอร์ไซค์และเสียงหัวเราะประสานเสียงของผู้ชายสองคน ที่ดูเป็นเรื่องสนุกดังใกล้ๆ จนรู้สึกได้ถึงแรงลมที่ปะทะทางด้านหลัง แม้จะไม่ได้กระแทกเพราะกระโดดหลบออกไป ไม่โดนร่างกายส่วนไหนของหล่อนก็ตาม แต่เสียงที่ดังมันทำให้หัวใจของหล่อน หล่นหายจมดินไปแล้ว “ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณคนสวยสักหน่อย” เสียงหัวเราะเบาลง พร้อมกับผู้ชายที่เธอเคยปะทะคารมมาแล้ว เอ่ยสีหน้าไม่ได้เป็นห่วงคนหน้าซีดที่ยืนสั่นอย่างเห็นได้ชัด “แล้วหากมันชนขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำไง!” เสียงหวานโพล่งถาม ไม่เคยรู้สึกโมโหอะไรเท่านี้มาก่อน “เอาไว้ให้เมื่อถึงวันนั้น และคุณจะรู้ว่าผมจะทำยังไง” คิ้วเรียวผูกปม ใบหน้าหวานสีเข้มขึ้น คำพูดและการกระทำวันนี้มันบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของผู้ชายคนนี้ “นายพูดแบบนี้ หมายความว่าหากมีครั้งต่อไปนายจะชนฉันจริงๆ อย่างนั้นสิ?”  คำเรียกเปลี่ยนไป เธอไม่อยากให้เกียรติกับผู้ชายใจดำ ที่คิดร้ายกับเธอเป็นอันขาด...! คำพูดและการวิเคราะห์ของหล่อน กับคำพูดตรงๆ ทำให้เสียงหัวเราะที่ยังหลงเหลืออยู่เงียบลง ผู้หญิงคนนี้หัวไวอย่างที่คิดไว้จริงๆ... นพใช้สายตาประเมินหญิงสาวตรงหน้าเสียใหม่ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระชากแขนเรียว เซไปตามแรงดึง ความตกใจและไม่ทันตั้งตัวทำเอาชลิดาเซไปทั้งตัว แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบสะบัดตัวเองออกจากการดึงรั้ง แต่ยิ่งสะบัดแรงเท่าไหร่ มือหนากลับยิ่งกดแรงเป็นเท่าตัว เธอได้แต่กัดริมฝีปากสะกดเสียงร้องออกมา “เจ็บนะ...” เสียงลอดไรฟันออกมา แต่อีกคนไม่ได้สนใจ ก้มกระซิบเสียงเหี้ยม “ปากดีไปเถอะ...รู้ตัวก็หุบปากสวยๆของตัวเองไว้บ้าง เพราะบางทีนายใหญ่อาจไว้ชีวิตผู้หญิงสวยๆอย่างคุณไว้ดูเล่น...” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่ถนอมความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย ชลิดาได้กัดริมฝีปากแน่นด้วยความแค้นเคือง   คำพูดที่ไม่เบานักและเสียงที่ดังพอของคนด้านนอก ทำให้ใครแถวๆ นั้นตกใจผุดลุกขึ้นมองดูเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มแรกและนานพอควร ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เบนที่แอบมองอยู่ด้านในบ้านเช่า ตรงหน้าต่างบานแรกที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน  ส่ายหน้ากับภาพที่เห็น อาจจะเป็นภาพชินตาหรือเจนจัดของตนเอง หากแต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ช้าก็จะเกิดการชกต่อยกันขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดาของวงการพวกที่ชอบทำตัวเป็นนักเลง หรือเป็นอันธพาลเที่ยวหาเรื่องใส่ตัว ผู้หญิงคนนี้กำลังเล่นกับพวกมีอิทธิพล แล้วพวกไหนกัน...? เบนเริ่มจับข้อความที่บุคคลด้านนอกโต้กัน แต่สรุปคู่ข้างนอกหน้าบ้านพักของตน ใครเป็นอันธพาลใครเป็นนักเลง เพราะมันดูไม่เข้าขา และไม่น่าสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเข้าไปยุ่ง... เบนคิด แล้วม่านหน้าต่างก็ถูกปิดลง  “ปากเสีย... นายใหญ่ของนายก็ดีแต่หลอกใช้พวกไม่มีหัวคิด อย่างพวกนายเท่านั้นแหละ จะอยู่ให้เป็นขยะที่เขาพร้อมจะเขี่ยทิ้งหรือจะเป็นเศษดินที่เอามาปลูกผักผสมปุ๋ยให้ดูมีคุณค่าขึ้นมาล่ะ? ... ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวคน ไม่ใช่ให้ใครไม่รู้มาจูงจมูก ที่ดินของปูย่าตายายทั้งนั้น จะ  หวงแหนไว้ได้เป็นสมบัติของตนเองยังทำไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะทำอะไรกิน?...” เธอหยุดหายใจกับคำพูดยาวเหยียดของตัวเองด้วยอารมณ์โมโหแล้วเอ่ยต่อ “พวกนายจะเป็นควายหรือเป็นคนก็ใช้สมองที่มีคิดตรองเอาเอง ก่อนจะไม่เหลือสมองไว้ให้คิด” ใบหน้าหวาน เชิดขึ้น เอ่ยวาจาออกไปอย่างไม่กลัว เธอรู้ดีว่าคำพูดนี้ มันแรงพอให้อีกฝ่ายได้เกิดโทสะ เพราะตั้งใจไว้ว่าจะพูดก่อนหน้าแต่จังหวะมันไม่อำนวย เมื่อได้โอกาสเธอจึงใส่ไปเต็มร้อย และคำพูดที่โต้ออกมาจากเรียวปากบางของสาวหน้ามน ทำให้เบนที่หันหลังกลับไปแล้ว หันกลับมามองที่หน้าต่างอีกครั้งอย่างชั่งใจ หล่อนช่างกล้า...  “แม่เจ้าโว้ย พูดจาได้โดนใจชะมัด...” คำสบประมาทที่     เปรียบเปรยได้โดนของคนตรงหน้า มันทำให้อารมณ์มานพพุ่งสูงขึ้น สิ้นคำพูดที่เปล่งออกมาเหมือนชื่นชม แต่มันมาพร้อมกับฝ่ามือหนาง้างสูงขึ้นแหวกอากาศปะทะใบหน้าหวานอย่างจัง โดยไม่ลังเลและเสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว เผียะ!! เสียงดังชัดเจน แก้วหูได้ยินเสียงเปรี๊ยะคล้ายแก้วหูร้าว ใบหน้าชาไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกปวดแปลบตามมาเรื่อยๆ “เฮ้ยไอ้นพ! ถึงขนาดตบหน้าเลยหรือวะ?” เพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหลังกระโดดลงจากรถ แม้จะทำตัวเป็นนักเลงแต่ก็ใช่ว่าจะกล้าทำทุกอย่าง แต่เพื่อนของมันไม่สนใจว่าใครเป็นใครอยู่แล้ว! “ก็ อีนี้มันปากดี เอ็งไม่เห็นหรือวะ” มือหนายังกำแขนเรียวเอาไว้ ส่วนขาทั้งสองข้างประคองรถเอาไว้ หันไปพูดกับเพื่อนที่พามาด้วย จังหวะที่อีกฝ่ายละสายตาไปคุยกับเพื่อน คนโดนตบใช้แรงที่มีอยู่ถีบไปตรงเป้ากางเกงอีกฝ่ายอย่างจัง มือหนาปล่อยแขนเรียวโดยเจ้าของไม่ต้องเอ่ยใช้ รถที่คร่อมไว้เสียหลักพร้อมกับเจ้าของรถลงไปนอนหน้าเขียว มือหนากำกล่องดวงใจเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ส่วนเพื่อนที่พาติดรถมาได้แต่ยืนอึ้ง กว่าจะได้สติก็เมื่อเพื่อนที่นอนครางร้องเรียกให้ช่วย “ไอ้นัท...! ยกรถออกไปสิวะ...มันทับขากู” ใบหน้าคมหยาบกร้านเหยเก ดิ้นขยับแต่มันไม่ง่ายเลย เพราะรถทั้งคันทับมันอยู่ พยายามใช้ขาถีบขึ้นเพื่อรถขยับ แต่เพราะความเจ็บและจุกอยู่จึงทำให้ไม่มีแรงดันมากพอให้รถขยับ “อะ..อ้อ ได้ๆๆ” รีบก้มไปช่วยเพื่อน  แต่ท้ายสุดมันก็ลงไปนอนอยู่บนรถอีกคน เพิ่มแรงน้ำหนักให้คนอยู่ด้านล่างเป็นอย่างดี เสียงร้องผสานกัน ทำให้ชลิดารู้สึกหายปวดแก้มที่โดนฟาดไปเยอะทีเดียว  “พวกนายนี่มันเหลือร้ายจริงๆ กับผู้หญิงหน้าตาดีก็ไม่เว้น”     ชลิดาว่าออกไป ทั้งโกรธทั้งแค้น แต่ภาพที่เห็นมันให้ต้องกดอาการขำเอาไว้เพื่อสงวนในท่าทีของตนเองเอาไว้ “เธอนี่มันร้ายกว่าที่ฉันคิด...” เมื่อปรับสภาพความเจ็บปวดที่กลับมาสู่สภาวะปกติ ก็เริ่มต้นปะทะวาจากันใหม่อีกรอบ “คราวนี้ฉันจะบีบคอให้ตายเลยคอยดู” ดวงตาขุ่นเขียวมองอย่างหมายหมาด 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD