หลังจากที่กินข้าวโดยฝีมือเจ้าบ้านจนอิ่มแปร้ เบนและ เกรียงศักดิ์แยกตัวและเข้ามาอยู่บนห้อง ปล่อยให้หญิงสาวได้อยู่กับแม่ของเพื่อนรักตามลำพัง
ชลิดาได้โอกาสสำรวจพื้นที่โดยไม่รีรอ จะเป็นเพราะสภาพความเป็นอยู่แบบธรรมดาของเจ้าของบ้านหรือเปล่า มันจึงดึงดูดหล่อน ให้สนใจสิ่งที่รายล้อมไปด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ โดยลืมสนใจไปว่าตัวเองมาที่นี่เพราะเหตุใด การนำคุยและชักชวนให้เดินดูรอบบริเวณบ้าน ทำเอาคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จัดการนั่งปักหลักคุยกัน ตรงบ่อปลาโดยมีขอนไม้ขนาดใหญ่เป็นที่รองนั่งไว้สำหรับนั่งพักผ่อนอย่างพอเหมาะ
สายตากลมโตกวาดมองสำรวจอย่างสนใจ พร้อมซักถามจนผู้สูงวัยหยุดคิดและต้องจับใจความกันพอสมควร เพราะคำพูดที่เต็มไปด้วยความอยากรู้และต้องการคำตอบเดี่ยวนั้น เหมือนไม่อยากหยุดหายใจให้เสียเวลาของหล่อน ทำเอาหญิงสูงวัยนึกเอ็นดูในความอยากใคร่รู้ของหญิงสาวตรงหน้าเป็นอย่างมาก
บริเวณบ้านที่มีพื้นที่เกือบสองไร่แบ่งเป็นสัดส่วน การอาศัยแบบพื้นๆ ปลูกผักเลี้ยงเป็ดไก่ และเลี้ยงปลากินเอง ไม่นับนาข้าวที่เห็นไปสุดตา ชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างกันนักกับหมู่บ้านที่เธอเข้าไปพัวพันอยู่
คำตอบที่ได้ยินมาทำเอาชลิดา รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เพราะจัดการพื้นที่รอบบ้านที่แบ่งจัดสรรมาจากคำพระราชดำรัสของในหลวงทั้งสิ้น ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ได้รวมเอาเทคนิค และวิธีการในการทำการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านการปลูกพืช และด้านการเลี้ยงสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ แต่เพราะป้ามีพื้นมาก แกจึงตัดสินใจเลี้ยงในบ่อดิน แต่เลือกที่จะเลี้ยงหมูหลุมเพราะการเลี้ยงใช้ต้นทนต่ำ ที่สำคัญมูลยังทำเป็นปุ๋ย ลดต้นทุนค่าอาหารได้ถึง 50-70เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเน้นการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น และไม่ต้องทำความสะอาดพื้นคอก ลดมลภาวะของเสียจากการเลี้ยงหมู ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีแมลงวัน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและกลิ่นก็ไม่รบกวนเพื่อนบ้านในชุมชนอีกด้วย แถมยังได้ปุ๋ยอินทรีย์รวมทั้งการใช้วิธีธรรมชาติ ในการจัดการกับโรค แมลง เพื่อความสมดุลที่มีอยู่ของธรรมชาติ
เมื่ออีกฝ่ายเข้าใจทุกอย่างตามต้องการ คนสูงวัยจึงถามคำถามกลับไปบ้าง เพราะสังเกตหญิงสาวตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน “ป้าดูหน้าตาและผิวพรรณของหนูดาแล้ว ไม่น่าจะใช่หญิงสาวทำงานทั่วไปเลยนะ” เมื่อคุ้นเคยคำเอ่ยเรียกจึงดูสนิทขึ้น
“คะ... คือ...”
ชลิดารีบดึงแขนเสื้อที่โชว์ผิวอมชมพูที่เปิดอวดสายตาโดยไม่ตั้งใจ ที่ถลกไว้แค่ขอศอกลง
แม้ไม่อยากโกหกผู้สูงวัย แต่ก็ไม่อยากเอ่ยความจริงกับใครตอนนี้ ชลิดาจำใจต้องสร้างสถานการณ์ใหม่ “ก็ดาเพิ่งเรียนจบ งานการก็ไม่เคยจับต้อง ว่าจะออกมาหางานสักหน่อยก็เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน... นี่หากไม่ได้ เอ่อ...คุณ เบนช่วยไว้ดาคงโดนคนพวกนั้นเอาตัวไป เอ่อ... ทำปู้ยี้ปู้ยำยำ ...คงแย่แน่ๆ” ใบหน้าหวานสลดห่อเหี่ยวเศร้าให้สมกับโชคชะตาเลวร้ายที่เกือบเล่นงานเธอ
เรื่องมันจริงในบางเรื่องเท่านั้นที่เอ่ยไป แม้จะไม่ตรงประเด็นกับคำถาม แต่ก็ทำให้ป้าที่นั่งฟังอยู่ไม่ได้ติดใจอะไร กลับทำหน้าละห้อยและเห็นใจ ลืมสนใจคำถามที่ให้ไป แล้วได้คำตอบกลับมายังไง เพราะมัวแต่ใส่ใจคำบอกกล่าวที่เพิ่งได้ยินมา
“คนพวกนี้มันใจร้าย ไร้สมอง ทำได้แม้แต่สาวๆ ที่ไม่ได้มีพิษมีภัย” คนได้ฟังเรื่องราวอดต่อว่าไม่ได้
“อืม...” ชลิดาพยักพเยิดเห็นด้วย คำต่อว่าถึงคนพวกนั้น
“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไป หากไม่กล้ากลับบ้าน ก็อยู่กับป้าที่นี่ก่อนก็ได้นะ เพราะบางทีลูกชายออกไปทำงาน ป้าก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวส่วนคนงานที่จ้างไว้ทำสวนทำนา มันก็มาทำงานแล้วก็กลับ หากมีใครอยู่ด้วยจะดีมากเลยทีเดียว” ใบหน้าอวบอ้วนอย่างคนเจ้าเนื้อ เบ่งบานยิ้มรับด้วยความยินดี หากอีกคนจะเห็นด้วยกับความต้องการของนาง
“อุ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะ ดารบกวนคุณป้าไม่ได้หรอก... แล้วคุณเบนจะกลับเลยหรือเปล่า...?”
พอเอ่ยถึงเรื่องบ้าน ชลิดาผุดลุกขึ้นชะเง้อมองหาคนที่พาหล่อนมา กวาดตาไปทั่วเพื่อหวังจะเห็นชายหนุ่มนั่งหรือคุยกับเพื่อนที่ไหนสักแห่ง หากแต่มองไม่เห็นใคร สายกลมโตภายใต้ขนตางามงอน จึงจะมองไปยังตัวบ้านไล่สายตาขึ้นไปยังชั้นบน สายตามองตรงไปยังหน้าต่างที่อยู่ระดับสายตาพอดี
“สงสัยผู้หญิงของแกคงอยากกลับแล้วละ”
เกรียงศักดิ์หลบจากสายตาคนด้านล่าง หันมามองหน้าเพื่อนรัก
“จะบ้ารึ...พูดให้มันดีๆ หน่อย ผู้หญิงเขาเสียหาย” เอ่ยพลางทำหน้าดุใส่
“อ้าว... แกไม่คิดอะไรกับหญิงสาว สวยๆ คนนั้นจริงๆ หรือวะ?” เกรียงศักดิ์ตั้งคำถามให้เพื่อนรัก
แต่อีกคนหาสนใจไม่ รู้อยู่ว่าเพื่อนมีความหลังเรื่องผู้หญิงมากแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้แค่ผู้หญิงที่ไม่รักจริงคนนั้น มาทำให้หัวใจเพื่อนรักปิดตายและจมปลักอยู่กับอดีต
“ทุกคนมีเส้นทางของหัวใจและความเป็นจริงที่ต้องเดินหาและไขว่คว้าหากมีโอกาส และหากวันนั้นมันมาถึง ฉันหวังว่านายจะรีบคว้ามันไว้...”
เกรียงศักดิ์เอ่ยบอกเพื่อนรัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ว่าหากถึงวันนั้นเพื่อนรักคงทำตามที่เขาพูดและหากเป็นเช่นนั้น เพื่อนรักอย่างเขาคงดีใจไม่น้อย
“ฉันจะลงไปบอกเธอก่อน ยังไงคืนนี้เธอต้องนอนที่นี่... ส่วนนายเตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะลงไปรอที่รถ” เบนจามินเอ่ยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง ไม่ใส่ใจคำพูดของเพื่อนรักนัก แต่ในใจครุ่นคิดเรื่องผู้หญิงที่ตนเองเผลอตัวเข้าช่วยเหลือ หากเกิดหล่อนโวยวายเขามิต้องหาเรื่องขู่หล่อนอีกหรือ... “ฉันว่าแก อย่าทำหน้าจริงจังอย่างนั้นก็ได้ เรื่องมันคงไม่เลวร้าย เชื่อฉันสิ หากฉันเดาไม่ผิด ลองคุณดาเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์หรือเอาแต่ใจป่านนี้คงไม่ลงไปคุยกับแม่ฉันอยู่ได้นานสองนานหรอก” ความที่สนิทกัน รู้ใจและอ่านความรู้สึกอีกฝ่ายออก
คนอย่างเขาใช่จะเอาใจใครเป็น... นึกค้อนเพื่อนรักที่ช่างรู้ดีซะเหลือเกิน