“บอกฉันทีลมอะไรหอบให้แกแบกพวกฉันมาซื้อเสื้อผ้าได้เนี่ย” มนว่าอย่างแปลกใจพร้อมกับเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าในร้านอย่างคุ้นชิน
“แม่ฉันนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแล้วเอาฉันไปด้วยอะดิ” ฉันว่าอย่างเบื่อหน่ายพลางเดินตามเพื่อนรักที่กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนอกสนใจ มนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งต่างจากฉันที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนวิที่เดินตามมาอยู่อีกฝั่งก็มองเสื้อผ้าที่เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่จะออกแนวสาวน้อยน่ารักตามแบบฉบับของเทวิกา
“แม่นัดเจอเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับแกอะ” วิที่ยืนเงียบอยู่สักพักเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็เพื่อนแม่จะหอบลูกชายมาด้วยนี่สิ ฉันว่านะต้องนัดดูตัวแหง ๆ” เพื่อนทั้งสองของฉันหยุดชะงักตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะหันมามองหน้ากันราวกับว่าโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉันได้แต่มองเพื่อนสาวอย่างแปลกใจที่ทั้งสองนั้นดูอึ้งยิ่งกว่าฉันเสียอีกก่อนที่ทั้งสองจะรีบกรูกันเข้ามาหาฉันอย่างแตกตื่น
“นี่แม่แกเขาดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าแกจะขึ้นคาน” มนว่าเอ่ยแซวจนฉันต้องหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ
“นี่ที่แกมาเลือกเสื้อผ้าเพราะแกอยากแต่งตัวให้ดูดีขึ้นใช่ไหม”
วิถามอย่างตื่นเต้นพลางเดินเข้ามากอดแขนฉัน “งั้นเดี๋ยวเราพาแกไปเลือกเอง”
“ไม่จ้า ไปเจอผู้ใหญ่ก็ต้องแต่งตัวให้ดูมีภูมิฐานหน่อยจะให้ไปแต่งตัวเหมือนเด็กประถมไม่ได้เนอะ” มนเดินเข้ามาพลางกระชับเรียวแขนของฉันไว้แล้วออกแรงยื้อให้ฉันเข้าไปหาเธอ
“แต่งแบบมน ผู้ใหญ่เขามองว่าไม่น่ารักนะ” วิมองเสื้อครอปสายเดี่ยวที่มนสวมใส่ก่อนจะส่ายหน้าแล้วดึงฉันเข้าไปหาตัวเธอ
“ก็ไม่ได้แต่งแบบฉันตอนนี้ คนเรามันก็ต้องรู้จักกาลเทศะเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเองนะจ๊ะ” มนยื้อฉันกลับเข้ามาหาตัวเอง
เพื่อนสาวทั้งสองของฉันเถียงกันต่อไปพลางยื้อยุดฉันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ในหัวฉันพร่าเบลอไปหมดหันไปมาระหว่างเพื่อนสนิททั้งสองก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นหมวกสานปีกกว้างที่เคยเห็นคนใส่ไปเที่ยวทะเลกันบ่อย ๆ ก็เกิดเสียงปิ๊งขึ้นมาในหัว
“พวกแก” ฉันรีบยกมือห้ามศึกระหว่างมนและวิอย่างทันท่วงทีพลันส่งสายตาหาเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาประกายแวววับอย่างมีเลศนัย
“อะไร แกเลือกฉันใช่ปะ” มนชี้ตัวเองอย่างดีใจ
“ไม่สิ นิดาเลือกเราใช่ไหม” วิจับแขนฉันพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหวานปนงอแงนิด ๆ ตามประสา
“คนเราเกิดมาครั้งเดียวก็ควรจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อถูกไหม” ฉันหันกลับไปจับจ้องยังหมวกสานใบใหญ่นั้นอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหามันท่ามกลางสายตางุนงงของเพื่อนสาวทั้งสองแล้วหยิบมันขึ้นมาลองสวมบนศีรษะอย่างอารมณ์ดี
“แบบนั้นไม่น่าโอเคนะแก” มนขมวดคิ้วอย่างตงิดใจ “แย่กว่าพวกฉันอีก”
“พวกแกต้องช่วยฉันนะ” ฉันรีบหันไปหาเพื่อน ๆ ก่อนจะจับมือของทั้งสองขึ้นมาอ้อนวอนพลางมองที่ทั้งสองด้วยแววตาออดอ้อน “ขอร้องละฉันยังตัดใจจากพี่คิณไม่ได้เลยจะให้ฉันไปดูตัวกับใคร แง~~”
“ตัดใจจากพี่คิณเหรอ” แย่แล้วไงฉันลืมไปซะสนิทว่าวิยังไม่รู้เรื่องนี้ เธอขมวดคิ้วพลางมองมาที่ฉันอย่างคาดคั้น “แกไปชอบพี่คิณตอนไหน แล้วแกไปอกหักจนถึงขั้นต้องตัดใจตั้งแต่เมื่อไหร่”
ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าฉันพอเข้าสู่โหมดจริงจังก็ทำให้บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นห้องสอบสวนอย่างกับว่าฉันเพิ่งทำความผิดร้ายแรงมาอย่างนั้นแหละ สายตาของหญิงสาวตรงหน้าทำฉันให้กลายเป็นเพียงเด็กน้อยหกขวบที่ปกปิดความผิดจากแม่เพราะขโมยขนมมากินตอนสามทุ่มแล้วไม่ได้แปรงฟัน
“ฉันจะบอกแกก็ได้แต่ว่า แกช่วยฉันก่อนนะ”
“ช่วยอะไร” วิยกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย
“พวกแกเลือกเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดที่สุดมาหน่อยดิ เอาแบบเห็นครั้งแรกยังไงก็ไม่มีทางตกหลุมรักอะ”
“แค่แกใส่ชุดนอนเน่าของแกไปก็ได้แล้วปะวะ” มนเอ่ยถาม
“ไม่ได้ชุดนอนเน่าฉันใส่อยู่บ้านได้อย่างเดียวเอาออกไปข้างนอกแล้วกลิ่นเปลี่ยน” สองเพื่อนรักพากันถอนหายใจอย่างเอือมระอาก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วเหมือนจะคิดอะไรออก
“ฉันว่า ฉันกับแกควรรวมเอาสไตล์มารวมกันดูไหม”
“ถึงเวลาที่เราสองคนต้องร่วมมือกันสักทีสินะ” มนพยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือไปจับมือกับวิเพื่อสามัคคีกันราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มีการยื้อยุดฉุดกระชากกันจนฉันรู้สึกเหมือนแขนฉันยืดออกไปประมาณสองเมตรได้แล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“นิดาเสร็จหรือยังลูกจะสายแล้วนะ” แม่เคาะประตูห้องฉันในยามเช้า
“เสร็จแล้วค่ะแม่” ฉันรีบเดินไปเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง
พอประตูถูกเปิดออกสิ่งแรกที่ฉันเห็นคือสีหน้าของผู้เป็นแม่ที่มองฉันอย่างตกตะลึงเสียจนต้องอ้าปากค้าง
“แม่คะ” ฉันเรียกผู้เป็นแม่ที่ราวกับกำลังหลุดลอยออกไปจ้องมองมาที่ฉันตัวแข็งทื่อ
“เอ่อ ไม่มีชุดอื่นแล้วเหรอจ๊ะ”
“ไม่ทันแล้วค่ะแม่ สายแล้วเราไปกันเถอะค่ะ” ฉันเดินเข้าไปประชิดตัวแม่ก่อนจะกอดแขนท่านไว้หวังจะลากเดินออกไปจากห้องนอนแต่ท่านก็กลับยื้อแขนฉันไว้พลางมองฉันด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าไม่โอเคกับการแต่งกายของฉันแบบขั้นสุด
“แม่รู้นะว่าลูกแต่งตัวไม่เป็นแต่ไม่คิดว่าหนักเอาการ”
“ไม่หนักหรอกค่ะแม่ ไปสายมันเสียมารยาทหนักกว่านะคะ” ให้ตายเถอะทำไมวันนี้แม่แรงเยอะอย่างนี้อะ
“จะไปเจอพี่เขาก็แต่งตัวให้มันดูดีหน่อยสิ”
“ไม่ค่ะ ไม่จำเป็น” ฉันรีบปล่อยแขนจากแม่เพราะรู้ว่าอย่างไรแม่ก็คงจะไม่ยอมลงไปง่าย ๆ เพราะฉะนั้นเราควรเอาตัวเองลงไปก่อนดีกว่าไม่อย่างนั้นแผนแต่งตัวพิลึกเพื่อสร้างความประทับใจแบบติดลบของฉันมันต้องไม่เป็นผลแน่นอน
คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบก้าวออกจากห้องแล้วสับเท้าถี่ลงบันไดลงไปแบบชิดที่ถ้ามีปีกก็คงจะบินไปถึงห้างแล้วละตอนนี้
“โธ่เอ๊ยลูกสาวฉัน”
พอมาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองฉันก็ได้แต่เดินตามแม่เข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม ผู้เป็นแม่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่นั่งรถมา แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองภายในใจของท่าน ช่วยไม่ได้ ก็ฉันยังไม่พร้อมเปิดใจนี่นา ต่อให้แม่จะเอาผู้ชายระดับไหนมาประเคนให้หนู หนูก็จะพูดคำเดียวว่า...
แต่งค่ะ
คำ ๆ นั้นเด้งเข้ามาในหัวฉันยามที่เข้ามาในร้านอาหารแล้วผู้เป็นแม่โบกมือทักทายกับเพื่อนในวัยเด็ก สายตาของฉันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายคุณป้าแล้วได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
พี่คิณนี่
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้แต่งตัวดี ๆ” ผู้เป็นแม่หันมากระซิบบอกฉันราวกับเป็นการตอกหน้าว่าเลือกที่จะคัดค้านคำแม่มันเป็นโทษร้ายแรงสถานไหน
ฉันก้าวเท้ามานั่งฝั่งตรงข้ามพี่คิณด้วยเรียวขาที่สั่นสะท้านก่อนจะหลบสายตาที่พี่เขามองมา แววตาเย็นชาของพี่เขายังไม่เปลี่ยนแปลงจนไม่รู้ว่าชายตรงหน้าซ่อนความรู้สึกอะไรไว้อยู่กันแน่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดต้องเป็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของฉันอยู่แล้วล่ะ
อับอายขายขี้หน้าที่สุดเลย
“เอ่อ... นิดาใช่ไหมลูก” คุณป้าเอ่ยถามอย่างประหม่าพลางเงยหน้าขึ้นมองหมวกใบสานอันใหญ่โตที่ดูจะเกะกะไปสักหน่อย
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
“สวัสดีจ้ะ เอ่อ ถอดหมวกก่อนดีไหมจ๊ะ แดดไม่ได้แรงอะไร” แดดไม่แรงหรอกค่ะคุณป้าแต่ความอับอายกำลังจะเผาไหม้หนูให้กลายเป็นจุณเลยค่ะ
“ขอโทษค่ะคุณป้า” ฉันว่าพลางยิ้มเจื่อนก่อนจะถอดหมวกใบนั้นออกจากหัวก่อนผมที่ฉันมัดเป็นดังโงะไว้ด้านในจะถูกปล่อยสยายลงมายาวยันกลางแผ่นหลัง
“น้องเขาแต่งตัวน่ารักดีนะว่าไหมคิณ” คุณป้าหันไปถามพี่คิณที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่เห็นหน้าฉัน พี่เขาคงช็อกกับการแต่งตัวของฉันไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้นั่งนิ่งปานรูปปั้นขนาดนี้อะ
“ครับแม่” พี่คิณตอบรับเพียงเท่านั้นแต่กลับจ้องฉันอย่างไม่วางตาอย่างกับฉันเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
ฉันก้มลงมองเสื้อยืดลายดอกสีฟ้าของตัวเองที่ใส่เข้ากับชุดเอี๊ยมกระโปรงสีชมพูบานเย็นยาวถึงข้อเท้าทั้งยังใส่ร้องเท้าบูตหนังสีขาวยาวขึ้นมาถึงหน้าแข้ง ไหนจะกระเป๋าสะพายที่เป็นรูปแมวเหมียวมีขนนี่อีก น่าอายชะมัดเลย
“ลืมแนะนำตัวเลย ป้าชื่อฐิติยานะจ๊ะ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ป้าญาก็ได้จ้ะ” แม่ฉันแนะนำตัวกับพี่คิณ
“ลูกฉันรู้แล้วจ้าว่าแกน่ะชื่อกะทิ”
“แหมยายอรก็ ไปเอาชื่อสมัยเด็กมาเรียกได้ไงเนี่ยอายเด็กหมด”
“ไม่เป็นไรเลยครับคุณป้า ผมว่าเรียกคุณป้ากะทิก็น่ารักดีนะครับ” พี่คิณว่าพลางอมยิ้มอ่อนทำให้ใบหนาของพี่เขาดูละมุนเข้าไปอีก
“แหมถ้าตาคิณว่าอย่างนั้นก็ได้จ้ะ นี่ลูกป้าเองนะ ชื่อนิดา นิดาทักทายพี่คิณเขาสิลูก” แม่หันมาจับที่ต้นแขนของฉันทำให้พี่คิณหันมาตามการขยับกายของแม่ ฉันรีบหลบสายตาของพี่เขาทันทีไม่ให้พี่เขาได้เห็นความลนลานของฉัน ไม่เห็นเลยจริง ๆ นะ
อย่าให้พี่เขาพูดว่ารู้จักฉันเลยนะขอร้องล่ะ
“ผมรู้จักแล้วละครับ น้องเป็นสายรหัสของผมเอง”
“ตายจริง โลกกลมชะมัดเลย” แม่ฉันว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนพวกเราจะพากันทานอาหารที่สั่งมา พวกแม่ ๆ คุยกันอย่างสนุกสนานเพราะไม่ได้พบปะกันมานานเลยมีเรื่องให้พูดคุยกันเยอะใช่ย่อย
พี่คิณเองก็ได้แต่นั่งทานอาหารอยู่เงียบ ๆ คุณป้าถามคำก็ตอบคำ ส่วนฉันก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยอาหารในจานตัวเองไปมา ใครมันจะไปทานลงกันล่ะ
“หนูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะแม่”
“เอาสิ” แม่ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนักเพราะมัวแต่พูดคุยกับเพื่อนสนิทอย่างออกรสออกชาติ ฉันเลยถือโอกาสปลีกตัวออกมา
ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำตัวคนเดียวเผชิญกับสายตาผู้คนที่พากันมองมาที่ฉันกันอย่างตกตะลึง ก็แหงสิ แบบนี้ใครเขาแต่งกันล่ะ
ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาว่าจะทักไปหาเพื่อนรักทั้งสอง
“นิดา” ฉันเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก พี่คิณยืนอยู่ตรงหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทำเอาฉันตกอกตกใจเสียจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือหลุดมือ
“พี่คิณมีอะไรหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงของฉันถามพี่คิณมันประหม่าเสียจนเสียงเกือบสั่น ไม่รู้ว่าพี่เขาจะรู้หรือเปล่า
“ไปเดินเล่นกันไหม”