วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ฉันต้องมานั่งอุดอู้เรียนอยู่ในคาบเลกเชอร์ที่แสนจะน่าเบื่อ เครื่องปรับอากาศทำความเย็นฉ่ำ ๆ ภายในห้องชวนให้ง่วงนอนจนตาปรือ
“เป็นอะไรเนี่ย” วิสะกิดไหล่ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มสัปหงกด้วยความงัวเงีย
“ฉันหนาวอะ เลยง่วง” ฉันหาวฟอดใหญ่พลางยกมือขึ้นป้องปากแล้วฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเพราะไม่อาจจะทนความง่วงนอนที่เข้ามารุมเร้าเสียจนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด
“อีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว แกจะมาหลับตอนนี้ไม่ได้นะ” มนใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าห้องที่ยังมีอาจารย์เปิดสไลด์พร้อมกับอธิบายโดยที่ฉันไม่ได้เข้าใจเนื้อหาหรือแม้แต่จะฟังมันอย่างตั้งใจด้วยซ้ำ
ฉันได้แต่หรี่ตามองข้อความที่ขึ้นมาผ่านตาให้ผ่านพ้นไปในแต่ละนาทีอย่างใจจดใจจ่อแม้ในหัวจะโล่งจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดผ่านความว่างเปล่าก็ตามที
จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเลิกคลาส เพื่อน ๆ ในห้องต่างเริ่มทยอยเดินออกกันมาด้วยท่าทีที่เหมือนหมดแรงกันเป็นแถบ รวมถึงฉันด้วย ฉันและเพื่อนสาวอีกสองคนเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับลมแรงที่พัดเข้าตีหน้าจนผมที่ปล่อยสยายของฉันปลิวไม่ได้ทรง
รู้แล้ว ที่อากาศน่านอนแบบนี้เพราะฝนตกนี่เอง
“ให้ตายสิ ฝนตก แล้วพวกแกจะกลับยังไงอะ” มนหันมาถามฉันใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย
“ทางเดินไปหอมันไม่เปียกมาก งั้นฉันไปก่อนแล้วกันก่อนที่มันจะตกหนักมากกว่านี้” วิว่าอย่างเป็นกังวลทั้งฉันและมนต่างพยักหน้ารับก่อนที่เธอจะแยกเดินออกไปตามลำพัง
“แกล่ะจะกลับยังไง” หลังจากที่ฉันกับไปยืนรอที่หน้าอาคารอยู่นานแต่ฝนกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงหรือเบาลง ยังคงโปรยปรายลงมาจนด้านนอกแทบจะเห็นเพียงแค่เม็ดฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก
“คนขับรถมารับอะ แต่รอฝนซากว่านี้สักหน่อยค่อยเดินออกไป” ฉันยืนกอดอกอย่างเบื่อหน่าย อากาศแบบนี้น่าจะนอนอยู่บ้านทั้งยังเฉอะแฉะไปหมดเธอไม่ชอบเลยจริง ๆ
“นิดา ติดฝนเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเรา ทั้งฉันและมนต่างพร้อมใจกันหันไปมองอย่างทันควัน เป็นพี่คิณที่ยืนอยู่ ใบหน้าหล่อมองมาทางพวกเราอย่างนิ่งเฉย
“ค่ะ” ฉันรีบตอบรับหนุ่มรุ่นพี่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ถึงแม้จะแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่เห็นว่าพี่คิณเป็นฝ่ายเดินมาทักก่อน พี่คิณไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ารับจนแล้วก็ยืนนิ่งจนฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “พี่คิณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มช้อนสายตาขึ้นมามองฉันจนขนสันหลังลุกวาบ อย่ามามองกันอย่างนี้สิคะพี่ ขนลุกหมดแล้ว
“เอาไปสิ” คนพี่ถอนหายใจก่อนจะยื่นร่มกันฝนมาตรงหน้าฉัน
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเบิกตากว้างมาก ไม่อยากเชื่อว่ารุ่นพี่ที่เขาบอกว่าเข้าถึงยากจะใจดีเอาร่มให้ฉันซะอย่างนั้น ฉันรีบเอื้อมมือไปรับด้วยความยินดีอย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเดินตากน้ำค้างไปขึ้นรถแล้ว
“ขอบคุณนะคะ” ฉันยิ้มกว้าง “แล้วพี่คิณจะกลับยังไงคะ ร่มมีอยู่คันเดียว”
“พี่ไม่เป็นไร พวกเราก็อย่าเปียกฝนล่ะ” พี่คิณปรายสายตามามองมนที่ยืนเกร็งตั้งแต่ตอนแรกจนเพื่อนรักสะดุ้งพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้หนุ่มรุ่นพี่
ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรต่อก่อนจะเดินออกจากตึกไปทั้งที่สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาจนร่างสูงตัวเปียกปอนท่ามกลางสายฝน
“อ้าว” ฉันร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าพี่คิณเดินตากฝนออกไปอย่างนั้นก่อนพี่เขาจะเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งไม่นานรถเก๋งที่จอดอยู่ก็ถูกพี่คิณขับออกไปจากลานจอดรถของคณะ
“อ้าว ฉันนึกว่าเขาให้ร่มแกเพราะจะขึ้นไปเรียนต่อซะอีก” มนว่าอย่างประหลาดใจ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ฉันยกร่มในมือขึ้นมามองอย่างสงสัย ร่มนี้ยังไม่ได้แกะป้ายราคาออกด้วยซ้ำแถมยังไม่ได้แกะพลาสติกที่หุ้มมาด้วยราวกับว่ามันไม่เคยถูกใช้มาก่อน
“ร่มใหม่นี่”
“พี่เขาแอบชอบแกเปล่าวะ” มนว่าพลางเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วเดินเข้ามาใกล้ฉัน ใบหน้าของเพื่อนสาวยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“บ้า อย่างพี่เขาเนี่ยนะ เขาเห็นฉันเป็นสายรหัสเฉย ๆ แหละ”
ฉันแสร้งทำไปว่าไม่ได้คิดอะไรถึงแม้ว่าใบหน้าของฉันจะเห่อร้อนจนลามไปถึงใบหูแล้วก็ตาม หัวใจในอกเต้นตูมตามอย่างตื่นเต้นไม่รู้ว่าจะแตกตื่นทำไม
แล้วถ้าพี่เขาเกิดชอบฉันขึ้นมาล่ะ
“ก็ไม่แน่นะ บางทีถ้าพี่คิณมาชอบแกขึ้นมาแกจะได้เป็นคนแรกที่หย่อนก้นลงจากคานยังไงล่ะ” มนใช้นิ้วมาม้วนปลายผมของฉันเล่นพลางเอ่ยแซวตามประสา
“บ้า” ฉันลากเสียงยาวพลางยกมือไปดันให้เพื่อนรักออกห่างอย่างเขินอาย แหม ก็คนมันเขินง่า
“แล้วแกเขินอะไรจ๊ะ”
“ไม่คุยกับแกละ พี่เขาไม่มีทางมาชอบผู้หญิงธรรมดาแบบฉันหรอกน่า”
“ใครว่าแกเป็นผู้หญิงธรรมดา แกเป็นถึงทายาทคนเดียวของเศรษฐีเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์เลยนะ แถมหน้าตาแกก็ไม่ได้จัดอยู่ในโหมด
ดูไม่ได้สักหน่อย” มนว่าทั้งยังยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน เวลาที่ฉันรู้สึกไม่มั่นใจก็จะมีมนเนี่ยแหละที่คอยมาให้กำลังใจฉันเสมอ นั่นเลยทำให้เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก ๆ
“แต่ว่ามน ฉันว่านะพี่เมนิลต้องแอบชอบพี่คิณแน่ ๆ เลย ฉันไม่อยากแข่งกับพี่เมนิลอะ” ฉันพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาเพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินบทสนทนาที่เราคุยกัน
“แกจะไปกลัวอะไร เดี๋ยวฉันช่วยแกเอง”
“ช่วยยังไง” ฉันหูผึ่งพลางจดจ้องไปหาเพื่อนสนิทอย่างสนอดสนใจ
“สนใจขนาดนี้ แกชอบพี่คิณแล้วใช่ไหม”
“บ้าไม่ได้ชอบ” ฉันรีบปฏิเสธเสียงสูงพลางรีบหันหน้าไปมองทางอื่นอย่างลนลาน ไม่ได้ร้อนตัวเลยนะ ใครจะไปชอบพี่คิณกัน ก็เขาทั้งหล่อทั้งเท่ แถมใจดีอีก ใครมันจะไปชอบล่ะ
“ถ้าแกไม่ชอบพี่คิณแล้วเรื่องอะไรฉันต้องช่วยด้วยล่ะ” ฉันรีบหันใบหน้ากลับมาหาเพื่อนสนิทอย่างทันควัน มนยกแขนขึ้นกอดอกพลางเลิกคิ้วมองมาทางฉันอย่างหยั่งเชิงตอนนี้หัวใจในอกของฉันมันสั่นระรัวเหมือนตอนโดนพ่อจับได้ว่าไม่ได้ไปเรียนพิเศษอย่างไรอย่างนั้นแหละ
“ก็แกบอกว่าแกจะช่วยฉันนี่”
“แต่ถ้าแกไม่ได้ชอบพี่คิณ ก็ไม่มีประโยชน์หรือเปล่า” ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากยามที่ถูกเพื่อนรักจับจ้องมาด้วยแววตาที่จับผิดปนขบขัน
เสียงฝนที่ดังอยู่ด้านนอกกลบเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ในทรวงอกไม่ให้คนอื่นได้ล่วงรู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังตื่นเต้นแค่ไหน ก็แหงล่ะ ฉันกำลังถูกเพื่อนสนิทต้อนให้ยอมรับว่าแอบชอบรุ่นพี่หนุ่มสุดฮอตอย่างพี่คิณทั้งที่เพิ่งรู้จักพี่เขาได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“เออ ฉันชอบพี่เขา” ฉันก้มหน้าลงมองพื้นกระเบื้องด้านหลังเพราะกลัวว่ามนจะล้อใบหน้าที่แดงระเรื่อ ถึงฉันจะไม่เห็นตัวเองแต่ก็สัมผัสได้เลยว่าหน้าฉันตอนนี้มันแดงเถือกเลยด้วยซ้ำ
“ก็แค่เนี่ย เดี๋ยวเพื่อนคนนี้จะช่วยแกเองนะ” มนเอื้อมมือมาบีบไหล่ฉันอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินออกจากตึกฝ่าฝนไปขึ้นรถของแม่เธอที่มาจอดรออยู่ตรงหน้าตึกได้สักครู่แล้วด้วยท่าทีที่อารมณ์ดีราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายโดนบอกชอบเองอย่างนั้นแหละ
พอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็เดินขึ้นชั้นสองมุ่งไปที่ห้องของตัวเองด้วยสภาพที่เหนื่อยหน่ายเต็มทีก่อนจะวางกระเป๋าลงบนเตียงนอนพร้อมกับหย่อนกายลงไปนั่งพัก
ในมือยังคงถือร่มคันที่พี่คิณให้ไว้พร้อมกับทอดสายตามองมันอย่างไม่วางตา
พี่คิณจงใจซื้อให้หรือเปล่านะ หรือว่าพี่คิณแค่พกมันมาใช้เองแล้วสงสารฉัน แต่ไม่ว่ายังไงพี่เขาก็ให้ร่มฉันไม่ใช่หรือไง
พอคิดอย่างนี้แล้วมุมปากฉันก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวจนต้องวางร่มนั้นพิงไว้กับโต๊ะข้างเตียง
พี่คิณ... ชอบฉันอย่างนั้นเหรอ
แค่คิดก็เขินจนแทบจะกรี๊ดออกมาแล้วบ้าเอ๊ย นี่ฉันเป็นอะไรของฉันเนี่ย
ฉันเอนกายลงไปนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงใหญ่พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงนอนจนผ้าปูที่นอนตึงยับยู่ยี่
ติ๊ง!!!
เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า ฉันรีบเอื้อมมือไปล้วงหยิบมันขึ้นมาด้วยความรีบร้อนก่อนจะกดเข้าไปอ่านข้อความใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น โทรศัพท์ในมือถูกชูขึ้นเหนือใบหน้าของฉันแถมยังจดจ้องมันอย่างลุ้นระทึก
มน: ทำใจดี ๆ นะแก ฉันมาห้างกับแม่แล้วเห็นพี่เมนิลกับพี่คิณยืนอยู่หน้าโรงหนังอะ
มน: แต่พี่เขาแค่อาจจะยืนคุยกันก็ได้ เนอะ ๆ
โทรศัพท์เครื่องบางหล่นลงทับใบหน้าของฉันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนฉันรีบลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการเจ็บปวด
โอ๊ย ยายบ้านิดา
ฉันยกมือขึ้นมาจับสันจมูกที่ถูกโทรศัพท์ล่วงลงกระแทกอย่างแรง ได้แต่โทษตัวเองที่ซุ่มซ่ามอะไรเบอร์นี้
แต่ว่าพี่คิณกับพี่เมนิล ถ้าไปหน้าโรงหนังขนาดนั้นแล้วจะเหลืออะไรนอกจากไปเดตกันล่ะ
ราวกับโทรศัพท์เมื่อครู่เป็นดังเครื่องเตือนสติฉุดฉันขึ้นมาจากฝันกลางวันที่ทำฉันหน้าแตกดังเปรี๊ยะหล่นลงไปกองบนพื้นเป็นเศษเล็กเศษน้อย
นิดาเอ๊ย นิดา แกต้องมั่นหน้าเบอร์ไหนเนี่ยว่าพี่เขาชอบแก
นั่นพี่คิณเลยนะ คิณ อคิราห์ หน้าก็หล่อพ่อก็รวย คนระดับสูงเบอร์นั้นจะหันมามองอะไรที่เธอกันล่ะ
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา ในใจฉันตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังมีดอกไม้ทั้งทุ่งเหี่ยวเฉาอยู่ในใจฉันเพราะพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างไรอย่างนั้นแหละ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“นิดาลูก” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงของหญิงสาววัยกลางคน ผู้เป็นแม่ของฉันเอง
“ค่ะแม่ เข้ามาได้ค่ะ” ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในห้องฉันหลังจากที่ฉันกล่าวอนุญาต
“เป็นอะไรเรา ไม่สบายเหรอ ตากฝนหรือเปล่า” ฉันส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ราวกับไม่มีเรี่ยวแรง
“เปล่าค่ะ หนูแค่เหนื่อย ๆ”
“งั้นเหรอ” แม่ลงมานั่งข้างฉันสายตาที่ห่วงใยจากผู้เป็นแม่จับจ้องมาทางฉัน
“มีอะไรหรือเปล่าคะแม่ หนูว่าจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”
“วันเสาร์นี้ว่างหรือเปล่า”
“ว่างค่ะ” ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะว่าไม่มีกิจกรรมรับน้องและฉันก็ไม่ได้ลงเรียนภาคพิเศษอะไร “แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือแม่นัดเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เธอเป็นเพื่อนแม่สมัยเรียนมัธยมเป็นเพื่อนสนิทกันเลยนะ”
“แล้วทำไมเหรอคะ” ฉันมองผู้เป็นแม่พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“แม่อยากให้เราไปด้วยนะ ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะ เนี่ยเพื่อนแม่เขาเอาลูกชายมาด้วยเห็นว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันรู้จักกันไว้ก็ดีนะลูก”
อย่าบอกนะว่า... แม่จะพาฉันไปดูตัวน่ะ