ทันใดนั้นภายใต้บรรยากาศกดดันของทั้งสองแม่ลูกที่ไม่มีผู้ใดยอมใคร ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ก็ได้คุกเข่าลงกับพื้น ซึ่งการกระทำนี้ของเขา ได้สร้างความตกใจให้กับไทเฮาและหลิวเยี่ยนจือเป็นอย่างมาก
ยิ่งเมื่อได้ยินถ้อยคำที่ชินอ๋องเฉินเทียนอี้กล่าวออกมาหลังจากนั้น ยิ่งทำให้พวกนางตกใจจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
"เสด็จแม่หากนางเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ไม่ทรงอนุญาตให้นางแต่งเข้ามาในฐานะชายารองของลูก เพื่อที่จะได้จับตาดูนางอย่างใกล้ชิด และดูพฤติกรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นของนาง เพราะว่าถึงอย่างไรลูกก็คงจะไม่ยอมปล่อยมือออกไปจากนางโดยง่าย เพียงเพราะข้อสันนิษฐานที่ไร้หลักฐานแน่ชัดเช่นนี้เป็นแน่" สายตาแน่วแน่ของชินอ๋อง ในขณะที่กล่าวออกมานั้น หาได้มีความลังเลใดๆ
ซึ่งสิ่งที่เขาได้แสดงออกมาทั้งหมด ถึงกับทำให้ไทเฮาทรงถอนพระทัยออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่พระนางจะจ้องมอง ไปที่ใบหน้าของหลิวเยี่ยนจืออย่างเห็นใจ
สตรีผู้นี้เพิ่งแต่งเข้ามาในตำหนักของพระโอรสของพระนางได้เพียง 1 เดือน แต่พระโอรสของพระนางกลับต้องการแต่งชายารองเข้ามาในตำหนักรวดเร็วถึงเพียงนี้ นี่เท่ากับว่าเป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้าชายาเอกเช่นหลิวเยี่ยนจือเลยแม้แต่น้อยเช่นนั้นหรือ
"จือเอ๋อร์เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้"
"หากมันคือความสุขของ ท่านอ๋อง หม่อมฉันก็ไม่ขัดข้องสิ่งใดเพคะ"
เหตุใดเรื่องราวทุกอย่างมันถึงไม่ได้เป็นไปอย่างที่พระนางทรงได้คิดเอาไว้ การเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้กับพระโอรสของพระนางได้รับทราบ แทนที่จะทำให้เขาตาสว่าง กลับยิ่งผลักดันให้ทั้งสองคน ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างที่พวกเขาต้องการเสียนี่
"ได้ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น แต่หากความจริงทุกอย่างได้ปรากฏแล้ว เจ้าจะต้องให้แม่ได้จัดการกับสตรีมากแผนการผู้นั้นด้วยมือของแม่เอง และเจ้าก็เลิกตามืดบอดเข้าข้างนางเป็นอันขาด"
"ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่หากทุกอย่าง ไม่ได้เป็นอย่างที่เสด็จแม่ทรงคิดเอาไว้ ลูกอยากจะขอให้เสด็จแม่ทรงได้ให้ความโปรดปรานกับนางบ้าง เพื่อลูกจะได้หรือไม่"
"ได้ แม่รับปากเจ้า"
และแล้วข่าวการสมรสพระราชทานแต่งชายารองเข้ามาภายในตำหนักชินอ๋องเฉินเทียนอี้ ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซึ่งข่าวการสมรสพระราชทานนี้ เสมือนกับเป็นการตีแสกหน้าตระกูลหลิวอย่างไม่ไว้หน้า
นั่นไม่เท่ากับว่าบุตรีคนเล็กของท่านเสนาบดีหลิวฉุนเหลียน ไม่สามารถมัดใจชินอ๋องเฉินเทียนอี้ได้เลยเช่นนั้นหรือ ทำให้หลังจากแต่งงานได้เพียงแค่ 1 เดือนถึงต้องแต่งชายารองเข้าไปในตำหนักเช่นนี้
แต่ข่าวนี้ กลับไม่ได้มีผลกระทบใดๆ กับหลิวเยี่ยนจือเลยแม้แต่น้อย นางยังคงใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งมันแตกต่างกับบุคคลในตระกูลหลิวเป็นอย่างมาก ที่ได้เป็นห่วงความรู้สึกของนาง ว่าในตอนนี้นางจะรู้สึกเสียใจมากเพียงใดกับการกระทำอันหยามเกียรตินี้ของชินอ๋องเฉินเทียนอี้
ภายในตำหนักอ๋องกำลังจัดเตรียมสถานที่ตกแต่ง ชายารองเข้ามาในตำหนักทำให้บ่าวไพร่ในเรือนต่างสาละวนวุ่นวายกันเป็นอย่างมาก
ซึ่งมันแตกต่างกับงานแต่งงานของนาง ราวฟ้ากับเหว ที่ในตอนนั้นแทบจะไม่มีการจัดเตรียมสถานที่ใดๆ เอาไว้เลยแม้แต่น้อย
หากว่านางมีความรู้สึกให้กับบุรุษผู้นี้ เกรงว่าในตอนนี้นางคงจะกระอักเลือดตายเป็นครั้งที่ 2 เป็นแน่
มันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก
คนที่รักกับคนที่ไม่ได้รักสินะ…
หลิวเยี่ยนจือ ยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่ตำหนักร้าง โดยพฤติกรรมทั้งหมดของนาง ต่างทำให้ผู้ที่พบเห็นล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจ เหตุใดสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าร้ายกาจมากเล่ห์ผู้นี้ถึงได้วางท่าทีนิ่งเฉย เหมือนกับไม่ได้รู้สึกรู้สาสิ่งใดได้เช่นนี้
โดยปกติแล้วการเตรียมงานแต่งชายารองของชินอ๋องในครั้งนี้ จะต้องเป็นหน้าที่ของชายาเอกอย่างหลิวเยี่ยนจือเป็นผู้จัดการทั้งหมด แต่ด้วยความที่ชินอ๋องไม่ทรงไว้ใจ ให้นางจัดการดูแล จึงได้รับสั่งให้พ่อบ้านประจำตำหนักอ๋องเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ซึ่งหลิวเยี่ยนจือเองก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอันใด
หลิวเยี่ยนจือแทบจะพยายามทำตัวให้เหมือนกับไม่มีตัวตนอยู่ในตำหนักนี้ด้วยซ้ำ เพราะนางเบื่อความวุ่นวาย วันหนึ่งของนางหมดไปกับการตระเตรียมอาหาร และทำความสะอาดตกแต่งตำหนักร้างแห่งนี้ ให้ดูน่าอยู่ขึ้น เพราะหลังจากวันที่กลับมาจากวังหลวง ชินอ๋องเฉินเทียนอี้ ก็ได้ไล่นางให้มาอยู่ยังตำหนักร้างแห่งนี้ โดยไร้ซึ่งข้ารับใช้ มีเพียงแค่เสี่ยวจิ่วเท่านั้น ที่คอยอยู่เคียงข้างนาง
หากเขาต้องการที่จะเห็นความไม่พอใจของนางแล้วละก็ ฝันไปเถอะ นางจะทำตัวเสมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และจะไม่ทุกข์ทนทรมานดิ้นรนไปกับสิ่งที่เขาต้องการจะเห็นอย่างแน่นอน
แต่อย่าคิดว่านางจะอยู่ในคุกแห่งนี้ตลอดชีวิต เพราะนางจะต้องหาทางโบยบินออกไปจากที่นี่ในสักวันหนึ่ง ที่มีโอกาส เพียงแค่ตอนนี้ นางต้องศึกษาดูทางหนีทีไล่ให้ดีเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดกับสถานที่อันแปลกประหลาดไม่คุ้นชินแห่งนี้
"พระชายาเพคะ วันนี้เราจะทำอาหารอะไรกันดี" ใบหน้าตื่นเต้นดีใจของเสี่ยวจิ่ว ในขณะที่กล่าวออกมากับนาง สามารถบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านางรู้สึกเช่นไร
หลิวเยี่ยนจือเห็นเสี่ยวจิ่วที่กำลังหอบของพะรุงพะรัง เต็มทั้งสองมือ ก็ให้รู้สึกขบขันในท่าทีนั้นของนางอย่างยิ่ง หลังจากที่นางได้สอนถึงการทำอาหารที่แปลกใหม่ และการทำเครื่องปรุงแบบต่างๆ อย่างที่สาวใช้ผู้นี้ไม่เคยพบเจอมาก่อน ถึงกับทำให้การทำอาหารในแต่ละครั้งนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นและสนุกสนานของเสี่ยวจิ่วไปโดยปริยาย
ถือว่าเครื่องปรุงในยุคโบราณนี้ มีการพัฒนาไปมากโข อย่างที่นางก็ไม่คาดคิดเช่นกัน พวกเขามีทั้งน้ำส้มสายชู ซีอิ๊วหมัก และน้ำมันใช้แล้ว จึงทำให้การปรุงอาหารของนางในแต่ละครั้ง ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย เพียงแค่นางเพิ่มส่วนผสมบางชนิดเข้าไป ก็ทำให้รสชาติของอาหารมีรสเลิศอย่างที่นางต้องการได้แล้ว
วันนี้นางจึงเลือกทำเมนูง่ายๆ อย่างเนื้อหมูสามชั้นหมักซีอิ๊วทอดกรอบ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ บวกกับน้ำซุปกระดูกหมู ในแบบฉบับของนางเพียงเท่านี้ ก็ทำให้เสี่ยวจิ่วสามารถน้ำลายสอได้แล้ว
ในขณะที่พวกนางกำลังปรุงอาหารอยู่นั้น กลิ่นหอมของอาหาร ได้โชยไปไกล ทำให้บุรุษผู้หนึ่ง ที่กำลังเดินผ่านมายังบริเวณนี้ ถึงกับต้องหยุดชะงัก และตามกลิ่นหอมนั้นมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่เมื่อเขาพบว่ากลิ่นหอมนั้น ออกมาจากตำหนักใด เท้าที่กำลังก้าวต่อไปก็ให้หยุดชะงักลงในทันที เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจ เดินเข้าไปในตำหนักแห่งนั้น ด้วยความอยากรู้
ภาพที่เห็นยังเบื้องหน้าของชินอ๋องเฉินเทียนอี้ในตอนนี้คือ 2 สตรี กำลังขะมักเขม้นในการปรุงอาหารอย่างสนุกสนาน ใบหน้าของพวกนาง เปื้อนไปด้วยเขม่าควัน แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในขณะที่พวกนาง กำลังปรุงอาหารนั้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพวกนางกำลังมีความสุขมากเพียงใด
ความเป็นกันเอง มิได้แยกนายบ่าวอย่างเช่นสตรีสูงศักดิ์ทั่วไป ทำให้เขารู้สึก แปลกใจกับพฤติกรรมของ สตรีผู้นี้ โดยปกตินางมักจะถือตัว และอวดดีว่าตนเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์มิใช่หรือแล้วเหตุใดภาพเบื้องหน้า ที่ปรากฏยังครรลองสายตาของเขาในตอนนี้ ถึงได้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
"พระชายาแบบนี้ใช้ได้หรือยังเพคะ"
"อือ พอแล้ว ให้พอแค่เป็นสีเหลืองก็พอ หากสีเข้มกว่านี้มันจะไหม้เอาได้ ข้าวในหม้อสุกหรือยัง น้ำซุปที่ข้าต้มเอาไว้เสร็จพอดี"
"สุกแล้วเพคะ"
"อือ งั้นก็จัดอาหารใส่สำรับได้เลย ดูท่าแล้วข้าคิดว่าในตอนนี้ เจ้าคงหิวมากเป็นแน่" หลิวเยี่ยนจือหัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าเสี่ยวจิ่วมีน้ำลายไหลออกมาจากปากอย่างไม่เก็บอาการของสาวใช้ ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีเสียอย่างนั้น
"พระชายา ดีที่ในตำหนักแห่งนี้ยังมีอุปกรณ์ให้ทำครัวเหลืออยู่บ้าง หาไม่แล้วเกรงว่า พวกเราคงลำบากกว่านี้เป็นแน่ พวกบ่าวไพร่ในตำหนักก็ชักจะเหิมเกริมกันไปหมด ถึงขนาดรังแกพระชายาเช่นนี้ เหตุใดพระชายาถึงไม่นำเรื่องนี้ไปกราบทูลท่านอ๋องล่ะเพคะท่านอ๋องจะได้จัดการบ่าวไพร่ ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพวกนั้น"
"เสี่ยวจิ่วเจ้าอย่าได้กล่าวถึงบุรุษผู้นั้นอีกเลย แค่เพียงเขาเห็นหน้าของข้า เกรงว่าคงจะรีบไล่ตะเพิดข้าออกมาจากตำหนักของเขาแทบจะไม่ทันเลยทีเดียว แล้วเช่นนี้เจ้าคิดว่าเขายังจะทวงความเป็นธรรมให้กับข้าได้อยู่อีกเช่นนั้นหรือ หากจะไปขอร้องให้บุรุษผู้นั้นช่วย ข้าว่าไปฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมยังจะได้รับความเป็นธรรมเสียกว่า"
"โธ่พระชายา เหตุใดชีวิตของพระองค์ถึงได้รันทดเช่นนี้"
"เจ้าจะเศร้าไปไย ถึงอย่างไร ข้าก็จะไม่ทนอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นแน่" เพราะอีกไม่นาน ข้าก็จะหนีออกไปจากสถานที่อันน่าอดสูนี้ แต่ถ้อยคำหลังนั้น หลิวเยี่ยนจือไม่ได้พูดมันออกมา เพราะเกรงว่าสาวใช้อย่างเสี่ยวจิ่ว จะตกอกตกใจเอาได้
"ทำไม เจ้าคิดที่จะทำแผนการชั่วช้าอันใดอีก"
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงของบุรุษ ดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกนาง
หลิวเยี่ยนจือมิคาดคิดว่าคำพูดประโยคเมื่อสักครู่นี้จะทำให้บุรุษผู้ที่แอบฟังอยู่เข้าใจผิด คิดว่านางจะวางแผนการร้ายกาจกับเขาเช่นนี้ หากนางรู้นางจะไม่กล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกไปเด็ดขาด เพราะนางเบื่อเรื่องยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นจากมือของบุรุษผู้นี้ เกรงว่าต่อจาก นี้ไป เขาคงไม่ยอมรามือในการกลั่นแกล้งนางอย่างแน่นอน