“นี่ก็ผัวไง ที่เราได้เสียกันเมื่อคืนอ่ะ...ตั๋วจำเค้าไม่ได้อ่อ?” คำพูดคำจาที่เริ่มเปลี่ยนและแปลกไป ต่อให้เขาจะดูเหมือนอ้ายก็อตมากขนาดไหน แต่ความรู้สึกบางอย่างในอกตอนนี้มันกลับร้องตะโกนบอกว่า เขาไม่ใช่ !
“คะ คุณเป็นใคร!?” เพราะรู้สึกอย่างนั้นปากก็เลยพลั้งถามออกไปพลางสะบัดตัวให้หลุดจากการถูกแตะต้อง
คนถูกถามนิ่งลงทันที แต่ไม่ใช่กับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังหึในลำคอซึ่งยังมีให้เห็น
“แล้วน้องพริกคิดว่าพี่เป็นใครล่ะคะ?” ไม่ใช่แค่ถามแต่ผู้ชายตรงหน้ายังถือโอกาสใช้นิ้วเอื้อมแตะมายังโครงหน้าฉันแล้วลากตามสันกรามอย่างอ่อนโยน ด้วยรอยยิ้มและแววตาต่างไป อีกทั้งยังเอ่ยคำตอบของคำถามด้วยตัวเอง “เราสองคนก็เป็นแฟนกันไงคะ…”
“มะ ไม่ใช่!” สมองสั่งให้ร่างกายปฏิเสธสัมผัสดังกล่าวด้วยการสะบัดหน้าหนี ไม่ใช่แค่นั้นฉันยังกระเสือกตัวลงจากเตียง โดยกำชับผ้าห่มปิดบังกายเอาไว้แน่น
“ฉันถามว่าคุณเป็นใคร!?” อีกครั้งที่ฉันตะเบ็งเสียงถามสิ่งที่อยู่ในความคิดตัวเองออกไปแบบไม่ลังเล
สายตาจับจ้องความมีพิรุธบนใบหน้าหล่อเหลา ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ใช่แฟนฉันเท่านั้น ที่กำลังสร้างความตกใจและความช็อกแต่มันรวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับร่างกายฉันอีกด้วย
“กอล์ฟ…” เขาพ่นวลีสั้นออกมาอย่างหนักแน่น ทั้งที่มันควรเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแท้ๆ แต่เขากลับยังสามารถคงรอยยิ้มเอาไว้ได้ ทำเหมือนกับว่ามันคือเรื่องปกติและไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
“พะ พี่หลอกหนู...”
“หลอกอะไรกันคะ” เขาขัดแบบไม่รอฟังให้จบอีกทั้งยังกล่าวเสริมเหมือนว่าคนที่ผิดคือตัวฉันเอง “พี่แค่บอก แต่น้องพริกดันเชื่อเอง...ไม่ใช่เหรอ?”
ใช่! มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพียงเพราะเขาบอกว่าเป็นอ้ายก็อต ฉันก็เชื่อ ที่มันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าฉันดีใจยังไงล่ะ ที่คิดว่าคนที่ได้เจอเป็นแฟนสุดที่รัก แถมหน้าตาเขายังเหมือนกับอ้ายก็อตอย่างกับถอดแบบกันมาขนาดนี้
ถ้าหากว่าเขาไม่ใช่ แล้วทำไมเขาถึงยัง…
“ทำไมพี่ไม่บอกหนูว่าพี่ไม่ใช่พี่ก็อต!?” ใช่! ทำไมเขาถึงไม่บอก แถมยังพูดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับอ้ายก็อตได้ถูกต้องเหมือนกับเจอมาด้วยตัวเองอีก!
“ก็หนูไม่ได้ถามพี่อ่ะ” เขาตอบเสียงอุบอิบ ไม่ได้แสดงท่าทางตกใจแบบเดียวกับที่ฉันแสดงออกไปเลยสักนิด
“พี่ปล้ำหนู! หนะ หนูจะแจ้งความ!” สิ้นเสียงคำขู่เพราะอาการร้อนรน ผู้ชายที่ฉันคิดว่าเป็นอ้ายก็อตก็กระตุกยิ้มหยันคล้ายกับว่ารอคอยคำพูดอะไรทำนองนี้จากปากฉันมานาน
เขาดันตัวลุกออกจากเตียง และเปลี่ยนท่ายืนในการมองฉันเป็นท่ากอดแล้ว พร้อมด้วยคำถามยอกย้อนสั้นๆ
“พี่ปล้ำหนูที่ไหนกัน? เรื่องเมื่อคืนเขาเรียกว่ายอมความกันทั้งสองฝ่ายต่างหาก” พี่กอล์ฟ(เรียกตาม) พูดยิ้มๆ เขาหรี่ตามองฉันท่าทางเจ้าเล่ห์ ก่อนชิงพูดออกมาเป็นหนที่สอง “เมื่อคืนน้องพริกร้องอ๊า ส่วนพี่ก็ร้องอืม… แบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าเจ๊าหรอกเหรอคะ?”
“เจ๊าอะไรกันล่ะคะ!?” ฉันแผดเสียงออกไปแบบไม่รอฟังให้จบประโยคดี
“ในเมื่อน้องพริกให้หัวใจกับคนน้อง แต่ร่างกายให้คนพี่…” ร่างทั้งร่างเริ่มสั่นรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อได้ฟังคำพูดแปลกๆ ของคนตัวใหญ่เบื้องหน้า ในหูได้ยินแต่คำว่าคนพี่ คนน้อง ลอยวนซ้ำไปมาราวกับเป็นเรื่องเดียวที่ฉันคิดได้ในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้าลั่นวาจาประโยคสุดท้ายออกมา “ถ้าไม่เรียกว่าเจ๊ากัน งั้นก็เท่ากับว่าน้องพริกได้เปรียบควบสองเลยนะคะเนี่ย”
“พี่พูดอะไรหนูไม่เข้าใจ!” ใช่! ฉันไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจด้วย ลำพังแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ทำฉันช็อกจนไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว
ทำไมนะ! ทำไมฉันถึงไม่เชื่อฟังคำพูดของแม่ ว่าคนเมืองกรุงมันนิสัยเสีย!
“ถ้าให้พี่อธิบาย มันคงจะยาว…” ทั้งที่ฉันร้อนรนจนสูญเสียความเป็นตัวเองขนาดนี้ แต่อ้ายกอล์ฟ ยังคงทำหน้าทะเล้น กลอกตามองบนทำท่าครุ่นคิดแบบไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่ผ่านมา แถมยังเสนอ “งั้นเรามาแนะนำตัวกันสั้นๆ ดีกว่าไหม?”
นี่เขายังมีหน้าคิดจะแนะนำตัวอีกเหรอ...
“พี่ชื่อกอล์ฟค่ะ…” ใจฉันเร่งจังหวะการเต้นถี่ เมื่อหูเงี่ยฟังคำพูดแนะนำตัวจากบุคคลตรงหน้า ก่อนที่อัตราการเต้นจะช้าลงจนแทบหยุดเต้น เมื่อเขาลั่นวาจาประโยคสุดท้ายออกมา ขณะบนใบหน้าหล่อกำลังแสดงรอยยิ้มร้ายกาจดุจดั่งปีศาจไร้ความสำนึก “เป็นพี่ชายฝาแฝดของไอ้ก็อต ฝากตัวด้วยนะคะ…”
“ขี้จุ๊!” แน่นอนว่าฉันตวาดเสียงกลับไปแบบไม่ลังเล นับตั้งแต่รู้จักกับอ้ายก็อตมา 4 ปี ฉันไม่เคยได้ข่าวเรื่องพี่หรือน้องของเขาเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่ว่าเขามีฝาแฝด
ขี้จุ๊! ป้อชายคนนี้ขี้จุ๊ขนาด!
แต่แล้วคนตัวสูงตรงหน้าก็เปลี่ยนความคิดของฉันอีกครั้ง พี่กอล์ฟพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ คล้ายกับเหนื่อยหน่าย แต่ยังคงท่าทางซึ่งดูเหนือกว่าเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคำถามท้าทาย
“ถ้าไม่เชื่อ งั้นน้องพริกก็ลองโทรไปถามไอ้ก็อตดูสิ” เขาเงียบเสียงลงครู่หนึ่ง ขณะกวาดตามองสำรวจร่างกายฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจนต้องเผลอกำกระชับผ้าห่มคลุมกายเอาไว้จนแน่น “จะโทรเองหรือให้พี่ให้โทรให้ เลือกเอานะ...”
บอกไม่ถูกเลยว่าฉันควรจะทำไง เมื่อถูกอีกฝ่ายท้าทายแบบนั้น หน้ามันชาไปหมด สายตามองเห็นว่าปากเขากำลังขยับ แต่หูมันอื้อจนฟังคนตรงหน้าพูดต่อไม่รู้เรื่อง
“เงียบทำไมอ่ะ เงินโทรศัพท์ไม่มีเหรอ งั้นเดี๋ยวพี่โทรให้เอามะ?”
ฟึ่บ!
“อ้าว!”
ตึก! ตึก! ตึก!
ฉันน่ะเป็นพวกขี้ขลาดและเกลียดบรรยากาศกดดันเป็นที่สุด เมื่อสมองปฏิเสธที่จะรับรู้หรือให้คำตอบใดในช่วงที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ร่างกายเลยตอบโต้กลับด้วยการก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ใช้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวในการตัดสินใจหอบผ้าห่มปกคลุมร่างกายวิ่งหนีออกจากห้องพักของโดยไม่ฟังเสียงใดอีก
“จะไปไหนอ่ะ ยังไม่ให้คำตอบพี่เลยนะ!” แม้จะมีเสียงยียวนของเขาดังไล่หลังมาก็ตาม
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
ตึง!!
ทันทีที่ฉันพาตัวเองหนีกลับเข้ามาในห้องพักตัวเองได้สำเร็จ ขาทั้งสองข้างมันก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ ทรุดตัวลงนั่งหลังพิงกับประตูห้อง ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรจะทำอะไรต่อ สมองมันวางไปหมดแม้ว่ามือจะกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น
หัวใจฉันตอนนี้เต้นแรงมาก ในหัวมีแต่คำพูดประโยคนั้นของเขาดังสลับกับคำพูดท้าทายไม่หยุด
‘พี่ชื่อกอล์ฟค่ะ เป็นพี่ชายฝาแฝดของไอ้ก็อต ฝากตัวด้วยนะคะ…’ ช็อกจนพูดไม่ออก เคยได้ยินคำนี้มานาน แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเองแบบนี้
นี่คงจัดว่าเป็นเซอร์ไพรส์ที่เฮงซวยที่สุด
Rrrrrrrr
“เฮือก!” เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำฉันสะดุ้ง รีบก้มมองรายชื่อของคนที่โทรเข้ามา
หัวใจกระตุกวูบแบบห้ามไม่ได้เมื่อพบว่าคนที่โทรเข้ามาคืออ้ายก็อต ฉันลังเลที่จะรับสายไปชั่วขณะหนึ่งจนกระทั่งสายตัดไป แต่ไม่นานเขาก็โทรเข้ามาใหม่ จนสุดท้ายแล้วฉันก็ต้องจำใจรับสายในที่สุด
[พริกเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่รับสายพี่…] น้ำเสียงใจดีที่ลอดผ่านปลายสายฟังดูเป็นกังวลใจแถมยังร้อนรน พอได้ยินเสียงของเขาที่เหมือนไม่รู้อะไรเลย ฉันก็ยิ่งกลัว เลยต้องพูดโกหกออกไป
“มะ เมื่อกี้พริกอาบน้ำค่ะ ก็เลยไม่ได้รับสาย” เชื่อไหมนับตั้งแต่คบกับอ้ายก็อตมานี่คือครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฉันกล้าพูดโกหกใส่เขาแบบนี้
[พี่นึกว่าพริกโกรธพี่ซะอีก…ก่อนหน้าพี่พูดไม่ดี ไม่โกรธใช่ไหมคะ?]
“จะโกรธทำไมล่ะคะ พริกแค่เหนื่อยนิดหน่อยไม่ได้โกรธหรอกค่ะ”
[แต่พี่โกรธนะคะ เมื่อคืนพี่โทรหาพริก ส่งข้อความหาก็แล้ว ทำไมไม่รับสายไม่ตอบกลับเลย รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง]
เขาคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ สินะ…
“อ้ายก็อต…”
[จ๋าว่าไง?]
“อ้ายก็อตมีพี่ชายหรือเปล่า?” เพราะไม่อยากให้ตัวเองต้องจมอยู่กับความสับสน ปากก็เลยถามอะไรแบบนั้นออกไป และต่อให้คำตอบที่ได้รับกลับมาจะเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ก็ตามที ยังไงฉันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี...
[อยู่ๆ ถามทำไมคะเนี่ย?] เขาย้อนคล้ายกับสงสัย ก่อนจะตอบคำถามที่ค้างไว้ออกมา [มีค่ะ จริงๆ แล้วพี่มีพี่ชายฝาแฝดอยู่คนหนึ่ง มันชื่อไอ้กอล์ฟ]
และใช่ คำตอบของเขาเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือเขา
[พี่กับไอ้กอล์ฟสนิทกันมากเลยนะรู้ไหม…] สนิทกันมากอย่างงั้นเหรอ [พี่กับมันไม่เคยมีความลับต่อกันเลยสักครั้ง น่าอิจฉาใช่ไหมล่ะ?]
‘พี่ชื่อกอล์ฟค่ะ เป็นพี่ชายฝาแฝดของไอ้ก็อต ฝากตัวด้วยนะคะ…’
รวมไปถึงผู้ชายข้างห้องที่พูดจาแปลกๆ นั่นก็ด้วย
[สรุปแล้ว น้องพริกถามเรื่องพี่ชายทำไมเหรอคะ?] คำถามของอ้ายก็อตทำฉันสะดุ้งจากภวังค์ความคิด จำต้องดึงสติแล้วรัวคำพูดออกไปอีกครั้ง
“อ๋อ ตอนหนูมาถึงกรุงเทพฯ หนูป๊ะคนหน้าคล้ายอ้ายก็อตด้วย ก็เลยสงสัยน่ะเจ้า”
อีกแล้ว ฉันโกหกเขาอีกแล้ว…
[กรุงเทพฯเหรอ!?] เสียงของเขาดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก ดูไม่เหมือนคนที่เคยเจอกันมาก่อนเลยสักนิด [นี่หรือว่าน้องพริกสอบติดมหาวิทยาลัยตามที่สัญญากันไว้ได้แล้ว?!]
“อื้อ!” พอได้ยินเสียงดีอกดีใจของอ้ายก็อตแล้ว ฉันก็อดยิ้มตามไม่ได้ เพราะสิ่งที่ฉันอยากได้ยินที่สุดตอนมาถึงกรุงเทพฯ ก็คือเสียงดีใจอย่างสุดแบบนี้นี่แหละ “พริกทำได้แล้วเจ้า คิกๆ”
แล้วฉันก็อยากเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเขาตอนที่เราได้เจอหน้ากัน…
‘อยากส่งหาเมียทุกวันไม่ได้เหรอ?’ แต่พอมีเสียงของใครอีกคนดังแทรกเข้ามาในหัวร่างกายมันกลับชะงักงันลง ถ้อยคำที่ตอกย้ำว่าฉันได้ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่กับคนที่รักมากที่สุดในชีวิต‘ถ้าไม่ได้กันไม่เรียกแบบนี้หรอกนะ’
[พริกเงียบทำไมคะ?] อีกครั้งที่เสียงของอ้ายก็อตดึงฉันให้หลุดจากภวังค์ความคิดออกมาเผชิญกับความจริง
“อ้ายก็อตรอพริกแป๊บหนึ่งเน้อ พริกขอแต่งตัวก่อน”
[แต่งตัวไวๆ นะ ไม่ได้คุยตั้งคืนหนึ่ง คิดถึงจะแย่แล้วเนี่ย…] คำพูดที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย ความผูกพันผ่านระยะทางไกลๆ ที่เรามีให้ต่อกัน ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยจืดจางไปไหน ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าถ้าวันหนึ่งฉันต้องเสียคนรักและความรู้สึกเหล่านี้ไปจะเป็นอย่างไร
“เจ้า!” ทุกอย่างที่ฉันได้จากอ้ายก็อตตลอดระยะเวลา 6 ปี มันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันควรจะรักษาความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ ต่อให้ร่างกายฉันมันจะเกิดตราบาปขึ้นก็ตาม
อ้ายก็อตจะต้องไม่มีทางได้รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด!
หลังจากนั้น ฉันใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีในการแต่งกายจนเรียบร้อยเพื่อมาคุยโทรศัพท์กับอ้ายก็อตต่อ ทำตัวเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพยายามไม่พูดถึงใครอีกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาทางสายเลือด เรื่องส่วนใหญ่ที่เราคุยกันนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียน พอได้คุยกับอ้ายก็อตแบบนี้ อะไรๆ ที่เคยเป็นกังวลก็คล้ายกับจะถูกทำให้ลืมไปด้วย จนกระทั่ง ปลายสายเริ่มพูดเข้าเรื่องของพี่ชายตัวเองออกมาอีกครั้ง
[แล้วนี่น้องพริกพักอยู่ที่ไหนคะ หอพักรวม A ใกล้มหา’ลัยหรือเปล่า เผื่อว่างๆ พี่จะไปนั่งเล่นด้วย]
“เอ่อ…” ฉันเงียบเสียงลงไปครู่หนึ่งอย่างนึกลังเล เมื่อถูกปลายสายถามเช่นนั้น ถ้าบอกไปว่าฉันพักอยู่ที่หอพักAล่ะก็ บางทีเขาอาจจะโทรหาอ้ายกอล์ฟแล้วถามเรื่องฉันก็ได้ ดังนั้น…
“พริกจำชื่อหอพักไม่ได้แล้ว เดี๋ยวพริกบอกอ้ายก็อตอีกทีได้ไหมคะ?” เลยจำเป็นต้องโกหกอย่างเลี่ยงไม่ได้
[งั้นน้องพริกลองเดินออกไปที่ระเบียง แล้วบอกพี่ทีว่าเห็นอะไรบ้าง] พอได้ฟังอ้ายก็อตพูดแบบนั้น ฉันก็เลยต้องย้ายตัวเองออกไปที่ระเบียง แม้ลึกๆ จะไม่อยากบอกที่อยู่ของตัวเองให้อีกฝ่ายทราบเลยก็ตาม
ส่วนหูเงี่ยฟังเสียงปลายสายไปด้วย
[เห็นอะไรบ้างคะ?]
“เอ่อ…” ฉันลากเสียงขณะกวาดตามองวิวทิวทัศน์โดยรอบ ก่อนพบเข้ากับอาคารหลังใหญ่ที่มีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกสีแดงเป็นจุดเด่น “หนูเห็นตึกสูงๆ ที่มีป้ายเครื่องหมายบวกสีแดงค่ะ ใกล้มากๆเลย”
[เห็นเครื่องหมายโรงพยาบาลงั้นเหรอ...] เขาพึมพำ และไอ้เสียงที่เขาพึมพำนี่แหละที่ทำให้ฉันตกใจ เมื่อตระหนักได้ว่าคำตอบที่พูดไปคล้ายกับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง [หรือว่าจะเป็นหอพักรวมA หอเดี๋ยวกับไอ้กอล์ฟจริงๆ?]
“หอพักรวมA เหรอคะ? ไม่น่าจะใช่หรอก” ปากน่ะพยายามปฏิเสธความจริง ขณะมือบีบราวกั้นระเบียงเอาไว้แน่น
[ทำไมจะไม่ใช่ ก็หอไอ้กอล์ฟนะ ตรงระเบียงห้องมันก็มองเห็นสัญลักษณ์โรงพยาบาลเอกชนA ได้ใกล้มากเหมือนกัน…] หัวใจฉันเหมือนกับกำลังถูกบีบ เมื่ออ้ายก็อตเริ่มพูดจาที่โยงผู้ชายข้างห้องคนนั้นมาเกี่ยวข้องอีกครั้ง
“ระ… เหรอคะ?” ในหัวมีแต่ความกลัวและความหวาดระแวง ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูดอะไรตอบเขากลับไป “อ้ายก็อต พริกเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของหอเรียก พริกต้องวางก่อนหนา”
นอกจากโกหกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
[อ้าวเหรอ งั้นวางก่อนก็ได้ เพราะพี่ก็ต้องเข้าประชุมคณะต่อเหมือนกัน] เขาเงียบเสียงลงเล็กน้อย ก่อนพ่นคำพูดประโยคเดิมๆ ที่ฉันได้ยินจนชินหูออกมา [เดี๋ยวพี่ส่งข้อความหานะ รักพริกนะคะรู้ไหม?]
“พริกก็รักอ้ายก็อตเจ้า” และตอนนี้คงจะมีประโยคแทนความรู้สึกนี้เพียงประโยคเดียวเท่านั้นแหละที่เป็นความจริง
หลังจากอ้ายก็อตวางสายไป สายตาก็ทอดมองออกไปในที่ไกลๆ เพื่อปรับสภาพจิตใจและความคิดให้กลับมาปกติ นอกจากจะรู้สึกหวาดระแวงกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวแล้ว ฉันอดคิดถึงอนาคตความสัมพันธ์ของตัวเองไม่ได้ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าหากวันหนึ่งพี่ก็อตได้รู้ว่าร่างกายฉันได้ทรยศความซื่อสัตย์ที่เขามีให้ พลีให้กับผู้ชายอีกคนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชาย
มันต้องแย่แน่ๆ...
“พริกก็รักอ้ายก็อตเจ้า…” เสียงเข้มแต่แสร้งดัดเสียงให้มีจริตอย่างกับผู้หญิง ทำฉันตวัดหางตามองไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนพบเข้ากับผู้ชายในสภาพเปลือยท่อนบนสวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวกำลังยืนหันหลังพิงระเบียง
มือเขากำลังยกบุหรี่ขึ้นต่อดูด ไม่ได้มองฉันหรอก แต่ไม่ใช่กับปากที่คล้ายกับกำลังพูดต่อว่าฉันทางอ้อม
“ขนาดรัก ยังกล้าโกหกแบบนี้ ถ้าไม่รักเลยจะขนาดไหนน้าา~” คนใจร้ายค่อยๆ เบือนหน้ามองฉัน ริมฝีปากหยักลึกกระตุกยิ้มหยันราวกับจะบอกให้รู้ว่า เขาสมเพชความรักที่ฉันมีต่อน้องชายฝาแฝดของตัวเองเสียงเต็มประดา
นิสัย สีหน้า ท่าทาง รวมไปถึงคำพูดของเขาตอนนี้ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่ได้เจอ พอมองดีๆ แล้วเขาไม่ได้มีส่วนไหนคล้ายอ้ายก็อตเลยสักนิด ยกเว้นแค่หน้าตา
พี่กอล์ฟจงใจพ่นควันสีขี้เถ้ามายังจุดที่ยืนจนต้องรีบใช้มือมือไล่ และเมื่อควันเหล่านั้นจางลงไปก็พบว่า เขากำลังมองหน้าฉันพลางใช้มือข้างที่ไม่ถือบุหรี่ใช้ปลายนิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนส่งเสียงออกมาเป็นทำนองเพลง
“ขี้จุ๊เบเบ้ ขี้จุ๊ตาละลา~”