เป็นอีกวันที่มินตราต้องลากสังขารลุกจากที่นอน ใบหน้าที่ซีดเซียวสื่อให้รู้ถึงร่างกายที่ไม่ปกติ เธอคลานออกมาที่ประตู เปิดให้คนที่มาเคาะรัวๆ เหมือนว่าใจมันจะขาดลงตรงนี้ เธอไม่เคยอาการหนักขนาดนี้เลย
“โอ๊ย...หนู!? เป็นอะไรไหมเนี่ย”
สตรีวัยสี่สิบเศษ รูปร่างเจ้าเนื้อ ทาลิปสติกสีแดงแปร๊ดเป็นเอกลักษณ์ ร้องถามเจ้าของห้องที่เพิ่งเปิดประตูให้ เจ๊ตกใจน่ะสิ เพราะไม่คิดว่ามินตราจะป่วยจนหน้าซีดขนาดนี้
“ไม่เป็นไรค่ะ หนู...เป็นไข้นิดหน่อย”
มินตราตอบเจ๊ด้วยเสียงเพลียๆ เจ๊หงส์เป็นผู้จัดการตึกที่เธอพักอยู่ สนิทกันเพราะเธอเคยสอนการบ้านให้ลูกชายของเจ๊ ช่วงที่บริษัทปิดไป เธอก็ว่างนั่นแหละ อะไรพอจะทำได้ เธอก็ทำ จะได้ไม่มีเวลาฟุ้งซ่านไปคิดถึงเตชิณ
“เออๆ ว่าละ ไม่เห็นลงไปข้างล่างหลายวัน เ**กลัวว่าบิลมันจะเลยกำหนดจ่ายค่าห้องน่ะ หนูจะเสียค่าปรับเอา เลยขึ้นมาดู”
“ขอบคุณนะคะเจ๊”
มินตราขอบคุณคนที่เอาบิลค่าห้องมาเก็บถึงที่ เธอควานหาเงินในกระเป๋า ต้องนับเหรียญทุกเหรียญที่มี
เจ๊หงส์นั่งยองๆ ลงหน้าประตู ช่วยคนป่วยนับเงินอีกแรง
“มีอีกไหมหนู”
มินตราอยากจะร้องไห้ เงินมันไม่พอ
“ขาดสิบบาท พรุ่งนี้ค่อยให้ได้ไหมคะ คือ...หนูไม่ได้กดเงินมาเผื่อไว้” จำต้องโป้ปดออกไป เธอจะเอาเงินที่ไหนมาให้ในเมื่อในบัญชีมีแค่หลักสตางค์
เจ๊ส่ายหัวให้ราวกับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“เออๆ เดี๋ยวออกให้ก็ได้”
เจ๊หงส์พูดแล้วก็ถอนหายใจ มินตราเป็นเด็กดีนะ ตอนที่เดินผ่านออฟฟิศข้างล่างแล้วเห็นเธอกำลังรบกับลูกชายเรื่องการบ้านของเด็ก ม. ต้น มินตราก็อาสาช่วยเหลือ เจ้าลูกชายยังชมพี่มินใหญ่ ว่าสอนเก่งกว่าแม่ และพอหลายๆ ครั้งเข้า เธอก็อดขอบคุณเจ้าตัวไม่ได้
“ขอบคุณนะเจ๊”
“แล้วช่วงนี้ไม่ได้ทำงานเหรอ”
“อืม...โควิดมา บริษัทปิดไปแล้ว”
“เอ้า? แล้วได้งานใหม่หรือยัง”
มินตราส่ายหน้า เธอเองก็รออยู่ รอให้มีสักบริษัทโทรมา
“แล้วอย่างนี้ ค่าห้องเดือนหน้าจะทำยังไง”
คนถูกถามเห็นแววความลำบากใจในดวงตาของเจ๊ ถ้าลูกบ้านจ่ายช้า จ่ายไม่ตรงเวลา เจ๊หงส์ก็เดือดร้อน ต้องตามทวง
“ต้องมีสิคะ หนูมีแน่ค่ะเจ๊ ไม่ต้องห่วงนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะมิน ไม่มีเงินค่าห้องมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตัวเองนั่นแหละ ถ้าต้องย้ายออกจากที่นี่ จะไปอยู่ที่ไหน ตอนย้ายออกไปก็ต้องใช้เงินนะ”
“มินจะหามาให้ได้ ขอบคุณนะคะเจ๊”
โครก...คราก...
เสียงท้องของคนป่วยร้องครวญคราง บอกทางอ้อมว่าให้หาอะไรยัดลงไปให้มันย่อยที
“เอ้าๆ รีบไปหาอะไรกินเถอะจะได้กินยา ถ้าไม่ไหวโทรไปข้างล่างนะ เฮียเขาไม่ได้เข้าเวร เดี๋ยวให้พาไปหาหมอ”
เธอยิ้มแล้วพยักหน้า ซึ้งในน้ำใจของคนที่ไม่ใช่แม้แต่ญาติพี่น้อง เจ๊หงส์กลับไปแล้ว เธอเลยได้ปิดประตูแล้วสูบลมเข้าร่างลึกๆ คลานไปยังมุมที่เป็นเหมือนครัว ควานหาข้าวสารจะหุงสักหน่อย แต่ว่า...ไม่มี...สักกำมือก็ไม่เหลือ ควานหาบะหมี่ซอง บะหมี่ซองก็หมด และเงิน...ก็หมดแล้วเหมือนกัน
จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา เหมือนความหวังที่มีน้อยนิดมอดดับลง เธอมองไปที่ระเบียง แสงตะวันตอนใกล้หกโมงเย็นทำให้เธอหดหู่อีกแล้ว เธอก้าวลงไปดีไหมนะ ก้าวลงไปจากระเบียงชั้นห้า พาร่างร่วงลงไป แล้วทุกอย่างก็จะจบ
โครก...คราก...
แม้แต่ตอนที่คิดอย่างนั้นท้องไส้ก็ยังร้องครวญคราง เธอกำลังหิว หิวจนแสบไส้ บางครั้งสวรรค์ก็ไม่เห็นใจ หาบททดสอบมาให้มนุษย์ตัวเล็กๆ ต้องผ่านด่านอยู่เรื่อย และเธอไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองจะผ่านด่านต่อไปได้ ใจมันหมดหวัง มันอ่อนล้าแรงกาย มัน...ไม่อยากจะดิ้นรน
เดือนนี้มีเงินค่าห้องแล้วยังไง เดือนต่อไปล่ะ เธอจะเอาที่ไหนมาจ่าย งานไม่มี จะเอาเงินมาจากไหน ไม่ใช่มืดแค่แปดด้านหรอก แต่มันมืดทุกด้านเลย
ลมเย็นๆ พัดมากระทบตบหน้า รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ระเบียง ชั้นห้าลมเย็นมาก วิวก็ดี มองลงไปยังเห็นเด็กๆ ที่ลานหน้าตึก พ่อแม่หลายคู่พาลูกวิ่งเล่น บ้างให้ลูกขี่คอขี่หลัง ยิ่งมองก็ยิ่งสะเทือนใจ น้ำตาพลันรินไหล เธอคงไม่มีวาสนาได้มีครอบครัวที่พร้อมหน้าอย่างนั้น
“แค่โดดลงไป แล้วทุกอย่างก็คงจบ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรแล้ว โดดลงไปสิมิน...โดดลงไป” สองมือค้ำระเบียงปูน เขย่งปลายเท้าขึ้นจนสุด กำลังจะป้ายขาขึ้นเพื่อเหนี่ยวกาย เสียงเคาะประตูก็ดังมา
ก๊อกๆๆ
“หนู! เจ๊เอาโจ๊กมาให้ หนู...ได้ยินเจ๊ไหม!”
น้ำตาอุ่นๆ หยดลงบนหลังมือ ปากสั่น ใจสั่น เธอพร้อมจะไปแล้วนะ พร้อมจะไปจากโลกที่ไม่มีที่สำหรับเธอ แต่แล้ว...เสียงเจ๊หงส์ก็ดังมา จะเอาโจ๊กมาให้อะไรตอนนี้ล่ะเจ๊!
“มิน! เฮียซื้อโจ๊กมาแต่ไอ้หนูมันไปกินหมูกระทะกับเพื่อนละ หนูมาเอาไปกินหน่อยเร็ว!”
เจ๊เฝ้ารอที่หน้าประตู ใจคอไม่ดีเมื่อเคาะไปหลายครั้งแล้วมินตราไม่เปิด หรือจะป่วยจนลุกไม่ไหว หรือว่าจะ...
แอ๊ดดด..
“โอย...ตกใจหมดเลย เข้าห้องน้ำอยู่เหรอ เจ๊เรียกตั้งนานแน่ะ เอ้าๆ เอาโจ๊กไปกินนะ”