ตระกูลหวัง เป็นตระกูลคหบดีที่ทำการค้าขนส่งเกลือไปยังแคว้นต่าง ๆ จนร่ำรวยเป็นที่นับหน้าถือตา ตำแหน่งผู้นำตระกูลในตอนนี้คือบุรุษวัยกลางคนนามว่าหวังซานเย่ เขามีบุตรสาวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจเพียงสองคนจากฮูหยินเอกและอนุภรรยา
หวังกุ้ยฉิน คือบุตรสาวคนโตที่เกิดกับฮูหยินเอกม่านจิวเม่ย ส่วนหวังซื่ออิง คือบุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากหลินหยุนผิงผู้มีฐานะเป็นเพียงอนุภรรยา แม้สตรีในเรือนหลังทั้งสองจะไม่ถูกชะตากันนักแต่ก็อยู่กันแบบเงียบ ๆ มาโดยตลอด ไม่สร้างปัญหาทะเลาะเบาะแว้งให้ระคายใจหวังซานเย่ผู้เป็นสามี ในจวนจึงสงบสุขเรื่อยมา
นอกจากนี้แล้วหวังซานเย่ยังมีน้องชายอยู่หนึ่งคนนามว่าหวังซ่านซู เขาเป็นชายหนุ่มที่มักจะเก็บตัวและไม่สุงสิงกับใครเกินความจำเป็น ถึงจะมีอายุอานามไม่น้อยแล้วแต่ยังไม่มีครอบครัวของตนเอง ไม่มีกระทั่งอนุภรรยาแบบลับ ๆ เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงมีหน้าที่คอยเป็นผู้ช่วยพี่ชายจัดการดูแลกิจการของตระกูลเพียงเท่านั้น
ทุกปีจะมีการขนส่งเกลือครั้งใหญ่ปีละหนึ่งครั้ง ดูเหมือนว่าครั้งนี้จำนวนสินค้าจะมากกว่าปกติทำให้ผู้นำตระกูลหวังจำต้องเดินทางไปคุมสินค้าด้วยตนเอง ขบวนสินค้าใหญ่ขนส่งเกลือไปต่างแคว้น ทั้งม้าทั้งบ่าวรับใช้และคนที่จ้างมาคุ้มกันรวมแล้วราวสี่สิบคนถือว่าเป็นขบวนที่ไม่ใหญ่จนสะดุดตามากนัก ม้าลากเกวียนบรรทุกเกลือไปตามทางระหว่างนั้นต้องผ่านหลายเมืองกว่าจะถึงใช้เวลาเกือบสิบวัน ไปกลับก็ร่วมเดือน
“นายท่าน วันพรุ่งนี้จะเข้าแคว้นลู่แล้วนะขอรับ” ผู้ช่วยฉางรายงานเมื่อขบวนสินค้าใกล้แวะพักตรงเมืองหน้าด่านของแคว้นจุดหมายในอีกสองชั่วยาม (สี่ชั่วโมง) ซึ่งมันตั้งอยู่ก่อนจะเข้าแคว้นลู่ไม่ไกลกันนัก จุดตรวจตรงนี้มีเพื่อคัดกรองนักเดินทางที่ผ่านไปมาไม่ให้มีการลักลอบเข้าแคว้นอย่างผิดกฏหมาย
แคว้นลู่นับเป็นแคว้นใหญ่ทว่าห่างไกลทะเลจึงต้องสั่งเกลือเข้ามาจากแคว้นทางใต้
“อืม ข้ารู้แล้ว สินค้าที่เราขนมาไม่มีปัญหาอะไรใช่รึไม่” หวังซานเย่ถามด้วยสีหน้ากังวล
การขนส่งเกลือนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ต้องคอยดูแลควบคุมความชื้นให้ดีไม่ให้เกลือเสียหาย เพราะอย่างนั้นฤดูฝนจึงขนส่งได้ยากลำบากนัก
“ไม่มีขอรับนายท่าน ข้าตรวจดูเป็นระยะมาตลอดทางขอรับ”
“ทำดีมาก”
ยังไม่ทันที่ผู้ช่วยฉางจะปลีกตัวออกไปก็มีเสียงตกใจโวยวายดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มคนโผล่ออกมาจากป่าข้างทาง ทุกคนมีอาวุธครบมือและไม่มีทีท่าจะเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดเข้าโจมตีขบวนสินค้าไม่คิดรั้งรอให้มากความ
“หากไม่อยากถูกสังหารก็คุกเข่ายอมแพ้เสีย!!”
เสียงโหวกเหวกตะโกนบอกให้ยอมศิโรราบแต่โดยดีแล้วจะไว้ชีวิต ทว่าคนเดินทางทุกคนต่างรู้ดี ต่อให้ยอมแพ้ก็ไม่แคล้วถูกฆ่าตายอย่างน่าอนาถไม่ต่างกัน โจรที่ไหนจะมีเมตตาปล่อยเหยื่อให้รอดตายกลับไปเอาผิดพวกมันกันเล่า...
คนคุ้มกันรีบชักดาบขึ้นมาต่อสู้ทันที ไม่มีใครฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้เมื่อกลุ่มโจรตีกรอบดักทางเอาไว้ทุกด้าน สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือเกาะกลุ่มกันปกป้องนายจ้างเอาไว้ หวังซานเย่และผู้ช่วยฉางจึงถูกดันไปอยู่ด้านในสุดโดยมีคนคุ้มกันเป็นเกราะกำบัง
ดาบหลายเล่มปะทะกันเสียงดังบาดหู เมื่อสองฝ่ายเข้าสู้อย่างไม่ยอมแพ้เพราะมีชีวิตเป็นเดิมพัน หัวหน้ากลุ่มโจรมุ่งเป้ามาทางบุรุษวัยกลางคนที่ดูจะสำคัญที่สุดแต่ก็ถูกสกัดเอาไว้โดยหัวหน้าคนคุ้มกัน กระทั่งสบโอกาสผู้ช่วยฉางจึงพานายท่านหนี
ทว่าหนีไปได้ไม่เท่าไรศัตรูก็ตามทัน คนคุ้มกันถูกจัดการจนหมดก่อนจะตามด้วยบ่าวรับใช้อีกหลายชีวิตที่ไม่อาจสู้ไหว เสียงร้องขอชีวิตจากพวกเขาไม่ได้ทำให้กลุ่มโจรเห็นใจแม้แต่น้อย ยังคงลงมือปลิดลมหายใจของทุกคนอย่างเหี้ยมโหดไร้ความปรานี แม้กระทั่งหวังซานเย่ที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด
“นายท่าน! ได้โปรดหนีไปก่อนเถิดขอรับ!” เมื่อจวนตัวผู้ช่วยฉางจึงให้นายเหนือหัวหนีไป ส่วนตนเองพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ให้ เขาคุ้มกันหวังซานเย่อย่างเต็มที่แต่เพียงคนเดียวไม่อาจสู้กับคนร้ายอีกนับสิบได้ แม้จะมีฝีมือเก่งกาจพอตัวก็ตามสุดท้ายต้องสังเวยชีวิตให้พวกมันอยู่ดี
“อาฉาง!” เสียงทุ้มตะโกนก้องทันทีที่เห็นร่างคนสนิทล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมหยาดโลหิตสีแดงฉานที่รินไหลเป็นทางเพราะบาดแผลฉกรรจ์จากดาบสามเล่ม ดวงตาคู่นั้นยังคงเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจนโดยไม่อาจเปล่งเสียงใดออกมา
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือหวังซานเย่ผู้เป็นนายถูกมอบความตายให้ด้วยคมดาบเพียงฉับเดียว…
กว่าข่าวร้ายนี้จะเดินทางไปถึงจวนตระกูลหวังก็ใช้เวลาหลายวัน ฮูหยินเอกม่านจิวเม่ยและคุณหนูใหญ่หวังกุ้ยฉินแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้รับรู้ ใครจะคิดเล่าว่าขบวนสินค้าโชคร้ายโดนโจรป่าปล้นกลางทางทำให้คนทั้งขบวนตายหมดไม่เหลือรอดสักคน
เมื่อร่างของผู้นำตระกูลหวังถูกส่งมาถึงก็มีการจัดพิธีศพยิ่งใหญ่สมฐานะและไว้ทุกข์ให้ตามธรรมเนียม ทุกคนล้วนเศร้าหมองจนไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างกัน กระทั่งอนุภรรยาและคุณหนูรองที่ไม่ค่อยลงรอยกับเรือนหลักเท่าไรนักยังเงียบตาม มีเพียงเสียงร่ำไห้คร่ำครวญเท่านั้นซึ่งมันยังคงดังไปทั่วบริเวณของจวนหวังอีกหลายวัน…
หลังเสร็จสิ้นพิธีศพของหวังซานเย่ยังไม่ทันข้ามคืน น้องชายเพียงคนเดียวของเขาอย่างหวังซ่านซูก็ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแทน เขายังไม่ได้แต่งงานมีครอบครัวและมักอยู่สันโดษมากกว่าจึงไม่คุ้นเคยกับพี่สะใภ้อย่างฮูหยินใหญ่นัก แต่ว่ากันว่ารากลึกของนิสัยใจคอคนเรามักเผยออกมายามมีอำนาจอยู่ในมือย่อมไม่เกินจริง
หวังซ่านซูสั่งให้พวกนางสองแม่ลูกย้ายไปอยู่เรือนหลังเล็กท้ายจวน นั่นทำให้ฮูหยินใหญ่และหวังกุ้ยฉินรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
“ท่านอาเจ้าคะ เหตุใดจึงต้องไล่ข้ากับท่านแม่ไปอยู่ท้ายจวนด้วยล่ะเจ้าคะ” คุณหนูใหญ่ของตระกูลเอ่ยถามแทนมารดาที่ยังจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจเรื่องบิดาไม่หาย อีกทั้งนางยังสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงด้วยจึงกลัวว่าจะลำบาก
“อาสั่งก็ไปเสียเถิด ตอนนี้ผู้นำตระกูลหวังก็คืออา ถ้าหากเจ้ากับแม่ของเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็ต้องทำงาน ไม่ใช่นั่ง ๆ นอน ๆ กินอยู่สบายเหมือนแต่ก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็ไปอยู่ที่อื่น!” เสียงห้าวประกาศก้องราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจคนฟัง แต่ไหนแต่ไรมาแม้ท่านอาของนางจะเงียบขรึมไม่ค่อยพูดคุยด้วยสักเท่าไรนัก แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะใจร้ายกับนางที่เป็นหลานแท้ ๆ ถึงเพียงนี้ ทำให้หญิงสาวอดถามเขาไม่ได้
“ทำไมท่านอาใจร้ายกับข้าและท่านแม่นักเจ้าคะ” ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำยามเอ่ยวาจา แค่สูญเสียบิดาก็หนักหนามากแล้ว ยังต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกหรือ
ทว่ากลับไร้คำตอบจากหวังซ่านซู เขาเมินหน้าหนีคล้ายไม่อยากมองพวกนางอีกต่อไป ก่อนจะสั่งให้บ่าวในจวนช่วยสองแม่ลูกเก็บของ ทั้งสองย้ายจากเรือนเดิมไปยังเรือนหลังเล็กโดยปราศจากน้ำตาสักหยดแม้ในใจจะเจ็บปวดมากก็ตามที คนงามเลือกนำของจากเรือนเดิมไปเพียงบางส่วน ด้วยเรือนหลังใหม่นั้นไม่ได้กว้างขวางมากพอจะเก็บของได้มากมายนัก สภาพของมันดีกว่าเรือนนอนของพวกบ่าวเพียงเล็กน้อย
นั่นคงเป็นความเมตตาสุดท้ายที่ท่านอามี...
......................................................................................
สวัสดีค่ะทุกคนนนน คิดถึงกันมั้ยเอ่ย
วันนี้ไรท์ก็มีนิยายเรื่องใหม่มากฝากนะคะ ଘ (੭ˊωˋ) ੭
ฝากกดติดตาม กดหัวใจ กดเข้าชั้น และอย่าลืมคอมเม้นต์พูดคุยกันน๊า