ตอนที่ 8
แม้กระทั่งแม่ก็ยังมองเธออย่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าลูกสาวที่อ่อนแอและใสซื่อจะใจเหี้ยมโหดกล้าขับรถไปชนรถคนอื่นได้หน้าตาเฉย บนใบหน้าและสายตาของแม่เต็มไปด้วยความปวดร้าวและผิดหวังที่มองมาเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทุ่มลงไปอัดลงไปในทรวงจนอึดอัดหายใจไม่ออก
“เธอ...เธอมันฆาตกร ผู้หญิงใจร้าย ถ้ามุกเป็นอะไรไป ฉันจะเอาเธอเข้าคุก”
เสียงแข็งกร้าวและดุร้ายของศรวัณที่ประณามอย่างไม่แม้แต่จะมองหน้า เมื่อไหร่ที่เขามองมา เธอก็ยิ่งสะดุ้ง ตัวสั่นและเย็นเยียบไปทั่วร่าง เพราะสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะอันรุนแรง ความห่างเหิน เย็นชา เหยียดหยามและเคียดแค้น
“ฆาตกร! ฆาตกร!”
“ไม่...ไม่จริง อือๆ ” สองมือเล็กยกขึ้นปิดใบหู พลางตะโกนกลบเสียงที่ดังลั่นก้อนในหู
“ไม่! ผึ้งไม่ได้เป็นฆาตกรนะแม่ แม่ต้องเชื่อผึ้งนะ ผึ้งไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แม่ต้องเชื่อผึ้งนะ พี่สองผึ้งไม่ได้ตั้งใจนะคะ พี่สองเชื่อผึ้งนะ คุณมุก...ผึ้งขอโทษ”
มณีมณฑ์ร้องไห้คร่ำครวญด้วยร่างกายที่สั่นเทา สองแขนเรียวโอบรอบขาที่งอขึ้นมาเหมือนเป็นกลไกปกป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดและหวาดกลัวที่เกิดขึ้นด้วยคุมสติเอาไว้ไม่ได้ ภาพที่เห็น คำพูดที่ได้ยินเป็นคนมีดคมๆ ที่ทุกคนกรีดบนหัวใจที่มันกำลังเต้นอย่างอ่อนล้า
ไม่ใช่...เธอไม่ได้เป็นฆาตกร ไม่ได้ตั้งใจฆ่าผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย แค่จะข่มขู่เพื่อให้ล้มเลิกที่จะแต่งงานกับศรวัณเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะไม่เป็นอย่างที่คิด กลายเป็นเธอทำร้ายอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัส
แม้ตอนแรกเธอจะตั้งใจขับรถไปหานิศามณี เมื่อใกล้ถึงก็จะรีบหักพวงมาลัยออกไป แต่เพราะเธอขับรถไม่เก่งและมือที่สั่น บวกกับความขลาดกลัวที่มี ทำให้ทำตามแผนการที่วางไว้ไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้คิดแบบนั้น แม้ว่าเธอจะตะโกนบอกให้รู้ แต่อีกฝ่ายกลับขับสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว
รถที่เธอขับกระแทกเข้ากับอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ส่ายไปมาเหมือนกับงูเลื้อย เท้าที่ควรจะเหยียบเบรกกลับเหยียบเอาคันเร่งทำให้รถพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทางดังปังใหญ่ ร่างโชกเลือดของนิศามณีถูกงัดออกจากรถ และถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่และศรวัณที่หันมาตะโกนด่าเธอเหมือนกับคนบ้า จนถึงวันนี้เป็นวันที่สามแล้วแต่หญิงสาวก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาบอกความจริงกับทุกคนว่าเธอไม่ได้ทำ
มณีมณฑ์พยายามหาเหตุผลมาลบล้าง แต่ก็ไม่มีใครฟัง คำพูดและสายตาของศรวัณที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นฝังอยู่ในความนึกคิด ทำยังไงก็สลัดมันออกไม่ได้เลย
“ไหน...ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน ยายฆาตกรอยู่ไหน”
เสียงตะโกนทั้งแหบห้าวและแข็งกระด้างไม่คุ้นเคยที่ดังมาจากด้านล่างยังไม่อาจเรียกความสนใจของมณีมณฑ์ได้ แต่เธอก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน แต่ไม่ใช่ไปเปิดประตูห้องลงไปดูแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เพราะคิดว่าอีกเดียวแน่งน้อยคงจะไปจัดการสอบถามและไล่ออกไปเอง แต่มณีมณฑ์ลืมไปว่า แม่ทนรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านไม่ได้ เลยพาแน่งน้อยไปเฝ้ารอฝังข่าวของนิศามณีที่โรงพยาบาลแทน ด้วยเป็นห่วงว่าลูกสาวอย่างเธอที่อาจจะต้องติดคุกติดตะราง ในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้บุคคลคนอื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
มณีมณฑ์นั่งซึมอยู่บนเตียง กายบอบบางเต็มไปด้วยเหงื่อ จนเธอคิดว่าถ้าได้ชำระล้างร่างกายเสียหน่อย คงจะทำให้อาการร้อนอกร้อนใจที่เป็นอยู่ดีขึ้น เธอจะได้ลืมเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเสียที
แม้ว่าระยะทางจากเตียงกับห้องน้ำเพียงแค่สี่ห้าก้าวก็ถึง แต่มณีมณฑ์กลับคิดว่ามันช่างไกลเหลือเกิน ขาเธออ่อนแรงจนเดินไปแทบจะไม่ถึง แต่เพียงแค่ยื่นมือไปจับประตูห้องน้ำเท่านั้น ประตูห้องก็เปิดออกมา
ปัง!
ถึงตอนนี้ในหัวจะว่างเปล่าไปหมด แต่เสียงที่ดังมาก็ทำให้มณีมณฑ์ตกใจจนสะดุ้ง ใบหน้าขาวซีดเผือดคล้ายกับซากศพหันไปยังที่มาของเสียงในทันที
เพราะสติเธอยังไม่เต็มร้อย จึงได้แต่ยืนมองคนที่เดินข้ามาในห้องนอนของตัวเองด้วยความงุนงง เพราะในหัวคิดว่าศรวัณอาจจะพาตำรวจเข้ามาจับเธอไปเขาคุกอย่างที่เขาเคยขู่ไว้
สองหนุ่มสาวยืนสบตากัน คนหนึ่งเหม่อลอยและเซื่องซึม ส่วนอีกคนเต็มไปด้วยโทสะ รังเกียจ เคียดแค้น ชิงชัง
“เธอนี่เอง”
เสียงห้าวดุกร้าวราวกับเสือคำรามดังมา ทำให้มณีมณฑ์ได้สติ
“คุณเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง?” ถ้าเป็นก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง เธอคงจะถามด้วยความตกใจ แต่ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เธอตกใจและปวดร้าวไปได้มากกว่าสายตาของศรวัณและครอบครัว รวมไปถึงสายตาผิดหวังของแม่ คำพูดที่ถามออกไปจึงเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“นี่เหรอ หน้าตายายผู้หญิงร่าน อยากมีผัวจนตัวสั่น จนถึงกับทำร้ายผู้หญิงอีกคน”
คนที่เข้ามาในห้องนอนเธอโดยไม่ขออนุญาตเอ่ยขึ้น ดวงตาคมกริมสีสนิมไล่มองเรือนร่างเล็กบอบบางตั้งแต่ปลายเท้าไล่ขึ้นไปทีละน้อยก่อนจะหยุดจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตอย่างเคียดแค้น ชิงชัง รังเกียจและเหยียดหยาม ใบหน้าคร้ามแสยะยิ้มเหมือนกับพญามัจจุราชจากขุมนรกที่ขึ้นเมื่อเพื่อลากวิญญาณร้ายอย่างเธอไปกักขังเอาไว้ไม่ให้ผุดให้เกิด
“หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอกนะ แต่ทำไมใจร้ายนักก็ไม่รู้”
ทั้งสายตาและน้ำเสียงหมิ่นแคลน ดูถูกหยามเหยียดดังมาจากชายร่างใหญ่และอีกสองคนที่เดินตามติดมา ใบหน้าแต่ละคนรกครึ้มไปด้วยหนวดและเครา เหมือนกับคนเถื่อนที่ผุดมาจากขั้วโลกเริ่มทำให้มณีมณฑ์ผวา
แต่อะไรไม่ทำให้มณีมณฑ์กลัวได้เท่ากับไอโกรธเกลียดและเคียดแค้นที่มันแผ่กระจายมาเหมือนรังสี ตรงเข้าโอบร่างกายเธอจนเย็นเยียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเลย แม้ปากและใจจะบอกว่าไม่กลัวและไม่คิดจะสนใจอีกฝ่าย แต่ก็เผลอก้าวเท้าถอยไปด้านหลังอย่างไม่ทันจะรู้ตัว
“พวกคุณเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง พี่น้อย...พี่น้อย เรียกตำรวจเร็วพี่ มีคนบุกรุกบ้านเรา”
ชายหนุ่มยกมุมปากเล็กน้อย
“ฉันเป็นใครหรือ...?”
ชายคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเป็นคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนที่ตามติด คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูง ก่อนจะหันใบหน้ากลับมา ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างเล็กบางเหมือนกับราชสีห์จ้องตะครุบเหยื่อขณะเดินเข้าหาผู้เป็นเจ้าของห้องอย่างเชื่องช้า
“เป็นคนที่จะพาเธอไปทัวร์ขุมนรกทั้งที่มีลมหายใจไงยายโรคจิต ยายผู้หญิงใจดำอมหิต” ชายหนุ่มทรุดนั่งลงบนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งที่ตอนนี้ผ้านวมส่วนหนึ่งไปกองอยู่ที่หัวเตียงกับผ้าปูที่ยับย่นจนชายบางส่วนหลุดออกจากมุม
มณีมณฑ์เพิ่งจะรับรู้ว่าตอนนี้มีภัยมาถึงตัวก็เมื่อตีความหมายในคำพูดนั้นเข้าใจ ความหวาดกลัวตีขึ้นจนมือเท้าเย็นจัด อีกทั้งกายก็สั่นสะท้าน หากก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี คงได้แต่มองร่างหนาใหญ่ที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง เตียงที่เธอล้มตัวลงนอนแล้วยังรู้สึกเหมือนกับห้องทั้งห้องเป็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่พอมีผู้ชายคนนี้อยู่ กลับเป็นเหมือนช้างนั่งทับรถจักรยานที่พร้อมจะหักงอไปในพริบตา