“แหม...ก็คุณแม่ของพริ้นซ์ถักโครเชต์ได้สวยที่สุด ใครๆ ได้เห็นก็ต้องเป็นปลื้มและก็ยอมจ่ายเงินให้โดยไม่คิดเสียดาย” ปิณฑิราระบายรอยยิ้มทั่วใบหน้าขณะที่เอ่ยชมมารดาอีกครั้ง
“กลายเป็นว่าสองแม่ลูกมาป้อนลูกยอกันเอง” คุณปิยาพัชรแซวลูกสาวคนสวยพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขำผสมโรงกับเสียงหัวเราะหวานใสของลูกสาว
“เออ...พริ้นซ์ยังไม่บอกแม่เลยว่าทำไมกลับบ้านแต่หัววัน หรือว่าหนูไม่สบาย”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ถามลูกสาวค้างไว้และยังไม่ได้รับคำตอบทำให้คุณปิยาพัชรเอ่ยถามอีกครั้ง พอคิดว่าลูกสาวอาจจะไม่สบายก็ตีสีหน้าเป็นกังวลยกมือบางที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลวัยไปอังหน้าผากลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
ปิณฑิราฝืนยิ้มให้มารดาพลางเอื้อมไปจับมือมารดามากุมไว้ด้วยความรัก ใบหน้างามหวานนวลละออถอดสีอย่างหนักใจเมื่อนึกถึงเรื่องงานที่เพิ่งรับมา
“พริ้นซ์สบายดีค่ะแม่”
“จริงหรือเปล่า หนูอย่าโกหกแม่น่ะ” เนื่องจากเห็นว่าใบหน้างามของลูกสาวยังซีดอยู่ทำให้นางเอ่ยย้ำเพื่อความมั่นใจ
ปิณฑิราหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบมารดาให้คลายกังวล “โธ่...คุณแม่เห็นพริ้นซ์เป็นคนขี้โกหกไปได้ พริ้นซ์แค่ไม่สบายใจเรื่องงานนิดหน่อยก็เท่านั้นเองค่ะ”
“ทำไมหรือลูก หรือว่ามีหนุ่มๆ มาพูดจาเกาะแกะให้ลูกแม่ไม่สบายใจอีก”
หญิงหม้ายตีหน้าขึงเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ตลอดระยะในการทำงานที่บริษัทโฆษณาของคุณกรกฏ ลูกสาวนางได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบริษัทให้ฟังโดยไม่คิดปิดบัง รวมทั้งเรื่องที่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งนอกและในบริษัทที่พยายามตีสนิทชิดใกล้ต้องการจะเป็นเจ้าชีวิตของลูกสาวนาง
และเมื่อได้รับคำปฏิเสธไม่คิดจะเกี่ยวดองด้วยก็พากันพูดกระแหนะกระแหนให้ร้าย แต่ลูกสาวนางกลับเห็นเป็นเรื่องขบขำตอกกลับเปรียบเทียบพวกผู้ชายเหล่านั้นเหมือนหมาที่เห็นองุ่นเปรี้ยว
ปิณฑิราคลี่ยิ้มหวานขอบคุณในความเป็นห่วงของมารดา
“ตั้งแต่คุณกรกฏเรียกพนักงานผู้ชายไปอบรมเรื่องมารยาทเมื่อหลายปีก่อนก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าพริ้นซ์อีกแล้วค่ะ ส่วนมากก็แค่แอบมองแล้วพากันยิ้มซุบซิบเบาๆ ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าพริ้นซ์หรือพูดให้คุณกรกฏได้ยินอีกแต่ถึงเขาจะพูดให้ได้ยิน พริ้นซ์ก็ไม่สนใจหรอกค่ะ”
“อ้าว...แล้วหนูไม่สบายใจเรื่องอะไรล่ะลูก หรือว่างานหนักเกินไป”
“ก็ไม่เชิงว่าหนักเกินไป ที่พริ้นซ์ไม่สบายใจก็เพราะว่าคุณกรกฏจะให้พริ้นซ์เดินทางไปต่างประเทศ ให้เอาเอกสารคู่สัญญาไปให้ลูกค้าเซ็นค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยบอกมารดาแค่เพียงครึ่งหนึ่งยังไม่กล้าบอกเรื่องที่เธอต้องไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เป็นคนกุมหัวใจของเธอไว้นานแรมปี
“ทำไมต้องเอาไปให้เซ็นถึงที่ล่ะลูก แค่ส่งเอกสารไปให้พวกเขาเซ็นต์ชื่อเสร็จแล้วก็ส่งกลับมาไม่ได้หรือลูก”
คุณปิยาพัชรเสนอความคิดเห็นตามประสาคนที่ชอบทำอะไรง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อนวุ่นวาย นางเห็นว่าการเดินทางไปเดินทางมาเสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการส่งแค่เอกสารไปเสียอีก
ปิณฑิราถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจก่อนจะเอ่ยตอบ “ถ้าหากลูกค้าเขายอมให้เราส่งเอกสารไปให้เซ็นก็ดีสิค่ะ แต่นี่เขาต้องการให้ทางเราเอาเอกสารไปให้เขาถึงที่และอีกอย่างคุณกรกฏก็ต้องการให้พริ้นซ์ไปเก็บข้อมูลสถานที่ที่จะถ่ายทำโฆษณาด้วย”
“พริ้นซ์จะไปที่ประเทศอะไรลูก ทำไมแม่ฟังน้ำเสียงของหนูแล้วรู้สึกว่าหนูกำลังหวาดกลัวกับการเดินทางไปในครั้งนี้” คุณปิยาพัชรเอ่ยถามด้วยความสงสัยโดยหารู้ไม่ว่าคำถามที่เอ่ยถามออกมากำลังแทงใจดำลูกสาวเป็นที่สุด
“พริ้นซ์กำลังจะไปประเทศอัสดารานส์และคนที่พริ้นซ์ต้องเอาเอกสารไปให้เซ็นคือชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์”
หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่พ้นลำคอ ดวงตาคู่สวยกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่าน้ำตากำลังเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าตา
“คุณพระช่วย!...”
คุณปิยาพัชรยกมือทาบอกร้องออกมาด้วยความตกใจถึงตอนนี้ใบหน้าของนางซีดขาวยิ่งกว่าลูกสาวเสียอีก และจะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไรก็ต่อเมื่อชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ที่ลูกสาวนางจะไปพบเป็นคนๆ เดียวกันที่เป็นพ่อของหลานชายนางคือเด็กชายฟารีสต์ กุลยา
“ทำไมต้องเป็นชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ด้วย พริ้นซ์...หนูยกเลิกการเดินทางแล้วให้คนอื่นไปไม่ได้หรือลูก”
นางเอ่ยถามเสียงสั่นรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลในการเดินทางไปยังประเทศอัสดารานส์ของลูกสาวในครั้งนี้
“ถ้าคุณกรกฏยอมก็ดีสิค่ะ แต่นี่คุณกรกฏยืนกรานคำเดียวว่าต้องเป็นพริ้นซ์เท่านั้น คุณกรกฏเขาวางแผนงานให้พริ้นซ์หมดแล้ว ทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน ที่พักก็สั่งให้น้องพันธิสาจองให้เรียบร้อย แล้วที่ทำให้พริ้นซ์ปฏิเสธไม่ลงก็คือการที่คุณกรกฏหยิบยกเรื่องปากท้องของพนักงานทั้งบริษัทมาพูด”
“เฮ้อ...คุณกรกฏช่างรู้จุดอ่อนของพริ้นซ์ดีนัก แล้วคราวนี้จะทำยังไงล่ะลูก” คุณปิยาพัชรถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ
“ก็คงต้องไปที่อัสดารานส์ตามกำหนดการเดิมนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือมารดาที่เย็นเฉียบไม่แพ้มือเธอมากุมไว้แน่น ใบหน้างามเนียนนัยน์ตาคู่สวยเป็นทุกข์กังวลขณะที่จ้องมองมารดาและเอ่ยถามออกมา
“แม่คะ ถ้าหาก...ชีคฟาซิซต์รู้ว่าพริ้นซ์มีลูกกับเขา ชีคจะมาพรากฟารีสต์ไปจากพริ้นซ์มั้ยคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความหวาดหวั่น กลัวว่าต้องเสียแก้วตาดวงใจไป ถ้าหากชีคฟาซิซต์รู้ความจริงว่าผลพวงจากการที่เธอและเขาได้อยู่ร่วมกันในคืนนั้นทำให้มีเด็กน้อยหน้าตาคมเข้มนัยน์ตาสีดำสนิทลึกลับที่ถอดแบบมาจากเขาไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียว
คุณปิยาพัชรโอบแขนไปรอบตัวลูกสาวแล้วดึงมากอดไว้แน่นก่อนจะเอ่ยปลอบลูกสาวและตนเองไปในตัว
“แม่คิดว่าพริ้นซ์อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยน่ะลูก...เอ่อ...บางทีแม่คิดว่าถ้าหากชีคฟาซิซต์เขาได้เห็นหนูเขาคงจำไม่ได้หรอกมั้งว่าหนูเป็นใคร”