Mirarun part
หลังจากที่ตัวปัญหาอย่างคุณครูซถูกพาตัวไปเข้าอุโมงค์เอกซเรย์อีกครั้ง
ทางฝั่งของเราก็เกิดบรรยากาศที่กดดันไม่ต่างกัน
“ได้ตำแหน่งหัวหน้าหมอแล้วยังไม่พออีกเหรอ” พี่หมอตี๋พูดขึ้นกับพี่กันต์อย่างแดกดันเบา ๆ
ขณะที่คนอื่น ๆ ก็ทยอยกันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองไป
มีเพียงฉันกับยายวีโอเลตที่ยังยืนงง ๆ เอ๋อ ๆ อย่างทำอะไรไม่ถูกเลย เพราะพวกเขายืนจ้องกันอยู่ตรงหน้า
“การเป็นหมอที่ดีเขาไม่เลือกคนไข้หรอกนะครับ ไม่ว่าจะหลานเจ้าของโรงพยาบาลหรือคนเจ็บคนอื่น ผมก็ยินดีรักษาเหมือนกัน” พี่กันต์พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ และแทบจะไม่มองหน้าพี่หมอตี๋เลยด้วยซ้ำ ถึงว่าละทำไมอีกฝ่ายดูกระตือรือร้นตั้งแต่วินาทีแรกที่หมอนั่นเดินเข้ามาในห้องฉุกเฉิน
“จะเอาหน้าอวยยศก็พูดตรง ๆ เถอะหมอ ตรงนี้ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว” พี่หมอตี๋พูดราวกับมองข้ามหัวเราสองคนไปแบบไม่สนใจอะไร
“จริง ๆ หมอแบบเราไม่มีสิทธิเลือกคนไข้หรอกนะครับน้อง ๆ แต่ผู้ป่วยต่างหากที่เป็นคนเลือก… และอนุญาตให้เรารักษาร่างกายของเขาได้” พี่กันต์หันมาพูดเชิงสอน แต่ฉันว่าเขาแค่กำลังเหน็บใครอีกคนมากกว่า
นั่นยิ่งทำให้ฉันกับยายวีโอเลตยืนงงในดงหมอต่อไป
เพราะจะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง …เพลงนี้เปล่งออกมาจากสายตาของยายวีโอเลตตามกระแสจิตของเราที่ส่งถึงกัน [มิราน่าจะอ่านหนังสือมากเกินไป]
“ก็ระวังหน่อยนะ ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว พลาดมาเมื่อไหร่จะเจ็บเอา” พี่หมอตี๋สวนกลับอย่างสุภาพ ๆ แต่คำพูดนั่นไม่ใช่เลย
เท่าที่ฉันรู้มาก็คือ พี่หมอตี๋เป็นรุ่นพี่พี่กันต์ถึงหนึ่งปี แต่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับมีตำแหน่งที่สูงกว่าและเป็นที่เคารพยอมรับในหมู่คนที่นี่ไม่ใช่น้อย ถ้าให้เดานะ การที่ครูซยอมให้เขารักษาแทนหมอประจำตัวได้ แสดงว่าต้องมีฝีมือจริง ๆ ทั้งยังสามารถได้เป็นหัวหน้าหมอคนอื่น ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ แบบนี้
จากแนวคิดในเชิงจิตวิทยาของฉันน่ะนะ
และคิดว่ามันไม่แปลกเลย ถ้าคนอย่างพี่หมอตี๋จะไม่พอใจพี่กันต์ เพราะการที่รุ่นน้องซึ่งมาทีหลังก้าวเลยตัวเองไปแม้เพียงขั้นเดียว เป็นใครก็คงรู้สึกแย่ยิ่งอยู่ในสังคมแบบไทย ๆ เช่นเราด้วยแล้ว
ขณะคิดก็เหลือบมองป้ายตำแหน่งรองหัวหน้าแพทย์ที่ติดอยู่ข้าง ๆ ป้ายชื่อของพี่หมอตี๋
“ครับหมอ ขอบคุณที่เตือน” พี่กันต์ตอบอย่างสุภาพชนกลับไป และก้มหัวให้รุ่นพี่ตัวเองเล็กน้อย
“ขอตัวก่อนนะครับ” ก่อนจะเดินเบี่ยงออกมาทันที
หมอกับหมอทะเลาะกันนี่บางทีก็ดูน่ากลัวกว่าสมาคมคนเถื่อนของครูซอีกนะ
พวกเขาไม่ต่อย ไม่ตะคอกใส่กัน แต่ทุกคำพูดคือการเชือดเฉือนแบบสุด ๆ
“กลับบ้านกันเถอะแก” ยายวีโอเลตสะกิดแขนฉันเบา ๆ พลางก้มดูนาฬิกาตัวเองที่บอกเวลาเลิกเทรนงานของเราสองคนสักที
เพราะทางมหาลัยส่งเรามาแค่ช่วยพวกพี่ ๆ หมอตัวจริง จึงไม่ต้องทำงานหนักเท่าที่ควร ทว่าเชื่อฉันเถอะว่า แค่ยืนดูภารกิจแต่ละวันในโรงพยาบาลก็เหนื่อยแทนพวกเขาแล้ว เอาจริง ๆ งานแบบนี้ถ้าใจไม่รักคงทำได้ไม่นาน
“อื้ม” ฉันพยักหน้ากับยายวีโอเลต ก่อนเราสองคนจะยกมือไหว้ลาพี่หมอตี๋ซึ่งยังคงยืนข่มอารมณ์เงียบ ๆ อยู่ด้านนอก ยังดีที่พอเขาเห็นก็รับไหว้แบบนิ่ง ๆ
“ขอบคุณมากที่มึงอุตส่าห์พาตัวคุณครูซกลับมารักษาได้” ยายวีโอบ่นอย่างเหนื่อย ๆ
“ทำไมแกทำหน้างั้นวะ” ฉันถามขณะที่กำลังขับรถกลับคอนโดกับยายวีโอเลต เพราะเราอยู่บริเวณเดียวกัน แค่ตึกอยู่ตรงข้ามเท่านั้น
“แกรู้ปะ ตอนที่ฉันบากหน้ากลับไปบอกพี่หมอตี๋ว่าผู้ป่วยคนสำคัญหาย… เขาด่ายับจนน้ำตาคลอเลยจริง ๆ นะแก” ยายวีโอเลตเล่าเหตุการณ์ที่นางเจอด้วยเสียงสั่น ๆ
เอาจริง ๆ เพื่อนฉันเนี่ย โดยปกติก็เป็นคนคิดมากและชอบเก็บอะไรไร้สาระมาไว้ในหัวอยู่แล้ว
ไม่แปลกที่พอเจอเรื่องแบบนี้ มันจะเสียใจจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่
“จริง ๆ แกไม่ได้ผิดอะไรเลยนะวีโอ ก็หมอนั่น… หมายถึงคุณครูซเขาไม่ยอมรักษาเอง แกไม่ได้ตะโกนไล่สักหน่อย” ฉันหันไปปลอบใจเพื่อนทันทีที่รู้ว่ายายวีโอเลตกำลังคิดมากจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“แกพูดเหมือนพี่กันต์เป๊ะเลยอะ ตอนที่เขามาปลอบฉัน… ใจตรงกันดีเนาะ” ถึงยายวีโอน้ำตาคลอ ๆ แต่ก็ยิ้มตอบกลับพร้อมกับแซว ๆ เรื่องพี่กันต์
“ใครก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ มีแต่แกที่คิดไม่ได้!!! และก็… เลิกแซวเรื่องพี่กันต์ได้แล้วว” ฉันเบะปากใส่นางไปเล่น ๆ ก่อนจะหันไปขับรถต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
@ คอนโด
“เดี๋ยวตอนสองทุ่มเดินไปหานะ จะให้ช่วยติวหนังสือเล่มเดิมให้หน่อย อ่านเองแล้วไม่เข้าใจ” ยายวีโอลงจากรถก็พูดนัดเวลากับฉันเอาไว้ทันที
“ได้ ๆ มาอาบน้ำที่ห้องฉันก็ได้นะ” ฉันตอบไปก่อนจะกดล็อกรถและเดินแยกย้ายขึ้นห้อง
ตอนนี้ปิดเทอม ฉันก็เลยกลับมาอยู่ที่คอนโดเดิมซึ่งเคยอยู่กับพี่แพริสนั่นแหละ เอาจริง ๆ วันนี้เป็นวันแรกเลยนะที่ฉันกลับมานอนที่นี่
เพราะทางมหาลัยไม่อนุญาตให้เด็กปีหนึ่งอยู่บ้านหรือหอนอก อยู่ได้แค่หอในที่ผีดุ ๆ เฮี้ยน ๆ เท่านั้น
แต่ตอนนี้ฉันเป็นว่าที่นักศึกษาปี 2 แล้ว จึงมีสิทธิ์เลือกหอนอกหรือกลับบ้านได้
พอเดินเข้าคอนโดมาก็เจอกับพี่ยามคนเดิมที่ก้มหัวให้ฉันเพราะจำกันได้
“ไม่เจอนานเลยนะครับ คุณมิรารัน” พี่ยามใจดีเอ่ยทักฉันด้วยความสุภาพ
“หลังจากนี้ได้เจอบ่อย ๆ แน่ค่ะพี่ยาม” ฉันยิ้มตอบ อีกฝ่ายก็กดเปิดลิฟต์ให้และบริการอย่างดี
เชื่อไหมว่า วินาทีที่ฉันก้าวกลับเข้ามาในคอนโดนี้ ภาพความคิดถึงบางอย่างมันก็ผุดเข้ามาในหัวมากมาย และมันทำให้ต้องเดินขึ้นไปห้องห้องหนึ่งที่เคยเป็นหนึ่งในความทรงจำดี ๆ
ก๊อก ๆๆ ฉันเคาะประตูหน้าห้องคนที่คุ้นเคยที่ตอนนี้กำลังประกาศขายต่ออยู่
“สวัสดีค่ะพี่พีท…” ก่อนจะพูดผ่านประตูหนา ๆ ของห้องนั้นเข้าไป
“พี่พีทสบายดีนะคะ” ทั้งยังคงเอ่ยต่อ เสมือนมีคนฟังเราอยู่
“พวกเราทุกคนคิดถึงพี่พีทมากนะ” จากนั้นจึงเอามือปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ
ภาพที่พี่พีทติวหนังสือให้ ภาพที่เขาตามรับตามส่ง ภาพที่พี่แพรสร้างเรื่องต่าง ๆ และมีพี่พีทคอยแก้ ภาพที่เรานั่งกินข้าวด้วยกัน ทุกสิ่งมันยังคงอยู่ในความทรงจำที่ดีและมีค่าของฉันเสมอ
มือหยิบชุดกาวน์คุณหมอที่ทางโรงพยาบาลให้ยืมใส่ในช่วงฝึกงานมาสวม
“มิราอะ ได้เรียนหมอตามที่ฝันแล้วนะ แต่ขอโทษด้วยที่หนูเรียนสายเกินไปเลยหาทางรักษาพี่พีทเอาไว้ไม่ได้” ฉันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“หลับให้สบายนะคะ หวังว่าวันหนึ่งในอนาคตเราจะกลับมาเจอกันอีกนะ พี่ชายของหนู” ปิดท้ายด้วยเสียงสั่น ๆ
ความผูกพันบางทีมันก็ไม่ได้มาจากความรักเชิงชู้สาวเพียงอย่างเดียว
ฉันรักพี่พีทเสมือนเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ คนหนึ่งไปแล้ว
เราเหมือนคนในครอบครัว และพี่พีทเองก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับฉัน
ถึงแม้ในวันที่ความสัมพันธ์ของพี่แพริส พี่สาวฉันกับพี่พีทจะจบลงอย่างไม่สวยงาม
แต่ความรักแบบพี่กับน้องที่ฉันมีให้พี่พีทมันไม่เคยหายไปไหน
เขาคือหนึ่งในคนที่ทำให้ชีวิตของฉันประสบความสำเร็จ
จากนั้นจึงถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะเดินหันหลังกลับห้องพร้อม ๆ กับความทรงจำมากมายซึ่งไม่ได้จากไปพร้อมกับร่างกายที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้ากระดูกของพี่พีท พี่ชายคนดีคนเดิมของฉัน…
ฉันเปิดห้องเข้ามาในห้องที่เงียบสนิท
เพราะพี่แพรเองก็ย้ายออกไปตั้งนานแล้ว
เธออยากไปใช้ชีวิตสงบสุขที่เชียงใหม่
ส่วนฉัน เมื่อเลือกจะเรียนที่นี่ก็เลยจำเป็นต้องอยู่ลำพัง
แม้ว่าทั้งพี่แพรและพี่ไคล์จะเสนอไอเดียให้ฉันไปเรียนมหาลัยชื่อดังในจังหวัดนั้นก็ตาม
อีกอย่างฉันไม่อยากไปรบกวนเวลาแฮปปี้แฟมิลี่ไทม์ของทั้งคู่ด้วย
บอกไว้ก่อนเลยว่าการที่ฉันรักพี่พีท นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่เปิดใจมองพี่ไคล์เป็นคนในครอบครัวนะ เพราะเอาจริง ๆ แล้วถ้าพี่แพรรักใคร ฉันก็รักด้วยอยู่แล้ว และพี่ไคล์เองก็กลายเป็นเสาหลักของเราไปด้วยอีกคน
เขาอบอุ่นและมีความเป็นผู้นำสูง ทำให้รู้สึกว่า… พี่แพรเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก ๆ คนหนึ่งบนโลกใบนี้เลยจริง ๆ
วื้ออออออ วื้อออออ จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
___P Paris _____calling
“พูดถึงไม่ได้เลยนะ เซ้นส์เขาแรงจริง ๆ คนคนนี้” ฉันหยิบโทรศัพท์ที่โชว์ชื่อปลายสายขึ้นมากดรับทันที
“ฮัลโหลพี่แพร” แล้วตอบกลับไปอย่างร่าเริง
“กลับถึงคอนโดแล้วสินะ” พี่แพรพูดขึ้นทันทีที่เข็มนาฬิกาเรือนใหญ่กลางห้องตีตรงเวลา 2 ทุ่มเป๊ะ ๆ
พี่แพรน่ะเหมือนจะเป็นคนไม่แคร์อะไร แต่จริง ๆ เขาใส่ใจฉันมาก ๆ เลยแหละ
พี่แพรจะรู้ว่าฉันเลิกเรียนกี่โมงและทำอะไรในแต่ละวัน เพราะกิจกรรมของฉันมีอยู่ไม่กี่อย่างด้วย
“บอกมาตามตรงว่าแกเดินไปร้องไห้หน้าห้องพีทมาใช่ไหม” และนั่นคือคำถามหลังจากที่เราเงียบกันไปสักพัก
“นิดหน่อยอะ ก็มันคิดถึงหนิ” ฉันตอบพี่แพรไปอย่างไม่สามารถโกหกเธอได้จริง ๆ
“วันนี้พี่ก็เพิ่งไปทำบุญให้พีทมา แต่คิดว่าป่านนี้คงไปเป็นเทวดาอยู่บนฟ้าแล้วละ พีทของพวกเราน่ะ” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เศร้าอะไร แต่ไม่ถึงขนาดขำขัน
“พูดถึงพี่พีทบ่อย ๆ ระหว่างคนข้าง ๆ น้อยใจเอานะ” ฉันแกล้งเตือนออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร เพราะพี่ไคล์ค่อนข้างเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าพี่สาวฉันเยอะ
“จะบ้าเหรอ ก็ไคล์นี่แหละที่เป็นคนปลุกฉันไปทำบุญให้พีทวันนี้” พี่แพรเอ่ยพลางหัวเราะลั่น
“นี่ล่าสุดแพลนไว้จะสร้างอุโบสถวัดอุทิศให้พีทด้วยเลยนะ” ก่อนจะพูดต่ออย่างโอ้อวดเช่นเคย ๆ
“แพร พูดอยู่อย่าเคี้ยวขนมสิ เดี๋ยวมันสำลัก” เสียงพี่ไคล์บ่น ๆ แทรกเข้ามาในโทรศัพท์
ก็จริง เพราะรู้สึกได้เลยว่าทางนั้นเหมือนกินขนมด้วยคุยกับฉันไปด้วย
“เยอะน่า ไคล์!” และนั่นคือคำตอบแสนหวานของพี่สาวฉันเอง และในที่สุด …แค่ก ๆๆๆ
“พี่แพรรรรรรร” ฉันทำได้แค่ถอนหายใจใส่อย่างเหนื่อยใจ
“ก็ฉันหิวนี่นาาา” พี่แพรยังคงเถียงกลับมาแบบไม่ยอมคนเช่นเดิม
“เออ ยายมิราอยู่คอนโดคนเดียวก็ล็อกห้องดี ๆ นะ ไม่ก็ชวนยายวีโอเพื่อนแกมาอยู่ด้วยกันเลย” ปลายสายเตือนด้วยเสียงแข็ง ๆ แต่ฉันรู้ว่าเขาเป็นห่วงฉันมากยิ่งกว่าใคร
“โอเคค่า พี่แพร” ฉันตอบไปยิ้ม ๆ
“หรือให้คนของฉันไปตามดูแลน้องเอาไหม ไว้ใจได้แน่นอน ไม่ก็เปลี่ยนคอนโดสิ เอาที่แพง ๆ หน่อย พี่ออกให้…” เสียงพี่ไคล์ปรึกษาพี่แพรอย่างเคร่งเครียด
ฉันว่าทั้งสองคนกำลังอยู่บนรถกันแน่ ๆ แล้วเปิดลำโพงคุยเอา
“พอเลยค่ะทั้งคู่ มิราโตแล้วนะพี่ ๆ …หนูดูแลตัวเองได้น้าาา ไม่ต้องเป็นห่วง” ก่อนตอบกลับไปทันที
เอาจริงฉันไม่ได้เกรงใจพี่ไคล์หรอก แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า
เอาตรง ๆ ยังไม่ชินกับการมีพี่เขยรวยสักที แถมเขาก็เป็นสายเปย์ที่ตามใจเก่งไปซะทุกคนเลย
“อะ ๆๆ แล้วแต่ละกัน” พี่แพรพูดแบบปัด ๆ ไป
“นี่ไปไหนกันคะ เสียงเหมือนอยู่บนรถ”
“ไปโรงพยาบาลน่ะสิ หมอนัดตรวจครรภ์วันนี้”
“อ้อ ๆ ฝากทักทายหลานด้วยนะ” ฉันตอบเสียงแจ๋วกลับไป
“เหงาก็โทรหาพี่แล้วกัน หรืออยากมาเดี๋ยวบินไปบินกลับเอา ถ้าไม่เหนื่อยฝึกงานมากนะ” พี่แพรพูดต่ออย่างกังวล ๆ
“ได้ค่ะ ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ” ฉันย้ำไปอย่างคิดถึงทุกคน
“เออ… ปีใหม่นี้เลยอดฉลองด้วยกันครบ ๆ เลย ไว้ปีหน้ามิราต้องลางาน ลาเรียนล่วงหน้านะ” ก่อนพี่ไคล์จะพูดคุยกับฉัน
“แน่นอนค่ะพี่ ๆ” ฉันเลยตอบไปเสียงลั้นลา
“งั้นแค่นี้แหละและก็อย่าอ่านหนังสือจนดึกดื่นล่ะ หัดดูละครน้ำเน่าซะบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสัน” พี่แพรพูดตบท้าย
“บ๊ายบายครับน้องมิรา” พี่ไคล์แทรกต่อ
“สวัสดีค่ะ พี่ไคล์พี่แพร”
“บัยส์!!” ตู๊ด ๆๆๆ และทางนั้นก็ตัดสายไป
หลังจากที่วางสายได้ไม่นาน
Line
Paris : มิรา พี่ฝากเอารูปคู่หรือรูปพีทในห้องลงกล่องไม่ก็ไว้ลังดี ๆ และเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าของพี่ทีนะ
Mirarun : ได้งับ ๆ
Paris : เผื่อว่าหลังปีใหม่ พี่กับพี่ไคล์ขึ้นไปเยี่ยมย่าเขาที่กรุงเทพ อาจจะแวะเข้าไปน่ะ
Paris : แค่นี้แหละ แต๊งกิ้ว
ถึงแม้พี่แพรจะไม่อธิบายเหตุผลแต่ฉันก็สามารถเข้าใจเธอได้ทันทีว่า
ต่อให้พี่ไคล์จะเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่เราก็ไม่ควรจะทำร้ายความรู้สึกคนปัจจุบันด้วยความทรงจำที่ดีของคนในอดีต
ระหว่างที่รอยายวีโอเสด็จมาหา ฉันก็เดินเก็บห้องไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่พี่แพรไปอยู่เกาะกับพี่ไคล์ทั้งยังเกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมายจนเปลี่ยนชีวิตเธอ อีกฝ่ายก็แทบไม่เคยกลับมาที่ห้องนี้อีกเลย แต่ว่าข้าวของทุกอย่างมันยังอยู่เหมือนเดิม ทั้งรูปคู่เก่า ๆ ทั้งภาพโน่นนี่นั่น… ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ นะ จู่ ๆ พี่ชายคนที่เราเกลียดกลับกลายมาเป็นสามีและพ่อของลูกตัวเอง
“ชีวิตของพี่แพรนี่ผ่านอะไรมาเยอะจริง ๆ ในปีนี้” ฉันยิ้ม ๆ ก่อนจะยกกล่องที่มีรูปของพี่พีทเก็บเข้าไปในตู้เสื้อผ้าที่ลึกสุด
“เราไม่มีใครลืมพี่พีทนะคะ เพราะพี่อยู่ทั้งในความทรงจำและหัวใจเสมอ” ฉันบอกกับเจ้ากล่องนั่น ก่อนจะเลื่อนประตูปิด
ติ๊งต่อง ๆๆ
“ยายวีโอ” ฉันรีบปิดห้องนอนของพี่แพรและเดินไปเปิดประตูให้นางทันที
วีโอเลตที่ใส่ชุดนอนลายคิตตี้ ยืนกอดหนังสือเล่มหนาแล้วเดินเข้ามาในห้องฉันอย่างคุ้นเคย
“ตั้งแต่หน้า 235 ไม่เข้าใจเลยอะ เรื่องเกี่ยวกับตัวยารักษา งงมาก” พร้อมกับบ่นหน้ามุ่ย ๆ
และนี่คือ daily routine ของฉันกับเพื่อนซี้
เรียน อ่านหนังสือ ฝึกงาน ชีวิตมัน… ไม่มีสีสันตรงไหนกัน ว่าไหม
Morning work work work
@Hospital
“สวัสดีค่ะ สวัสดีค่ะ ๆๆ” ฉันกับยายวีโอที่เดินเข้ามาในโรงพยาบาลก็ยกมือไหว้ยาว ๆ รัว ๆ ตั้งแต่พี่ยามยันพี่หมอและพยาบาลทุกคน
“สวัสดีค่ะพี่กันต์” ปิดท้ายด้วยการยกมือไหว้พี่กันต์ที่นั่งอ่านรายงานอยู่ตรงโต๊ะทำงานของเขา
“หวัดดีตอนเช้า” อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารและเงยหน้าขึ้นมามองเราสองคน
“แซนด์วิชหน่อยไหม พอดีพี่แวะซื้อมาน่ะ” เขาหยิบแซนด์วิชที่วางอยู่บนโต๊ะยื่นให้ฉัน
“อาหารเช้าสำคัญมากนะ” เสียงทุ้มพูดต่อก่อนจะสวมเสื้อกาวน์นิ่ง ๆ
“ขอบคุณค่ะ” ฉันก้มหัวให้เขาทันที
“หมอกันต์คะ ๆ แล้วห้องวีไอพีคุณครูซน่ะค่ะ หมอจะเข้าไปตรวจเลยไหมคะ” พี่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาปรึกษาพี่กันต์เรื่องงาน แต่ฟังแล้วคุ้น ๆ อยู่นะ
“อ้อ ผมขอไปตรวจคนไข้รายอื่นจนหมดก่อน ให้ที่นั่นเป็นห้องสุดท้ายนะ” เขาตอบพยาบาลคนนั้นไปตามปกติ
แต่คนฟังก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย
“คุณครูซคงโวยวายแน่ ๆ ถ้าเราปลุกในช่วง 7 โมงเช้า เพราะเมื่อคืนนี้เพิ่งจะสั่งอาหารให้ขึ้นไปส่งตอนเกือบตี 3 นั่นหมายความว่าเขาอาจจะยังนอนได้ไม่เต็มอิ่มนะครับ” พี่หมอกันต์เลยบอกรายละเอียดเหตุผลให้ฟังอย่างสุภาพด้วยมาดนิ่ง
“โห หมอกันต์นี่สุดยอดเลยค่ะ ขนาดพี่ยังคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย ถ้าไปปลุกแกตอนนี้โดนเด้งออกจากโรงพยาบาลแน่ ๆ” พี่พยาบาลพูดพร้อมทำท่าเสียวสันหลัง
ทำไมทุกคนต้องกลัวคนติงต๊องอย่างหมอนั่นด้วยนะ เขาไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย นอกจากความแปลกประหลาด
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” พี่กันต์ตอบให้อีกฝ่ายคลายกังวล
“งั้นเราไปเริ่มตรวจคนไข้กันเลยเถอะ” จากนั้นจึงหยิบแฟ้มเอกสารและเตรียมจะเดินไป
“วันนี้มิรารันกับวีโอเลต อยู่ช่วยพี่ ๆ ห้องฉุกเฉินเหมือนเดิมนะ พวกแผลน้ำร้อนลวก แผลสด แผลถลอก คงพอทำได้อยู่ใช่ไหม” ก่อนหันมาถามเล็กน้อย
“ทำได้ค่ะ” ฉันพยักหน้า
“โอเค ตั้งใจทำงานนะ” พี่กันต์พูดก่อนจะจับที่ไหล่ของฉันเบา ๆ และเดินออกไปตามด้วยพี่พยาบาลอีกคน
“ต้องใส่ถุงมือแพทย์ทุกครั้งที่สัมผัสร่างกายของคนไข้ โดยเฉพาะเวลาทำแผลนะนักศึกษา!!!” เสียงพี่หมอตี๋ดุยายวีโอเลตดังขึ้นไม่ไกล จนฉันเองรีบหันไปดู
“ขอโทษค่ะ ๆ” ยายวีโอก็ดูลน ๆ ในการรักษาคนไข้รายนั้น
“ที่เตือนอะ เพื่อความปลอดภัยของเธอเองนะ ถ้าหมอยังไม่รู้จักวิธีป้องกันตัวเอง… จะเรียนไปทำไม ตั้งสติหน่อยน้อง” พี่หมอตี๋บ่น ๆ ยายวีโอเลตที่ลืมใส่ถุงมือยางแพทย์ในตอนทำแผลสดให้เด็กน้อยคนหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้ฉันก็เห็นด้วย เราไม่รู้ว่าเลือดของแต่ละคนติดเชื้ออะไรมารึเปล่า จึงควรจะเซฟตัวเองให้ได้มากที่สุด
“น้องมิรา ทำ CPR เป็นไหม” พี่หมออีกคนในห้องเดินเข้ามาถาม
“พอทำเป็นค่ะ” ฉันพยักหน้าอย่างเต็มใจช่วย
“เดี๋ยวรถฉุกเฉินจะเข้ามาส่งคนโดนรถชนสองคน อาจจะต้องมีการปั๊มหัวใจและทำ cpr ยังไงถ้าเคยเรียนหรืออ่านอยู่แล้ว ลองตั้งใจดูวิธีการช่วยเหลือคนไข้จากประสบการณ์จริงดูนะ” อีกฝ่ายบอกฉันล่วงหน้า ระหว่างที่เขากับพี่หมอตี๋กำลังรอรับผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัส
“ขอบคุณค่ะพี่หมอ” ฉันพยักหน้าและหามุมดี ๆ ที่ไม่เกะกะจนเกินไป เพื่อรอดูวิธีรักษาของพี่หมอผู้ชำนาญการแล้วทั้งคู่
และไม่นานคนเจ็บเลือดอาบทั้งตัวก็ถูกเข็นเข้ามาพร้อมเสียงร้องเจ็บปวด ซึ่งพี่หมอทั้งสองคนก็รีบพุ่งตัวเข้าให้การรักษาอย่างทันที
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่จำนวนคนไข้ก็ยังเยอะอยู่ดี
ด้วยคุณภาพของหมอ เครื่องมือ และเครือข่ายโรงพยาบาลที่เป็นน่าเชื่อถือ
เวลาผ่านเพียงแค่ครึ่งวัน สภาพของหมอทุกคนในห้องก็อิดโรยและเหน็ดเหนื่อยไปตาม ๆ กัน
ส่วนที่คนไข้เยอะจนแทบไม่มีเวลาพักนั้น ผลก็มาจากการดื่มฉลองเทศกาลปีใหม่นี่แหละ ไม่ใช่อะไรเลยจริง ๆ
ไม่นานพี่กันต์ก็เดินกลับมาในห้องฉุกเฉิน ก่อนจะเก็บแฟ้มเอกสารประวัติคนไข้ที่เขาเพิ่งไปตรวจ และนั่งลงประจำโต๊ะตนเองในตำแหน่งหัวหน้าหมอ
“มิรารัน วีโอเลต” ก่อนเงยหน้าเรียกฉันกับยายวีโอ
อีกฝ่ายดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองเล็กน้อย
“ตอนนี้ก็ 11 โมงแล้ว เดี๋ยวเราสองคนไปกินข้าวกลางวันกันได้เลยนะ ถือเป็นเวลาเบรก” พี่กันต์พูดเชิงอนุญาต
“ยังไงก็วานให้ช่วยแวะแผนก information และขอประวัติการรักษาของคุณครูซตั้งแต่แผ่นแรกยันแผ่นสุดท้ายให้พี่ทีนะ” จากนั้นจึงยื่นแฟ้มเอกสารให้ฉัน รวมถึงจดหมายที่มีลายเซ็นของเขาประกอบแนบไปด้วย เพื่อให้ฉันใช้ยื่น
“ไปหลังจากทานข้าวก็ได้ และเอามาให้พี่ด้วยนะครับ” พี่กันต์วานใช้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะลุกไปประชุมกับหมอคนอื่น ๆ ต่อ
ฉันกับยายวีโอก็เดินไปกินข้าวมื้อกลางวันกันอย่างหิวโหย เพราะวันนี้เราทั้งคู่สูญเสียพลังงานไปเยอะมากจริง ๆ
“การจะรักษาหลานเจ้าของโรงพยาบาลนี่มันก็ยุ่งยากเหมือนกันเนอะ” ยายวีโอพูดพลางเท้ามือกับแฟ้มที่เราวางไว้บนโต๊ะ
“ก็จริง ดูแต่ละคนเกร็ง ๆ กลัวกันไปหมดเลย” ฉันส่ายหน้าก่อนจะพากันลุกไปขอรายละเอียดตามที่พี่กันต์ฝากงานไว้ให้ทำ
แผนก information
หลังจากที่ฉันยื่นเอกสารทั้งหมดไปให้พี่พยาบาลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อยู่แผนกนี้ “อันนี้เป็นเอกสารการรักษาของคุณครูซทั้งหมด ตั้งแต่เกิดที่นี่จนถึงตอนนี้นะคะ” อีกฝ่ายพูดพลางส่งเอกสารหนา ๆ ให้กับเรา
“แล้วก็ประวัติการแพ้ยา อาหาร และอะไรต่าง ๆ ยังไงบอกให้หมอกันต์ดูอย่างละเอียดหน่อยนะคะ” พี่พยาบาลอาวุโส ย้ำอีกรอบ
ก่อนที่เธอจะให้ฉันหรือยายวีโอเลตเซ็นชื่อเพื่อเป็นหลักฐานในการรับเอกสาร
“ฉันมีปากกา ๆ” แล้วเพื่อนก็หยิบปากกาลายน่ารัก ๆ ของนางขึ้นมา ก่อนจะอาสาเซ็นชื่อของตัวเองลงไปยืนยัน
พอฉันกลับมาถึงห้อง พี่กันต์ก็สลับเวรออกไปทานข้าวแล้ว ในห้องจึงมีเพียงพี่หมอตี๋และพี่หมอแว่น
“นั่นเอกสารคุณครูซเหรอ” พี่หมอตี๋ที่กำลังชงกาแฟเอ่ยถามนิ่ง ๆ
“ค่ะ” ฉันก็ตอบไปสั้น ๆ