(“อ้าว... ผมส่งไลน์ไปแล้วนะครับ ผมเห็นบอสไม่อ่านก็เลยโทรเข้ามา”) คุณากรทำเสียงอ่อย ๆ
“ขอบใจมาก โทรมาตอนนี้นี่นะ ไม่มีใครไปรับแล้ว คนงาน คนขับรถไปตามงานให้ผมหมด ไม่เหลือใครที่ออฟฟิศสักคนเลยเนี่ย”
(“ไม่ได้นะครับ ต้องไปรับนะครับ ให้เธอไปเองไม่ได้ น่าสงสาร”) กรทำเสียงอ้อน ๆ
“ทำไมต้องสงสาร มาสัมภาษณ์งานนะ ไม่ได้มาท่องเที่ยว คุณกรส่งเบอร์ของเธอมา ผมจะปักมุดไปให้เธอมาที่นี่เอง”
(“อุ้ย... บอสครับ พลีส... อย่าใจจืดใจดำเลยครับ พลีส...”) น้ำเสียงขอร้อง
(“ก็ผมแจ้งไปแล้วนี่ครับ ว่าจะมีคนของบริษัทไปรอรับ ฮือ ๆ”) กรทำร้องไห้แบบปัญญาอ่อน ขุนเขาส่ายหน้า
“วันหลังทำอะไรปรึกษากันหน่อย วันนี้ต้องไปรับพ่อออกจากโรงพยาบาล สงสัยต้องอาศัยน้อง ๆ อีกแล้ว” เขาเปรยขึ้นมาถึงเรื่องที่ต้องไปทำ
(“บอส พลีส...”) คุณากรทำเสียงออดอ้อนอีกครั้ง
“ก็ได้”
(“ครับ”) น้ำเสียงของกรเปลี่ยนเป็นร่าเริงทันที
(“ออกออฟฟิศได้หรือยังครับ ผมว่าเธอน่าจะถึงแล้ว คงจะรออยู่แล้วด้วย”)
“นายกร...” ขุนเขาทำเสียงเข้ม
(“ครับผม แค่นี่นะครับ บอส รักนะ จุ๊บ ๆ ๆ”) คุณากรรีบวางหู และทำหน้ายิ้มแฉ่ง
ขุนเขายังเกรงใจคุณากรอยู่บ้าง คุณากรแก่กว่าเขาเกือบสิบปี แต่ยังทำตัวเป็นวัยรุ่นอยู่ อีกอย่างเขาเป็นคนที่เคยทำงานให้กับคุณพ่อ คือ คุณคีรี โดยเป็นผู้ช่วยของเลขาคนเก่าของคุณพ่อ ทำให้รู้ทุกเรื่องทุกอย่างในบริษัทเป็นอย่างดี เขายังคอยเป็นหูเป็นตา พร้อมทั้งให้ความคิดดี ๆ กับชายหนุ่มได้ทุกเรื่อง
ขุนเขารีบยกหูหาพวกน้อง ๆ บอกว่าติดงาน คงไม่ได้ไปรับพ่อกลับบ้านไม่ได้ น้องสาวต่างพากันบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง และเย็นนี้ถ้าสะดวกให้กลับมากินข้าวที่บ้านด้วย เพราะแม่ใหม่จะทำอาหารของโปรดของพี่เดี่ยวไว้ให้ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแก้มปริ ตั้งแต่เกิดเรื่องเกิดราวร้าย ๆ ขึ้นมาในชีวิตอีกครั้ง หลังจากวันนั้น ชีวิตของเขากลับกลายมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามามากมาย
เขาดีใจแค่ไหนที่ได้แม่คืนมาในชีวิต ถึงแม้แม่จะมีครอบครัวใหม่ สามีใหม่ และน้องอีกสองคน แต่ขุนเขาได้ครอบครัวที่สมบูรณ์ที่ใหญ่ขึ้นด้วย
ญารินดา น้องสาวคนโตที่เป็นหมอ วางแผนแต่งงานกับ คฑาวุธ น้องชายฝาแฝดผู้พี่ที่ทำงานเป็นหมอเหมือนกัน ทั้งสองรักกันตอนไปฝึกงานที่เชียงใหม่
ญานิสา น้องสาวคนสุดท้อง รักและแต่งงานกับ คฑาเทพ น้องชายฝาแฝดผู้น้อง และทั้งสองคนน่าจะมีลูกด้วยกันแล้วด้วย ญานิสากำลังตั้งท้องอ่อน ๆ
สำหรับตัวเขาหรือเพิ่งอกหักมาหยก ๆ
ที่สนามบินกระบี่
“อะไรกันจะเที่ยงสิบห้าอยู่แล้ว ยังไม่มีใครมารับอีก” มิกิบ่นออกเสียงยกมือถือขึ้นมองจ้องแล้วจ้องอีก นั่งกระสับกระส่าย กำลังจะหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋า ก็ได้ยินเสียงประกาศจากทางท่าอากาศยานกระบี่
“เรียนแจ้งท่านผู้โดยสาร ชื่อ คุณอัจฉริยา นามาฮิดะ พบผู้ที่มารับตรงฝ่ายประชาสัมพันธ์ค่ะ Attention please, Miss Ajchariya Namahida contact at information desk.” แล้วพนักงานคนนั้นก็ประกาศซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
อัจฉริยาถึงกับหน้าแดง เธอหันซ้ายหันขวามองหาว่าเคาน์เตอร์นั้นอยู่ตรงไหน เธอรีบคว้ากระเป๋าเป้หยิบขึ้นหลังก่อนจะวิ่งตัวปลิวไปอย่างรวดเร็ว
‘บ้าจริง ทำบ้า ๆ อายคนจัง มารับช้า แล้วยังทำให้เราขายหน้าอีก’
พอไปถึงที่เคาน์เตอร์ เธอก็มองหน้าประชาสัมพันธ์สาว
“อัจฉริยา...” แล้วเธอก็ยืนหอบนิด ๆ หายใจเข้าปอด
“อ๋อ...ค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นผายมือไปยังชายหนุ่มรูปงามที่กำลังมองหน้าของเธออยู่ ขุนเขามองเธอแบบช้อนสายตาและมองดูเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
มิกิหน้าชา นายคนนี้บังอาจมากที่มาใช้สายตาแบบนี้กับเธอได้อย่างไร มองอย่างไม่เกรงใจเอาเสียเลย
หญิงสาวจึงมองเขากลับบ้าง ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแต่ไม่มีตรงไหนที่เธอจะติเขาได้เลย
รองเท้ามันวาว กางเกงรีบจนเรียบ จนเธอคิดว่าเอามือไปโดนกลีบของกางเกงอาจจะบาดได้ เข็มขัดมีราคา และชายเสื้อที่ถูกยัดชายเข้าไปในกางเกงเรียบร้อย เสื้อที่เขานุ่งแทบไม่มีรอยยับ พอเงยหน้าขึ้นไปสบสายตากับเขา ก็พบใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวสะอาดชวนมอง แต่สายตาเย็นชานี่สิ ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักเธอก่อน
เธอรีบยกมือไหว้ เรื่องเซนส์ดี ๆ ของเธอนั้นก็มีอยู่มาก
‘ขุนเขา พงษ์พิสุทธิ์จินดา’ เธอเอ่ยเรียกชื่อเขาในใจ อุตส่าห์นั่งท่องไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
“สวัสดีค่ะ อัจฉริยา ค่ะ” เธอเอ่ยแนะนำตัว และรีบเอาเป้ลงจากหลัง
อัจฉริยามองหน้าเขาแล้วอมยิ้มนิด ๆ
“เชิญ” เขาผายมือให้เธอ ก่อนจะเดินนำไปตามทางออกแบบไม่รอ
มิกิตัวไม่ค่อยสูงนัก มองตามขายาวของขุนเขาที่เดินลิ่ว ๆ เธอทำหน้าย่นตามหลังเขาไปในใจรู้สึกเคือง ๆ
‘จะรอดไหมหนอ มิกิ ทำไมเขาดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย’ เธอถามตัวเองในใจ
มิกิพอเห็นรถสปอร์ตหรูของเขาถึงกับเหวอ
“ขึ้นรถสิ” เขาออกคำสั่ง
‘ดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่....’
เธอส่งยิ้มให้ ได้ยินเสียงเขาปิดประตูเบา ๆ โดยไม่ใส่ใจเปิดประตูให้กับมิกิ หญิงสาวยื่นมือไปเปิดประตู แล้วก้าวขึ้นไปนั่งคู่ ในรถของเขาสะอาดเอี่ยมอ่องดูเนี้ยบไปเสียหมด
“คิดว่าตัวเองจะทำงานนี้ได้ไหม” เขาถามทันทีที่รถถอยออกจากลานจอด
“คะ” เธอทำเสียงออกไปอย่างสงสัย มองหน้าของคนถาม
“ก็ผมกำลังสัมภาษณ์งานคุณอยู่ตอนนี้” เขาหันไปมองใบหน้าของเธอแวบหนึ่ง
“ก็มั่นใจค่ะ ว่าทำได้” เธอตอบ แต่ในใจตอนนี้ชักเดือดปุด ๆ ไม่เห็นเหมือนในบทสัมภาษณ์ตามคอลัมน์ในนิตยสาร เขาดูสุภาพชนมากกว่านี้
‘OMG ถ้าฉันไม่มั่นใจจะมาเขียนใบสมัครทำไม ชิ...’ เธอค่อนขอดเขาในใจ
“คุณสามารถไปทำงานต่างจังหวัดได้ไหม” เขาหยุดแล้วจ้องหน้า
“หรือว่าที่ไหนก็ได้ ต่างประเทศอะไรแบบเนี่ย” ขุนเขาถามต่อ
“ได้ค่ะ”
“คุณไม่มีสามี ไม่มีลูก แน่นะ”
‘ใครสัมภาษณ์งานกันตรง ๆ แบบเนี่ยนี่’ เธอนึกขุ่น ๆ ในหัวใจ เธอประหลาดใจกับคำถามของเขา มันทำให้เธอเหวอไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้ตรง ๆ