สองปีต่อมา
"แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ วันนี้ไปด้วยกันสิ"
สองเท้าชะงักกะทันหันเมื่อเปิดประตูห้องออกมาแล้วพบว่าเจ้าของเสียงกำลังยืนกอดอกพิงผนังและมองมายังเธอ ซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษา และหอบเอกสารข้าวของพะรุงพะรังด้วยความรีบร้อน
"นัดเพื่อนไว้แล้วค่ะ"
ยามพูด...ไม่เคยมองหน้าเขาเป็นลักษณะที่เคยชินสำหรับอีกฝ่ายไปเสียแล้ว เขาไม่เคยถือสาและพร้อมจะเข้าใจเหตุผลเป็นอย่างดี
"เพื่อนมารับเหรอ หรือนัดเจอกันที่มหาลัย...ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปส่ง"
"เอ่อ..."
"มาเถอะสายแล้ว" ไม่ต้องรอฟังคำตอบก็เดารู้ว่าถึงกำหนดการนัดหมาย หญิงสาวมักตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปมหาลัย ไม่ว่าวันนั้นเธอจะมีเรียนช่วงไหนก็จะขึ้นแท็กซี่ไปตั้งแต่ไก่โห่เสมอ
เพื่อหนีเขา...เพื่อหลีกเลี่ยงการได้พบเจอกับเขา เช้ามาต่างคนต่างไป ตกเย็นย่ำค่ำมืดก็กลับมาต่างคนต่างทำภาระหน้าที่ของคนและนอน
แทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย...แม้จะอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันมาตลอดระยะเวลาสองปี
กระเป๋าและแฟ้มเอกสารที่หอบอยู่ในอ้อมแขนถูกคนตัวใหญ่ดึงไปถือไว้อย่างถือวิสาสะ ก่อนจะใช้อีกมือหนึ่งคว้าข้อมือเล็กแล้วเดินจูงกึ่งลากพาไปขึ้นรถ
"ใกล้จะจบแล้ว คิดไว้หรือยังว่าอยากทำงานอะไร" เขาเหลือบแลคนนั่งข้างขณะขับรถ พร้อมกับชวนคุยเรื่อยเปื่อย หญิงสาวยังมีสีหน้านิ่งเรียบ เฉยชาและไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ เหมือนเคย
"ค่ะ...กำลังดูอยู่ ถ้าได้ทำงานแล้วจะรีบย้ายออกจากบ้านคุณหมอทันทีนะคะ ไม่ต้องห่วง"
“ว้าย!” ชายหนุ่มเหยียบเบรกจนรถหยุดในฉับพลัน ทำให้อีกคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแทบคว่ำคะมำไปข้างหน้า โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ กระนั้นหน้าหวานก็ยิ่งนิ่งเฉยไม่รับทราบ ไม่รู้สึกรู้สา
"เราพูดเรื่องนี้กันมาหลายครั้งแล้วนะน้ำมนต์ พี่ไม่เคยคิดไล่เราออกจากบ้าน"
"หนูไม่อยากเป็นภาระของใคร"
"พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น เฮ้อ! เมื่อไหร่จะมองพี่ในแง่ดีบ้างนะน้ำมนต์" ชายหนุ่มครวญ สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่สบายใจ ความผิดที่ติดตัวมาตลอดแม้พยายามชดเชยเท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะไม่เคยบรรเทาร่องรอยความเจ็บปวดของหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้เลย
เธอไม่เคยมองเขาอย่างมิตร ไม่แม้อยากใช้ลมหายใจร่วมกัน ทั้งที่เขาก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับป้านวล มารดาผู้ซึ่งจากไปแล้วของเธอทุกอย่าง
"หนูนัดเพื่อนเอาไว้ ถ้าคุณหมอไม่รีบ ขอนั่งแท็กซี่ไปก็แล้วกันนะคะ"
"โอเค...พี่ยอมล่ะ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาอะไรกินรองท้องกันหน่อย วันนี้น้ำมนต์ไม่มีเรียนเช้าไม่ต้องรีบมากก็ได้ใช่ไหม" รถเก๋งคันงามเคลื่อนตัวสู่ท้องถนนเบื้องหน้าอีกครั้ง
บรรยากาศภายในตัวรถชวนอึดอัดสำหรับใครบางคน เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ใช้มือเท้าคางกับประตูรถเหม่อมองออกไปด้านนอกไม่ออกความคิดเห็นต่อข้อเสนอ นภดลอาจจะดูอ่อนโยนใจเย็นสมกับสัมมาอาชีพที่ทำ แต่เขาไม่เคยยอมให้เธอขัดใจได้สักครั้ง การต่อล้อถกเถียงกันรังแต่จะทำให้เธอเหนื่อยเปล่า...
"พักนี้ดูซูบไปนะ ไม่สบายหรือเปล่า" อัศม์เดชตักอาหารเข้าปากพลางเอ่ยถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งหน้ามุ่ยกินอาหารในจานตรงหน้าอย่างสงบ
เขาเป็นแบบนี้เสมอ...พยายามหาเรื่องชวนคุย เวลาว่างก็มักพาไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หวังให้เวลาและบรรยากาศเหล่านั้นช่วยบรรเทาความเศร้าโศกในหัวใจของเธอ แต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ ผ่านเวลาไปเป็นปีๆ อัญญดาก็ยังเหมือนเดิม ซึม หงอยเหงา กดตัวเองให้จมอยู่แต่กับความสูญเสียในอดีต
เรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้นหลังจากคืนวิปโยคนั้น เขาต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อปิดคดี แม้ตัวเองจะไม่ใช่คนผิด ไม่ใช่คนที่ชนสองแม่ลูก แต่ก็เพราะความประมาทของตัวเขาอุบัติเหตุนั้นถึงได้เกิดขึ้น
หลังจากนั้นก็เดินเรื่องขอดูแลอัญญดาในฐานะผู้ปกครองเพื่อรับผิดชอบทุกๆ อย่างในฐานะที่เขาทำให้มารดาต้องจากเธอไปชั่วนิรันดร์ ส่วนตัวเขาก็ถูกจับเข้าวัดทำบุญเป็นการใหญ่ ถึงกับต้องเปลี่ยนชื่อใหม่จาก นพดล เป็นอัศม์เดช เพราะความเชื่อของแม่ว่าจะช่วยแก้เคล็ดให้เรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นออกไปจากตัว
ทางด้านอัญญดานั้นเธอไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่กับการต้องตกเป็นเด็กในปกครองของเขา ค่อนไปทางเกลียดขี้หน้าเสียมากกว่า แต่จำใจเพราะไม่มีที่ไป ไม่มีใครดูแล ญาติๆ ก็ผลักไสให้มาเพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตของเธอ เมื่อไม่มีบ้าน...ไม่มีเงิน หญิงสาวก็ไม่มีทางเลือก
"เปล่านี่คะ...หนูแค่คิดเรื่องหางานทำ" และคร่ำเคร่งมากๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นหนทางเดียวจะได้รอดพ้นออกไปจากเขาเสียที
"เป็นผู้ช่วยพี่ก็ได้นี่ อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่พี่จ่ายให้เอง เราก็พอรู้งานช่วยพี่ที่คลินิกบ่อยๆ อยู่แล้ว"
"ไม่ดีกว่าค่ะ รบกวนคุณหมอมามากแล้ว หนูอยากยืนด้วยตัวเองบ้าง" เรื่องนี้ถูกนำมาเป็นข้อพิพาทระหว่างกันหลายต่อหลายครั้ง และคงเป็นเรื่องเดียวที่เธอไม่ยอมอ่อนข้อให้อัศม์เดช กระนั้นชายหนุ่มก็ดูจะไม่ยอมอ่อนใจง่ายๆ เช่นกัน
"..." เสียงโทรศัพท์ของฝ่ายหญิงดังขึ้นคั่นระหว่างการสนทนาและมื้ออาหาร อัญญดาเห็นชื่อที่ขึ้นโชว์หน้าจอ แล้วก็เม้มริมฝีปากเข้าหากัน เหลือบมองคุณหมอหนุ่มด้วยความไม่แน่ใจว่าควรกดรับดีหรือไม่
"เพื่อนเหรอ?"
"ค่ะ...หนูขอตัวรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ" ว่าแล้วเธอก็ลุกเดินจากโต๊ะลิ่วๆ ไปทางข้างร้านซึ่งเก้าอี้วางไว้ให้สำหรับลูกค้าที่อยากออกไปนั่งด้านนอก
อัศม์เดชไม่สบอารมณ์นัก...แต่ก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อโดยไม่คิดจะตามออกไปดู มันคงเกินขอบเขตของเขา เดี๋ยวจะหาว่าละเมิดสิทธิส่วนตัวกันเปล่าๆ
ผ่านไปสักสิบนาทีอัญญดาก็เดินกลับมาและนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มจัดการอาหารของเขาเรียบร้อยและรอให้เธอสานต่อส่วนของตัวเอง เพราะก่อนหน้าอัญญดาเพิ่งกินไปเพียงน้อยนิด
"คุณหมออิ่มแล้ว...เราไปกันเลยไหมคะ"
สรุปว่าเธอไม่กินแล้วสินะ ท่าทางลนลานแสดงว่ารีบ...
"พี่อยากกินขนมหวานล้างปาก น้ำมนต์อิ่มแล้วเหรอ หรืออยากสั่งของหวานเพิ่มเหมือนพี่ไหม"
"เอ่อ...ไม่ค่ะ..." กำลังจะพูดต่อว่ารีบ แต่คุณหมอหนุ่มกลับเรียกพนักงานมาสั่งของหวานอีกหลายอย่าง ด้วยความเกรงใจหญิงสาวจึงจำต้องนั่งเจ่ารอเขาต่อไป
ยังไม่ทันที่ของหวานจะถูกนำมาเสิร์ฟ...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง...
"เอ่อ..." คราวนี้เธอไม่กล้าขอตัวออกไปรับแล้วสิ เพราะเกรงใจเขา ได้แต่คว้าโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอแล้วทำท่าจะเก็บ
แต่...
"คุณหมอ!" อัศม์เดชก็คว้าเอาไปเสียก่อน
"ธุระอะไรกันนักหนาเหรอ ถึงกับต้องโทรฯ ตามยิกๆ แค่กินข้าวกับพี่ไม่ถึงชั่วโมงมันน่าลำบากใจนักรึไงน้ำมนต์" ไม่บ่อยนักที่อัศม์เดชจะหลุดโมโหออกมาแบบนี้
หญิงสาวเองก็ใช่จะพอใจนัก เธอหน้างอทันควัน และเลือกที่จะเงียบ
"นน...ผู้ชายเหรอ..."
"เพื่อนค่ะ" เธอตอบ ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
"มิน่าถึงรีบ...หึ กลัวมันจะมาเห็นว่าน้ำมนต์อยู่กับพี่หรือไง" อัศม์เดชแสยะยิ้มเอ่ยถามกวนๆ มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ ไปไหนมาไหนกับเขาทีไรหญิงสาวทำเหมือนอากาศหายใจบนโลกเหลือน้อยเหลือเกิน แต่พอกับคนอื่นระริกระรี้จนตัวสั่น
"พี่จำได้ว่าตอนซื้อโทรศัพท์ พี่บอกแล้วว่าเอาไว้ให้พี่ติดต่อน้ำมนต์ได้ อีกอย่างพี่คิดว่าน้ำมนต์ยังไม่โตพอจะมีแฟนตอนนี้นะ"
"เพื่อนค่ะไม่ใช่แฟน! คุณหมออย่าหาเรื่องหนูนักเลย แล้วโทรศัพท์นั่นคุณหมอก็เอากลับไปได้เลยค่ะ ถ้ามันทำให้คุณหมอคิดว่าจะบงการหนูไปเสียทุกอย่าง" เพราะความมีอคติอยู่แล้ว บ่อยครั้งที่มีปัญหากันเธอจึงมักพูดจาด้วยอารมณ์กับเขา หวังให้อัศม์เดชเบื่อหน่ายและปล่อยเป็นอิสระเสียที
"อ๋อ...ได้สิ ถ้าพี่ยึดมันคืนก็แสดงว่ามันเป็นของพี่แล้วสินะ" ว่าแล้วก็กดรับสายที่ยังปรากฏชื่ออยู่บนหน้าจอไม่ยอมวางสาย
"คุณหมอ!"
"น้ำมนต์ ทำไมรับสายช้าจัง ออกมาถึงไหนแล้วเรารออยู่นะ" ปลายสายพูดโดยไม่รอฟังอีกฝ่าย
"วันนี้น้ำมนต์คงไม่ได้ไปไหนแล้วล่ะครับ เขาอยู่กับผม" ตื๊ด! จบประโยคนั้นก็กดวางและปิดเครื่องทันที
อัญญดาได้แต่อ้าปากค้างประจวบเหมาะกับของหวานถูกนำมาเสิร์ฟให้พอดี อัศม์เดชก็ตักเข้าปากไม่อินังกับอาการหน้าเขียวหน้าดำของหญิงสาวที่นั่งมองอยู่
แน่นอนว่าเธอทำอะไรไม่ได้เหมือนทุกๆ ครั้งที่มีปัญหากัน เพราะเป็นเบี้ยล่าง เพราะต้องอยู่ใต้อาณัติ การมีชีวิตอยู่แบบนี้แหละถึงอยากไปให้พ้นๆ เสียที
"เสร็จจากที่นี่...เราไปดูเครื่องมือทางการแพทย์กับพี่หน่อยนะ ว่างแล้วนี่ อีกอย่างน้ำมนต์ก็มีเรียนช่วงเย็นด้วย ไม่เห็นต้องรีบร้อนไปมหาลัยเลย"
มัดมือชกเธออีก...
"หนูเคยขัดอะไรคุณหมอได้บ้างคะ" อัญญดาตอบขอทางไปที ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง
"...น่ารัก" แล้วก็ก้มลงตักขนมหวานใส่ปากต่อแบบไม่รู้สึกรู้สา โทรศัพท์มือถือของอัญญดาเขาก็ยังไม่ยอมคืนให้ ถือเป็นการลงโทษฐานขัดคำสั่ง
บางครั้งอัศม์เดชก็รู้ตัวเองดีว่าทำแรงเกินไป แต่เพื่อปกป้องให้เธอรอดจากปากเหยี่ยวปากกาจนกว่าจะยืนหยัดด้วยตัวเองได้มันก็จำเป็นต้องทำ
บางเรื่องอาจจะผิดบ้าง ถูกบ้างเพราะเขาไม่เคยดูแลใครนอกเสียจากมธุรส...
แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว จะว่าไปอัญญดากับมธุรสก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องมาอยู่กับเขาเหมือนกัน ต่างกันก็ตรงที่กับมธุรสนั้นเขาสนิทใจมากกว่า เธอไม่มีความลับ ไม่มีข้อแม้ในความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง แต่อัญญดาปิดกั้นทุกอย่าง สร้างกำแพงกีดกันเขา และมักแสดงแววตาจงเกลียดจงชังไม่เคยเปลี่ยน
"เอาล่ะเสร็จแล้ว เราไปกันดีกว่า" ชายหนุ่มควักเงินจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มตามบิลที่พนักงานนำมาให้ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหารแห่งนั้นด้วยกัน...
อัญญดาเดินตามหลังไม่ยอมตีคู่ไปกับเขา...ความเกลียดความแค้นที่มีอยู่ในหัวอก ดูมันจะมีแต่ทวีคูณไม่เคยบรรเทาเบาบางลงได้สักที เห็นหมอเพชรทีไร หน้ามารดาที่เสียก็มักจะยิ้มลอยอยู่ในหัวทุกๆ ครั้ง เป็นการย้ำเตือนว่าเขาคือคนที่พรากสิ่งสำคัญในชีวิตของเธอไป
แล้วมิวาย...ยังก้าวก่ายมาเป็นเจ้าชีวิตอีกต่างหาก
เพราะตัวคนเดียว เพราะไร้ที่พักพิงใช่ไหมถึงได้ถูกดูแคลนประหนึ่งเป็นทาสในเรือนเบี้ยเสมอไป รอสักวันเถอะอัศม์เดช ฉัน...จะเป็นฝ่ายหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้คุณบ้าง