ตอนที่ 8 เถ้าแก่เนี้ยกับเหล่าลูกค้า

2318 Words
จินหลันกลับมานั่งลงที่โซฟาในร้าน พร้อมกับดื่มชาที่เธอเพิ่งจะค้นเจอชุดชงชาและกล่องใบชามาจากในห้องครัวเมื่อเช้า กลิ่นชาหอมกรุ่นลอยไปทั่วร้านทำให้เธอรู้สึกสงบ จากนั้นเสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าร้านก็ดังขึ้น หญิงสาวที่มาเป็นลูกค้าคนแรกของร้านเธอนั่นเอง แต่วันนี้หญิงสาวมาเพียงคนเดียว และการทักทายที่อีกฝ่ายทำทุกครั้งที่เจอหน้าเธอก็คือการมองเธอด้วยความตกตะลึง "วันนี้เถ้าแก่เนี้ยดูงดงามขึ้นกว่าเดิมอีกนะคะ แล้วก็วันนี้ที่ร้านเปลี่ยนจากกลิ่นน้ำเต้าหู้เป็นกลิ่นชาอีกด้วย" อีกฝ่ายส่งยิ้มเขินอายมาให้พร้อมกับเอ่ยทักทายเธอ "ฮืม?" จินหลันเมื่อได้ยินคำทักทายก็รู้สึกแปลกใจ จนเผลอยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นทำให้ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย "อุ๊ย! ขอโทษที่ทำให้ไม่พอใจค่ะ" ฝ่ายลูกค้าสาวเห็นใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยเปลี่ยนไปก็คิดว่าคำทักทายของตนอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา "เปล่าไม่ใช่ไม่พอใจ แค่แปลกใจว่ากลิ่นอาหารในร้านมันมีกลิ่นแรงขนาดนั้นเลยอย่างงั้นเหรอ" จินหลันเห็นท่าทางของลูกค้าดูตกใจและยังดูหวาดวิตกเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนเองสงสัย เพราะเธอคิดว่าร้านค้าของระบบน่าจะจัดการเรื่องพวกนี้อย่างดี [ระบบได้จัดการเรื่องกลิ่นและความสะอาดภายในร้านอย่างดีที่สุด ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้านจะได้กลิ่นที่ตรงกับความชื่นชอบของตน ส่วนกลิ่นพื้นฐานคือกลิ่นดอกไม้เพื่อให้เกิดความประทับใจ ไม่มีทางได้กลิ่นที่ไม่ดีแน่นอน] ระหว่างที่รอคำตอบจากลูกค้าสาว ระบบก็ขึ้นข้อความมาให้เธออ่านเพื่อความเข้าใจ และก็จริงอย่างที่ระบบบอกเธอไม่เคยได้กลิ่นอาหารหลังจากกินไปแล้วในร้านเลยสักครั้ง ไม่ว่าอาหารนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่เธอจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้มากกว่า ยกเว้นวันนี้ที่เป็นกลิ่นชาที่เธอชงเอง "อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ กลิ่นไม่ได้แรงเลย ทุกทีจะเป็นกลิ่นหอมของน้ำเต้าหู้ทำให้รู้สึกหิวแค่นั้น เพียงแต่ที่บ้านทำกิจการเหลาอาหารฉันจึงค่อนข้างมีจมูกรับกลิ่นที่ดีกว่าคนอื่น แต่กลิ่นที่ได้จากร้านของเถ้าแก่เนี้ยจะเป็นกลิ่นบางๆ เวลาเปิดประตูร้านถึงจะได้กลิ่นแต่พอเข้ามาอยู่ในร้านก็ไม่ได้กลิ่นแล้ว" ลูกค้าสาวพอรับรู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยคนสวยเพียงแค่รู้สึกสงสัยก็รีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง "ที่บ้านเป็นเหลาอาหารอย่างงั้นเหรอ อยู่ไกลจากที่นี่มากไหม ฉันกินอาหารที่ตลาดด้านหน้าน่าจะครบหมดทุกอย่างจนเริ่มเบื่อแล้ว อยากหาอย่างอื่นกินบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะไปถามใครดี" จินหลันเมื่อรู้ว่าที่บ้านของอีกฝ่ายเป็นเหลาอาหารก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เธออยากมีประสบการณ์เข้าเหลาอาหารกับเขาดูบ้าง และอีกอย่างเธอก็เริ่มเบื่ออาหารที่ตลาดเช้าด้านหน้าแล้ว มีแต่อาหารเหมือนเดิมทุกวัน แต่ท่าทางตื่นเต้นจนตาโตอย่างที่เธอทำ ระบบได้ทำการปรับให้เป็นแค่มีประกายที่ดวงตาแทน บางทีระบบก็เหนื่อยกับเถ้าแก่เนี้ยของตนที่ชอบแสดงอารมณ์ออกมาเกินจริงอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน "ฮ่ะ ฮ่ะ เถ้าแก่เนี้ยไม่ใช่คนเมืองหลวงสินะคะ ที่ตรงนี้จะถูกเรียกว่าท้ายตลาดค่ะ ส่วนตัวตลาดหลักจะอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ถ้าเถ้าแก่เนี้ยอยากไปก็เดินไปทางทิศตะวันออกไม่เกินสามร้อยเมตรก็ถึงแล้วค่ะ เหลาอาหารของที่บ้านก็อยู่ที่นั่นหาไม่ยาก เหลาอาหารใหญ่ชื่อฟางเซียนมีอยู่ที่เดียว ความจริงฉันเองก็ชอบดื่มน้ำเต้าหู้ของผู้เฒ่าทั้งสองเหมือนกัน ถึงได้เดินผ่านมาทางนี้จนได้เห็นร้านของเถ้าแก่เนี้ยนี่แหละค่ะ ว่าแต่ฉันยังไม่รู้จักชื่อของเถ้าแก่เนี้ยเลย ฉันแซ่ฟาง ชื่อม่านชิง เพิ่งจะทำการปักปิ่นไปเมื่อเดือนก่อนค่ะ" ฟางม่านชิงที่ได้ยินคำถามจากเถ้าแก่เนี้ยคนงามก็อดชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้ ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตื่นเต้น แต่ท่าทางที่แสดงออกก็ยังคงดูสง่างามไม่เปลี่ยน (ฟางเซียน = นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม หรือจะแปลเป็นเหลาอาหารกลิ่นหอม (แซ่) ฟางก็ได้) (ปักปิ่น=เป็นประเพณีของจีนที่หญิงสาวอายุครบ 15 ปีทำพิธีเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าตนเองได้เข้าสู่วัยสาวและพร้อมสำหรับการแต่งงานออกเรือนแล้ว) "แม่นางฟาง ฉันแซ่จิน ชื่อตัวเดียวว่าหลัน ปีนี้อายุ 18 แล้วล่ะ" จินหลันได้ฟังสิ่งที่ลูกค้าแซ่ฟางบอกก็รู้สึกดีใจถ้าตลาดอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเช่นนี้เธอก็สามารถไปเดินเล่นได้ และพออีกฝ่ายแนะนำตัวมา เธอก็ยิ่งรู้สึกดีเพราะนอกจากได้ฟางม่านชิงมาเป็นลูกค้าประจำแล้วอาจจะได้อีกฝ่ายมาเป็นสหายไว้พูดคุยด้วยก็ได้ "ฉันนึกว่าเถ้าแก่เนี้ยจินอายุเท่ากันเสียอีกค่ะ" ฟางม่านชิงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเถ้าแก่เนี้ยจะมีอายุมากกว่าตนถึง 3 ปี อีกฝ่ายดูเหมือนหญิงสาวที่น่าจะเพิ่งปักปิ่นเท่านั้นเอง "เข้าใจพูดนะ แต่เรียกแค่เถ้าแก่เนี้ยหรือพี่สาวจินก็ได้ ถึงยังไงในร้านนี้ก็มีฉันอยู่แค่คนเดียว" จินหลันหัวเราะเสียงเบา พร้อมกับเอ่ยบอกให้อีกฝ่ายเรียกตนเองอย่างเดิมหรือจะเรียกว่าพี่สาวก็ได้ เพราะเธอก็รู้สึกเอ็นดูน้องสาวแซ่ฟางผู้นี้อยู่เหมือนกัน จากนั้นจินหลันก็พูดคุยสอบถามข้อมูลเรื่องตลาดที่อีกฝ่ายบอกและเลยไปถึงเรื่องราวของตลาดอื่นๆ ในเมืองหลวง ดีที่ระบบไม่ได้ห้ามไม่ให้เธอนั่งพูดคุยกับลูกค้า ไม่อย่างนั้นเธอคงได้เฉาตายเข้าสักวัน แต่ก็มีการขึ้นข้อความเตือนให้รักษากิริยาท่าทางให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา พูดคุยกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงฟางม่านชิงก็ซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บไปอีก 2 ขวด โดยบอกว่าตนเองลองใช้แล้วได้ผลดีมาก เลยจะเอาไปให้พี่ชายที่ทำงานเป็นทหารรักษาการณ์พกติดตัวเอาไว้ จากนั้นก็ขอตัวกลับไป เมื่อส่งหญิงสาวที่น่าจะกลายเป็นลูกค้าประจำจากไปไม่นาน เสียงกระดิ่งที่ประตูร้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง กลุ่มคนจำนวน 5 คนเดินเข้ามาในร้าน เธอจำได้ว่าเป็นคนกลุ่มเมื่อวานที่ซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บไปนั้นเอง แต่วันนี้ในกลุ่มไม่มีหญิงสาวเสียงแปดหลอดคนนั้นร่วมกลุ่มมาด้วย แต่มีชายหนุ่มคนใหม่มาแทน "ยินดีต้อนรับ" จินหลันเอ่ยต้อนรับลูกค้ากลุ่มที่สอง แต่ไม่ได้ลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ภารกิจตอนนี้มีแค่เลื่อนระดับร้านค้าเท่านั้น และเธอค่อนข้างตื่นเต้นเรื่องตลาดที่เพิ่งได้รู้มา และยังคงวิตกกังวลเรื่องภารกิจลับที่รับมาเลยไม่มีความกระตือรือร้นที่อยากจะลุกขึ้นไปขายของสักเท่าไร "อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่เนี้ย พวกเราอยากได้ยารักษาอาการบาดเจ็บเพิ่ม แล้วก็เมื่อวานเหมือนจะเห็นว่าที่นี่มีอาหารขายด้วย" ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยทักทาย พร้อมกับที่คนอื่นก็หันมามองเธอเช่นกัน และบรรยากาศอันแสนคุ้นเคยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คนทั้งห้าหลังจากที่หันมามองเธอก็พากันตกตะลึงยิ่งกว่าครั้งแรกที่เห็นเธอเสียอีก จนจินหลันต้องทำเป็นส่งเสียงกระแอมกระไอออกมา คนทั้งห้าถึงได้หลุดออกจากอาการตกตะลึง "วันนี้เถ้าแก่เนี้ยดูแปลกไปจากเดิมดูงดงามขึ้น เอ๊ะ!..นี่เถ้าแก่เนี้ยฝึกฝนลมปราณได้แล้วอย่างงั้นเหรอ?" ชายคนเดิมเอ่ยและเกาหลังคอตนเองแก้เก้อ แต่แล้วอีกฝ่ายก็มีท่าทีตื่นเต้นพร้อมกับเอ่ยออกมาอีกครั้ง "ใช่ ทำไมคุณถึงรู้ล่ะ" จินหลันส่งยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก พร้อมกับเอ่ยตอบรับกลับไป "เถ้าแก่เนี้ยคงไม่รู้ว่าผู้ที่มีพลังปราณจะมีการแผ่ลมปราณออกมาบางๆ รอบตัว ของเถ้าแก่เนี้ยที่ผมเห็นเป็นสีชมพูเข้มแสดงว่าอยู่ขั้นสามระดับสูงแล้ว และตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยก็น่าจะมองเห็นของพวกเราบางคนได้เช่นกัน" ชายคนเดิมเอ่ยตอบกลับมา พร้อมกับที่ทุกคนหันมาให้เธอได้มองเห็นพวกเขาชัดเจนขึ้น จินหลันจึงได้มีโอกาสสังเกตกลุ่มคนตรงหน้า แต่ละคนมีละอองอากาศลอยอยู่รอบๆ ตัว แต่ละคนก็มีสีต่างกัน มีทั้งสีชมพู สีแดง สีเขียว และชายคนที่เป็นหัวหน้ามีสีฟ้า ซึ่งแต่ละคนก็มีสีเข้มบ้างอ่อนบ้างแตกต่างกันไป บ่งบอกได้ว่าทุกคนในกลุ่มนี้มีพลังปราณและอยู่ในขั้น 3-6 นั่นเอง ซึ่งระบบบอกให้รู้ว่าที่ตอนนี้เธอสามารถมองเห็นสีพลังปราณของลูกค้าทุกคนในร้านได้เพราะมีระบบช่วย ซึ่งปกติแล้วคนที่มีพลังปราณต่ำกว่าจะมองไม่เห็นของคนที่มีพลังปราณสูงกว่า "แล้วมีวิธีทำให้คนอื่นมองไม่เห็นบ้างไหม" จินหลันหลังจากเข้าใจว่าคนอื่นรู้แล้วว่าตัวเธอมีพลังปราณก็คิดว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้สักเท่าไร "ถ้าพลังปราณอยู่ขั้น 5 ขึ้นไปจะสามารถควบคุมไม่ให้พลังปราณแผ่ออกไปได้ แต่ถ้าเถ้าแก่เนี้ยไม่อยากให้คนอื่นเห็นจริงๆ ก็ต้องใช้เป็นพวกอุปกรณ์สำหรับปกปิดพลังปราณ แต่ของพวกนี้หายากทั้งยังมีราคาสูงผู้คนจึงไม่ค่อยนิยม เพราะที่นี่ถ้าใครมีพลังปราณก็อยากจะให้คนอื่นรับรู้กันทั้งนั้น เถ้าแก่เนี้ยไม่ต้องคิดมาก การที่เรามีพลังปราณผู้อื่นจะให้ความเกรงใจเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน" ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยบอกให้เธอได้ฟัง พร้อมกับคนอื่นๆ ที่พยักหน้าเป็นเชิงสนับสนุนว่าจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด "ขอบคุณมากที่บอก ถ้าอย่างไรเชิญพวกคุณเลือกชมสินค้ากันตามสบาย" จินหลันพอได้ฟังที่อีกฝ่ายบอกก็รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะการที่คนอื่นเห็นว่าเธอมีพลังปราณก็ถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยคนที่คิดร้ายกับเธอจะได้ไม่กล้าลงมือ 'ขอเพียงโฮสต์ตั้งใจฝึกฝนในมิติฝึกฝนให้เต็มที่ พลังปราณขั้น 8 ที่เป็นระดับสูงสุดของโลกใบนี้โฮสต์ก็สามารถไปถึงได้ อีกอย่างในมิติฝึกฝนมีพลังปราณหนาแน่กว่าด้านนอกนี้มากมายหลายเท่า ไม่เช่นนั้นโฮสต์จะใช้เวลาแค่เก้าชั่วโมงก็มาถึงขั้นสามแล้วได้อย่างไร ระบบร้านค้าไร้เทียมทานมีไว้เพื่อสนับสนุนโฮสต์ให้เป็นสุดยอดเถ้าแก่เนี้ยย่อมสรรหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดมาให้โฮสต์อย่างแน่นอน' จินหลันพอได้ฟังสิ่งที่ระบบบอกก็รู้สึกอบอุ่นที่หัวใจ อย่างน้อยการที่เธอต้องมาอยู่ที่นี่ โดยมีระบบติดมาด้วยก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ได้เกิดขึ้นกับเธอ 'เตือนความทรงจำโฮสต์ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงภารกิจเลื่อนขั้นร้านค้า แต่ถ้าโฮสต์ยังไม่มีความกระตือรือร้นในฐานะที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้าน ระบบอาจจะทำการงดของรางวัลบางอย่างในอนาคต' '...' และบางครั้งระบบก็ใช้คำพูดกวนประสาท จนเธอรู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ได้โชคดีจริงอย่างที่คิดเอาไว้ก็ได้ ในเมื่อระบบบีบบังคับให้เธอกระตือรือร้นในการเป็นเถ้าแก่เนี้ย จินหลันจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังเก้าอี้ด้านหลังเคาน์เตอร์คิดเงินแทน และเอ่ยอธิบายถึงสินค้าบางอย่าง จนกระทั่งคนทั้งหมดเดินมาเพื่อจ่ายเงินค่าสินค้า จึงได้มองเห็นตู้โชว์ใบเล็กที่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์ "เถ้าแก่เนี้ยมีเครื่องประดับขายด้วยหรือนี่ ไหนดูสิเป็นอะไร..ฮ่ะ!!" หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มหลังจากที่จ่ายเงินค่าสินค้าของตนเองแล้วก็เดินมาดูแหวนในตู้โชว์ เมื่ออีกฝ่ายอ่านรายละเอียดครบก็ส่งเสียงดังออกมา จนสมาชิกคนอื่นๆ ถึงกับพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ "เป็นอะไรของเธอเสี่ยวอิง ร้องเสียงดังทำให้คนอื่นตกใจกันหมด จำไม่ได้หรือไงเถ้าแก่เนี้ยไม่ชอบให้ทำเสียงดัง" ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มถ้าเธอจำไม่ผิดอีกฝ่ายน่าจะชื่อตงฟางที่เมื่อวานได้รับบาดเจ็บที่แขน และเป็นคนจ่ายเงินค่าสินค้าเมื่อวานเอ่ยกระซิบเตือนหญิงสาวเสียงเข้ม "พี่ฟงอวิ้น พี่หลินหลาง พี่ตงฟาง พวกพี่มาดูนี่เถ้าแก่เนี้ยมีแหวนจัดเก็บขายในราคาหนึ่งร้อยเหรียญหยก!" หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มหรือที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวอิงไม่ได้สนใจคำเตือนของชายในกลุ่มมากนัก แต่กลับเดินไปดึงแขนเสื้อของชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มที่น่าจะชื่อฟงอวิ้น กับชายที่บาดเจ็บหนักเมื่อวานที่ชื่อหลินหลาง ให้มาดูแหวนที่อยู่ในตู้โชว์ใบเล็ก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD