กิริยาเปิดเผยไร้ความสุขุมเช่นนั้นพาบรรยากาศคุกรุ่นเมื่อครู่ให้ชื่นมื่นอย่างแปลกประหลาด ทว่าน่าสนใจอย่างมากในความรู้สึกของลี่เซียน
นางมองทุกสิ่งรอบกายอย่างสงสัย ไม่เข้าใจอันใด
ภาพตรงหน้ายามนี้ช่างแตกต่างจากสิ่งที่นางเคยพบพานในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณนับแต่จำความได้
เด็กน้อยผู้หนึ่ง ลืมตาดูโลกได้แค่แปดปี ทั้งยังมีเพียงนักพรตหญิงดูแลสอนสั่ง ตำรายังพร้อมพรั่งแค่เพียงบทบัญญัติแค่โลกแห่งธรรม รอบด้านล้อมไปด้วยโลกทัศน์แค่สันเขากางกั้น
ยามนั้นนางท่องคัมภีร์ทั้งหอพระธรรม จดจำได้แม่นยำ ทั้งยังฝึกพลังวัตรไม่ว่างเว้น กระทั่งอายุได้แปดขวบแล้ววิญญาณหลุดออกจากร่างฝังแน่นอยู่ในกำไลหลายร้อยปียังถือโอกาสบำเพ็ญตบะจนสามารถแปรเปลี่ยนดวงจิตเป็นกายหยาบยามที่กำไลถูกทำลายจนแตกหัก แล้วหลุดออกมาได้สำเร็จ
เนื่องจากผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี เนิ่นนานเหลือเกิน กายหยาบของลี่เซียนยามนี้จึงเติบโตสมส่วนสมบูรณ์แบบ
มีรูปร่างระเหิดระหงอรชร บั้นท้ายงามงอนเนินอกอวบตึง ใบหน้าเรียวเล็กน่ารัก ดวงตากลมโตดำขลับซ่อนแววซุกซนเอาไว้
กลายเป็นหญิงสาวเต็มวัยสะคราญโฉมผู้หนึ่ง
ลี่เซียนยามนี้มีอายุหลายร้อยปี มีรูปร่างเติบใหญ่เต็มที่ ทว่าแท้ที่จริงความรู้สึกนึกคิดกลับยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่ประสาอายุแค่แปดหนาวเท่านั้น ทั้งยังอ่อนต่อโลกหล้ามากนัก
นางจึงคิดตั้งใจศึกษาหาความรู้เต็มที่
เปรียบเสมือนถ้วยเปล่าใบหนึ่ง รอผู้รู้ใส่สิ่งต่างๆ ลงไปอย่างยินดี ดรุณีน้อยคิดตั้งมั่นที่จะศึกษาเรื่องราวทางโลกรอบตัวที่กำลังเผชิญให้ถ่องแท้ ปฏิบัติตัวเฉกเช่นเมื่อยามอยู่อารามผิงอันอย่างเคร่งครัด
และสิ่งที่นางกำลังเรียนรู้ยามนี้ ก็คือการเป็นคณิกา...
ถ้อยวาจาไม่ยินยอมที่จักปรนนิบัติรุ่ยอ๋องยังคงดังอย่างต่อเนื่องจากริมฝีปากแดงชาดของเย่เสีย
ลี่เซียนเห็นอีกฝ่ายมองมาอย่างต้องการความช่วยเหลือ จึงตัดสินใจเดินเข้าหา ‘ท่านแม่’ ผู้นั้น แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ให้ข้าไปแทนพี่เย่เสียได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของลี่เซียนแว่วหวานเป็นกังวานสดใสดุจไข่มุกตกกระทบแก้วเจียระไนก็ไม่ปาน ทำเอานางคณิกาทุกคนต้องหยุดฟังแล้วหันมอง
“จะดีหรือ?”
คณิกาคนหนึ่งถามอย่างห่วงใย เพราะเห็นลี่เซียนเพิ่งมาวันนี้วันแรก ทั้งยังมีท่าทางโง่เขลาอ่อนด้อยประสบการณ์ปานนั้น
จังหวะเดียวกันพลันมีนางคณิกางามพิลาสผู้หนึ่งเอ่ยแทรกเสียงหวาน
“ท่านแม่...ให้ข้าไปเถิด ข้าปรารถนาปรนนิบัติท่านอ๋องมานานแล้ว ฝีมือข้าย่อมล้ำเลิศไม่ด้อยไปกว่าเย่เสียเจ้าค่ะ”
ยามเอ่ยด้วยสุ้มเสียงน่าฟัง ดวงตาของนางยังพราวระยับราวมีหยาดพิรุณคลอเคล้า
เป็นสตรีที่มีกลิ่นกายชวนหวามไหวให้หลงใหลเฉพาะตัว เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนใจอย่างมาก นางมีนามว่า ซวงอี๋
ลี่เซียนเอียงคอมองซวงอี๋แน่วนิ่ง พลันรู้สึกได้ว่า พี่สาวผู้นี้คงมีฝีมือปรนนิบัติบุรุษเหนือชั้นเป็นแน่ ขนาดนางเป็นสตรีด้วยกันยังใจเต้นระส่ำ มิอาจละสายตาได้
แม่นางน้อยไม่ประสามิกล้างัดข้อกับผู้มากประสบการณ์อยู่แล้ว นางจึงหลุบตาลง จำนนทั้งใจ
“เช่นนั้นให้พี่ซวงอี๋ไปเถิดเจ้าค่ะ”
ทว่าผู้คุมหอกลับเห็นต่าง
นางกลอกตามองประเมินซวงอี๋กับลี่เซียนชั่วครู่
ซวงอี๋เป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามจับตา ทว่าแฝงริ้วรอยช่ำชองเด่นชัด กิริยาท่าทางมองจากยอดเขาไกลหลายร้อยจั้ง[1]ยังดูออกว่าผ่านมือชายมานับไม่ถ้วน กลิ่นคาวโลกีย์โชยชัดขนาดนี้
ส่วนลี่เซียนเป็นสตรีนางน้อยวัยแรกแย้ม สองแก้มแดงเรื่อราวลูกท้อสุก ดวงตาสีดำกลมโตเปล่งประกายสดใสไร้เดียงสา ดวงหน้างดงามพริ้มเพราน่าเอ็นดู มองจากยอดเขาไกลเป็นลี้[2] ยังดูออกว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ได้เจอหยกงามล้ำค่าโดยบังเอิญแล้ว จักโง่ปล่อยไปหรือ? ไม่มีทาง!
หลังจากผู้คุมหอได้ครุ่นคิดลึกซึ้งนางรีบเอ่ยไปทางลี่เซียน
“เจ้านั่นล่ะไป”
กล่าวจบไม่รอช้า รีบชี้นิ้วสั่งให้ผู้ดูแลคนหนึ่งพาลี่เซียนไปแต่งหน้าเติมชาดเพิ่มอีกสักหน่อย เปลี่ยนชุดด้วยจึงจะดี
ในใจนางคิดว่าอ๋องทมิฬที่ใคร ๆ ต่างหวาดกลัวหวั่นเกรงอาจพึงใจเด็กน้อยนุ่มนิ่มไม่ประสาก็เป็นได้
ซวงอี๋มองลี่เซียนด้วยสายตาฉายรอยผิดหวังรุนแรง พริบตาก็รีบเก็บอาการได้แนบเนียน นางนิ่งเงียบ ไม่ต่อความอีก
เย่เสียเห็นลี่เซียนเสนอตัวเช่นนั้นก็รีบเดินตามแผ่นหลังบอบบางของแม่นางน้อยเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เอ่ยกระซิบว่า
“จะดีหรือลี่เซียน ที่ข้าช่วยเหลือเจ้า ให้ข้าวให้น้ำ มิใช่ว่าจะทวงบุญคุณโดยการให้เจ้าไปเสี่ยงตายแทนข้าหรอกนะ”
เด็กสาวนิ่งฟังเสียงทัดทานพลางมองตนเองในคันฉ่อง ปล่อยให้ผู้ดูแลที่เป็นหญิงวัยกลางคนจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าเติมชาดอย่างตั้งใจ
นางเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองชอบแต่งกายงดงามเช่นนี้เหลือเกิน ไม่ต้องใส่แค่เสื้อคลุมตัวยาวสีขาวไร้สีสัน ม้วนผมทรงมวยก้วน[3] ปราศจากเครื่องประดับเหมือนเมื่อก่อนตอนอยู่ผิงอัน
ระหว่างคิดในใจเช่นนั้นยังมองสบตากับเย่เสียในคันฉ่อง พลางคลี่ยิ้มเฉิดฉันที่แสนจะจริงใจส่งให้
เย่เสียคือผู้มีพระคุณ ช่วยเหลือลี่เซียนที่กำลังอ่อนแออย่างที่สุด เหตุเพราะเป็นวิญญาณหลุดลอย อาศัยพลังวัตรที่ฝึกตบะยามถูกขังให้สามารถผสานกายหยาบได้
ทว่ายามที่กายหยาบเพิ่งผสานได้แค่ไม่นาน พลังปราณยังไม่เข้าที่ นางจึงสิ้นสตินอนสลบไสลอยู่ตรงชายป่า เสื้อผ้าที่ใส่ยังเป็นชุดเดียวกับเมื่อยามอายุแค่แปดปี เป็นชุดสีขาวไร้ลวดลาย คับแน่นไปหมดจนหายใจไม่ออก เผยเนินเนื้อได้อย่างน่าอาย มวยผมยังมัดเป็นก้อนกลมคล้ายซาลาเปาสองก้อนบนหัว ส่วนรองเท้าคู่เล็กน่ารักหลุดหายไปที่ใดมิอาจทราบ
สภาพเยี่ยงนั้น แม้เป็นเด็กไม่ประสา แต่ก็พอคิดออกว่าไม่น่าดูเลยแม้แต่นิดเดียว
แม่นางน้อยกล่าวด้วยเส้นเสียงสดใส
“บุญคุณย่อมทดแทน พี่เย่เสียไม่ต้องเกรงใจ”
แต่อีกฝ่ายยังคงส่ายหน้า “โง่เขลาเบาปัญญาอย่างเจ้า หากเขาไม่พึงใจเจ้าขึ้นมา มิต้องเอาชีวิตไปทิ้งหรือ?”
ลี่เซียนหัวเราะคิก “ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอกเจ้าค่ะ”
แน่งน้อยเอ่ยตามสัตย์ แม้ว่านางในยามนี้คือเหรินเซียน[4] แต่ประสบการณ์ชีวิตยังแค่เด็กแปดขวบที่เติบโตภายในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณ ซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงและแตกต่างจากสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก
ลี่เซียนจึงคิดแค่ว่าต้องปรับตัวให้มีชีวิตปกติได้เหมือนบรรดาพี่สาวเหล่านี้เท่านั้น เพียงทำตามตำราที่ได้อ่านเมื่อครู่
ช่างง่ายดาย...
เย่เสียไหนเลยจะเข้าใจลี่เซียน นางมุ่นคิ้วเอ่ยเสียงเครียด
“แต่ข้าได้ยินเรื่องราวของเขามาไม่น้อย รุ่ยอ๋องผู้นั้นประดุจยมทูตจากขุมนรกอเวจีเชียวนะ”
ประโยคชวนผวาและน้ำเสียงของเย่เสียที่สั่นเทาปานนั้น ทำให้ลี่เซียนแย้มยิ้มเอียงหน้ากะพริบตา ในใจคิดว่า การได้เจอยมทูตนับเป็นวาสนาแล้ว
ทว่า...คนผู้นั้นไม่ใช่ยมทูตแน่ๆ เขาเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่ง มิใช่ว่านางจะดูไม่ออกเสียหน่อย
และที่สำคัญ ความสามารถในการจดจำของนางไม่ด้อย เมื่อเช้ายามที่นางได้เห็นเขาพร้อมพี่เย่เสีย นางก็รู้ทันทีว่าเป็นเขา
บุรุษบนหลังอาชา...
เจ้าของทวนเหล็กไหลที่ช่วยปลดปล่อยนางออกมาจากกำไลหยกลายคราม
แม้มีหน้ากากอักขระสีดำบดบังกว่าครึ่ง ทว่ากลิ่นอายเฉพาะกายของเขามิอาจปิดบัง ปราณสังหารเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนั้น นางมิอาจลืม
เขาคือผู้มีพระคุณที่สุดของนาง
[1] 1 จั้ง เท่ากับ 3.3 เมตร
[2] 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร
[3] ม้วนผมสองด้านเป็นมวยกลมด้านละลูกแล้วปล่อยจอนมวยลงมาตามธรรมชาติ ไม่ปักปิ่นใดๆ
[4] เหรินเซียน (**) คือมนุษย์ที่มีพลังหยินหยางอย่างสมดุลจนมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่แก่ไม่ตาย แต่ยังมีความหิวกระหายและต้องการเครื่องนุ่งห่มอย่างมนุษย์ทั่วไป อาศัยอยู่ในมนุษย์ภูมิ