ชายแดนด่านเทียนเหมิน
รถม้าของสาวงามกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านหน้าค่ายทหารเทียนเหมินตั้งแต่รุ่งสาง เสียงล้อบดถนนดินดำแว่วดังไม่ขาดสาย
สาวงามนางหนึ่งในรถม้าคันท้ายขบวนสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งตรงพุ่มไม้ริมชายป่า จึงสั่งสารถีให้หยุดก่อน เมื่อม้าหยุดฝีเท้า นางจึงพาเรือนร่างอ้อนแอ้นลงมาเพื่อมองสิ่งนั้นใกล้ๆ
สิ่งที่นางเห็นคือดรุณีน้อยผู้หนึ่งกำลังนอนสลบไสลอยู่หลังพุ่มไม้ อายุราวสิบหกปี ดวงหน้าเรียวเล็กงดงามเป็นเอก รูปร่างสมส่วนดูดี มีผิวพรรณเนียนละเอียดสีขาวราวหยกพิสุทธิ์ ประหนึ่งสามารถสะท้อนแสงได้
อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นผ้าแบบโบราณสีขาวพิสุทธิ์ทั้งตัว รัดรึงแนบเนื้อ ปิดแค่เนินอกอวบตึง เผยหน้าท้องแบนราบ ช่วงเอวกลมกลึง กระโปรงสั้นคลุมแค่เข่าเผยเรียวขาเสลาขาวผ่อง ปลายเท้าเปลือยเปล่า
“พี่เย่เสีย นั่นคือสิ่งใด?”
เสียงแว่วหวานจากสาวงามนางหนึ่งบนรถม้าเอ่ยถามสตรีผู้ลงมาด้านล่างหลังพุ่มไม้
เย่เสียขมวดคิ้วหรี่ตาเพ่งพินิจการแต่งกายที่ล่อแหลม ใส่เหมือนมิได้ใส่ของแม่นางน้อยเนิ่นนาน พลางใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ปลายจมูกอีกฝ่ายเพื่อสำรวจลมหายใจ ก่อนตอบกลับด้วยสุ้มเสียงมั่นใจว่า
“เป็นสาวงามผู้หนึ่ง ดูจากการแต่งกาย ข้าคิดว่าคงเป็นคนของหอคณิกาอิงฮวาคู่แข่งของพวกเราปะไร”
หญิงสาวนิ่งคิดนัยน์ตาแวววาวแล้วกล่าวต่อด้วยสีหน้าคล้ายผู้ทรงภูมิหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง
“ได้ข่าวว่าดาวเด่นคนใหม่เขี่ยราชินีบุปผางามคนเก่าออกจากตารางงานหอ กระทั่งดาวเด่นผู้นั้นถูกนางคณิกาคนเก่ารุมริษยาอย่างรุนแรงจนถูกกลั่นแกล้งสารพัด ท้ายที่สุดถูกขับไล่ออกมาอย่างไร้เยื่อใย ต้องใช่แน่ๆ”
“โอว...” สาวงามนางหนึ่งยกมือกุมอกอุทานเสียงหวาน “เช่นนั้นพี่สาวรีบช่วยนางเถิด น่าสงสารเหลือเกิน”
ค่ายทหารชายแดนด่านเทียนเหมิน
เรือนพักแต่ละหลังยกโคมขึ้นสูง พื้นที่ราบฝั่งตะวันออกยังมีคบไฟส่องสว่างให้ทุกกระโจมที่ตั้งเรียงราย
ทหารหลายนายที่มิได้รับบาดเจ็บมากมายอันใดต่างพากันล้อมวงรอบกองไฟเพื่อร่ำสุรา ยังมีหลายคนที่หาความสำราญยามค่ำคืน
แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าความสำราญสำหรับชายชาญ ย่อมไม่พ้นอิสตรี
ค่ายหน้าด่านชายแดนเกือบทุกค่ายมักจะมีหญิงนางโลมประจำค่ายเสมอ เพราะพวกทหารที่เป็นบุรุษย่อมมีอารมณ์กำหนัดตามธรรมชาติยากระงับ
ยามออกศึกต้องห่างบ้านไกลภรรยา ทว่าความต้องการยังคงมีไม่ลดทอน หากไม่ปลดปล่อยออกเสียบ้างได้อึดอัดตายกันพอดี หรือหากไปยุ่งกับทหารหญิงซึ่งนับว่าผิดกฎมหันต์ เสี่ยงต่อโทษทัณฑ์ที่ไม่คุ้มค่าเช่นนั้น พวกเขาไม่เสี่ยงอยู่แล้ว
เช่นนี้ที่เรือนฝั่งประจิมของค่ายทหารจึงมีหญิงสาวถูกเรียกตัวจากหอคณิกาเลื่องชื่อมารอปรนนิบัติตั้งแต่สามวันที่แล้ว
ก่อนขบวนทหารจะเข้ามาพำนักเสียอีก
วันนี้ทุกนางจึงวุ่นวายกับการแต่งกายพรมน้ำมันหอมกันตั้งแต่สายัณห์ พลบค่ำยามอิ่วสี่เค่อ[1] พวกนางก็พร้อมถูกเรียกตัวกันทุกคนแล้ว
ทว่าหนึ่งในจำนวนแม่นางเหล่านั้นกลับมีดรุณีน้อยผู้หนึ่งกำลังยืนนิ่งๆ ด้วยท่าทีอึ้งงัน ทั้งสับสนคล้ายไม่เข้าใจในชีวิต
นางยืนกะพริบตาปริบๆ เอียงหน้าน้อยๆ งุนงงมาก
คณิกาผู้หนึ่งเห็นท่าทางทึ่มทื่อเยี่ยงนั้นพลันเดินเข้าหาพลางเหยียดริมฝีปากสีแดงชาดทำเสียงจิจ๊ะอย่างนึกขัดเคือง ก่อนเรียกนามเสียงดัง
“ลี่เซียน!”
เจ้าของนามมิได้สะดุ้งหรือตกใจอันใด เพียงมองผู้เรียกขานนิ่งๆ เห็นอีกฝ่ายยืนเท้าสะเอวขยับปากสีแดงจัดพร่ำบ่นอีกว่า
“เจ้านี่นะ สมองต้องทึบมากเป็นแน่ ถึงได้ถูกไล่ออกมาจากที่เก่า”
นางกล่าวด้วยสีหน้ายับย่นยุ่งยากใจ พลางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบตำราผสานหยินหยางออกมายื่นส่งให้
“เอาไปเลย ข้ายกให้เจ้า”
เจ้าของตำรามีนามว่าเย่เสีย สายตาที่มองตำราบ่งบอกว่าเสียดายเหลือเกิน แต่ยังคงตัดใจส่งให้อีกฝ่ายแล้ว
“หาซื้อยากมาก ข้ารักที่สุดด้วยนะเล่มนี้ เฮ้อ!”
ตำรานี้มีภาพวาดร่วมรักระหว่างชายหญิงและเคล็ดลับเอาใจบุรุษมากมายร้อยกระบวนท่า
ลี่เซียนรับเอาไว้ หาได้ปฏิเสธอันใดไม่
เย่เสียยังคงชี้แนะอย่างเคร่งเครียด “ข้าช่วยได้เท่านี้ล่ะ ท่าทางโง่เขลาเบาปัญหาเช่นเจ้า หากอยากอยู่รอดและมีชีวิตที่ดี จงทำตนเองให้เป็นที่โปรดปรานให้ได้ จำไว้”
กล่าวจบก็เดินกรีดกรายจากไป ทิ้งไว้เพียงแม่นางน้อยให้ยืนเบื้อใบ้เช่นเดิม
ผ่านไปชั่วครู่ ลี่เซียนจึงเปิดตำราทีละหน้า กวาดสายตามองแค่ปราดเดียวก็จำได้จนหมดทั้งเล่ม แจ่มกระจ่างทุกท่วงท่า ก่อนจะเก็บเข้าแขนเสื้ออย่างทะนุถนอมราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า
เพราะนางสังเกตได้ว่าสตรีนามเย่เสียให้ความสำคัญกับตำราเล่มนี้มาก ย่อมมีค่าควรเมืองแน่นอน
ยามนี้เด็กสาวได้ยินเสียงของทหารผู้หนึ่งเข้ามาสั่งการไม่กี่ประโยคก็จากไป เหล่าคณิกาจึงพากันมอบหมายงานว่าใครจักรับหน้าที่ไปปรนนิบัติบุรุษส่วนใดของค่ายทหาร
ได้ยินเย่เสียโวยวายอย่างไม่ยินยอมว่า “ไอ่หย๋า! จะให้ข้าเข้าไปปรนนิบัติท่านอ๋องหรือ?”
นางส่ายหน้าไปมา กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“เดิมทีข้าก็มั่นใจในเสน่ห์ของตนอยู่หรอก แต่เมื่อเช้า ข้าแอบเห็นท่านอ๋องแวบหนึ่ง เขาตัวโตสูงใหญ่ ใส่หน้ากากสีดำ ใบหน้าครึ่งซีกที่เผยให้เห็นเฉยชาดุดัน แววตามืดดำแฝงความอำมหิตโหดร้าย ท่าทางน่ากลัวมาก ข้ายังรู้ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากาก อัปลักษณ์น่าเกลียดด้วย โอ๊ย! ท่านแม่ ตีข้าทำไมเล่า?”
ผู้ถูกเรียกขานว่า ’ท่านแม่’ เป็นคนคุมหอและดูแลคณิกาทั้งหมด นางถลึงตาใส่เย่เสีย กล่าวตำหนิเสียงแหลม
“เจ้ากำลังหมิ่นเบื้องสูงอยู่นะรู้ตัวหรือไม่? หึ! อัปลักษณ์แล้วอย่างไร? ไยเจ้าขวัญเทียมฟ้านัก!”
เย่เสียเบ้ปาก ลูบเรียวแขนบริเวณที่ถูกตี บ่นอุบอิบ
“แต่รุ่ยอ๋องน่าสะพรึงจริงๆ นะ และปัญหามิใช่หน้าตาอัปลักษณ์แต่เป็นความอำมหิตโฉดชั่วเหมือนปีศาจต่างหาก ฉายาเลื่องลือของพระองค์คืออ๋องทมิฬฆ่าคนให้แดดิ้นเช่นผักปลา หากใครทำให้ไม่พึงใจขึ้นมา ฉับเดียวเท่านั้น เลือดสาดเลยนะ”
“ยังจะพูดมาก! ปากกล้าเช่นนี้ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
“โอ๊ย!”
เสียงโต้เถียงและทุบตีด่าทอนั้นทำเอานางคณิกาคนอื่นๆ หัวเราะคิก แล้วช่วยกันแย้งว่า
“ชายอัปลักษณ์แต่ร่ำรวยสูงศักดิ์ไม่ดีที่ใด?”
เย่เสียเถียงเสียงสูง “โอ้! แต่เขาโหดมากนะ”
ตามด้วยเสียงถูกตีแขนดังเพียะ
“โอ๊ย! ท่านแม่!”
[1] ยามอิ่วสี่เค่อ คือเวลา 18.00 น.