“เฮียว่าหยกสมยอมเฮียมากกว่า” เขาเดา เธอย่นจมูกใส่ทันที
“ตอนหยกสิบแปด เฮียสามสิบกว่าแล้วนะ เริ่มแก่แล้วล่ะ”
“แล้วตอนนั้นหยกมีแฟนแล้วเหรอ”
“มีผู้ชายมาจีบเยอะแยะ”
“อ้อ...” เขาร้องขึ้น ปรายตามองคนที่ลูบแผงอกของเขาไปมา
“ไม่อยากนอนใช่ไหม” เขาตะครุบมือของเธอเอาไว้ ลูบมากๆ เขามีอารมณ์
“หยกง่วงแล้วค่ะ” เธอซุกหน้าเข้าหา เขาช้อนใบหน้าขาวนวลของเธอขึ้น
“ไม่น่าเชื่อว่าจะง่วง ลูกกินนมแล้วเธอยังไม่ป้อนนมผัวเลยนะ ผัวก็หิวนมเป็นเหมือนกัน” เขารู้ว่าเธอกำลังยั่วเขา
“อยากกินก็หาทางเอาเองสิคะ” เธอช้อนสายตาขึ้นมอง จริตและลีลายั่วของเธอทำให้เขาพึงพอใจไม่น้อย
“คิดว่าเฮียจะไม่มีทางกินได้หรือไง” เขาเอ่ยถาม น้ำเสียงนั้นผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ”
“ผู้หญิงคลอดลูกนมบวมแบบนี้ทุกคนไหม”
“เฮียน่ะ”
“อะไร” เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม
“ชอบพูดตรงๆ”
“ไม่ชอบให้พูดตรงๆ เหรอ”
“เปล่าค่ะ พูดตรงเกิ๊น” เธอเสียงสูงใส่เขา
“เฮียควรช่วยดูดนมให้จะได้ไม่คัด จริงๆ ควรดูดกับลูกคนละเต้าน่าจะดี” เขาไล้เต้านมอวบอิ่มของคนเป็นเมีย
“จะแย่งนมลูกกินเหรอคะ” เอ่ยถามเขาด้วยเสียงที่เริ่มสั่นสะท้าน เขาเปิดเสื้อของเธอออก ค่อยๆ งับดูดปลายยอดถันซ้ายขวา ใช้ปลายลิ้นตวัดลามเลียและดูดรวบเน้นๆ เพื่อเค้นเอาสิ่งที่ต้องออกมา กลิ่นรสของน้ำนมจากทรวงอกของเธอไหลรินออกมาให้เขากลืนกินแบบไม่อั้น
“อื้อ... เฮีย” เธอร้องครางสอดมือเข้าในกลุ่มผมดกหนาของเขาด้วยความรัญจวน ลมหายใจของเธอเร่าร้อนรุนแรงขึ้นตามลำดับ
“คลอดหลายเดือนแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาแล้วนะ” เขาลูบไล้สะโพกผายของเธอไปมา สอดแทรกร่างกายแข็งแกร่งเข้ากลางลำตัวของเธอ รั้งชุดนอนของเธอขึ้นไปเหนืออกบดเบียดความเป็นชายที่แข็งคึกเข้าเสียดสีกับร่องสวาทอันฉ่ำเยิ้ม
“พร้อมไหม” เขาใช้นิ้วเขี่ยติ่งสวาทกลางกายสาว ได้ยินเสียงครางกระเส่าของเธอยามที่หยาดน้ำหวานไหลรินท่วมนิ้วแกร่ง
“เฮีย อื้อ...” เธอร้องครางเมื่อกลีบบุปผาได้เผยอแย้มออกต้อนรับการกดคลึงของแก่นชายที่บุกรุกเข้ามาเกินกว่าครึ่ง เขาช้อนสะโพกของเธอให้รองรับการสอดประสานอย่างดุดัน
พิมพ์รดาหยัดสะโพกขึ้นไปรับการรุกเร้าที่แสนรัญจวน มือน้อยของเธอจับไหล่ของเขาเอาไว้แน่น ริมฝีปากอวบอิ่มร้องครางไม่เป็นส่ำยามที่เขากดคลึงมาหาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงหอบกระเส่าของเธอดังระงมประสานกับเสียงเนื้อกายที่สอดแทรกเข้าหากันอย่างดุดัน
เธออ้าปากค้างยามที่ร่างกายของเธอถึงจุดสุดยอดอย่างรุนแรงภายใต้ร่างใหญ่ที่บดบี้เข้าหาจนล้ำล้ำลึกมิดเม้น รสชาติกามารมณ์ที่ได้เสพสังวาสทำเอาทั้งสองครางประสานกันลั่นเตียง
“เล่าเรื่องตอนจีบกันใหม่ๆ ให้ฟังหน่อยสิ” สุริยันต์พูดขึ้นหลังจากผ่านพ้นบทรักไปแล้ว เขาดึงเธอมากอดหอม รั้งให้เธออยู่ในอ้อมแขนแกร่ง
“อยากรู้ไปทำไมคะ”
“ก็เผื่อจะจำอะไรได้ขึ้นมาบ้าง”
“ได้สิคะ จะเล่าตั้งแต่เฮียยังเด็กเลย เผื่อเฮียจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลยค่ะ และเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด” พิมพ์รดาพูดยิ้มๆ
“เดี๋ยวนะ พูดแปลกๆ เหมือนที่เล่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องจริง”
“เรื่องจริงค่ะ แต่ไม่ทั้งหมด หยกกลัวเฮียวู่วามไปแก้แค้น” เธอถอนใจพรืดใหญ่
“ฉันมีความแค้นกับคนอื่นมากหรือไง”
“ก็มากนะคะ อาจเพราะงานที่เฮียทำ”
“งานที่ฉันทำอย่างนั้นเหรอ หาปลาจับปลานี่นะ”
“ก็มีงานอื่นด้วยค่ะ” เธอถอนใจอีกรอบ บางทีการพูดความจริงอาจจะดีกว่า ถ้าเกิดเขาจำอะไรขึ้นมาได้อาจจะโกรธเธอน้อยลง อีกอย่างการพูดโกหกก็จะทำให้เราต้องโกหกไม่มีที่สิ้นสุด ต้องแต่งเรื่องไปเรื่อยๆ พูดความจริงเสียก็สิ้นเรื่อง
“เธอกับฉันรู้จักกันตั้งแต่เด็กเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ” เธอซุกหน้าเข้าหาอกกว้างของเขา ก่อนจะเริ่มเล่าช้าๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ ภาพในอดีตผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง
หลายปีก่อน... ต่อจากนี้ไปคือเรื่องราวในอดีตตั้งแต่สุริยันต์ยังเด็กๆ
“อยู่ในนี้อย่าออกไปนะลูก” น้ำเสียงของมารดาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ระคนห่วงใย ทั้งตื่นตระหนกทั้งกังวล นรินทร์ลดาดันลูกชายเข้าไปในตู้เก็บของเก่าๆ ทางด้านหลังของตัวบ้าน
“แม่ครับ” เด็กชายสุริยันต์วัยสิบขวบเอ่ยเรียกมารดาเอาไว้อย่างขวัญเสีย
“ห้ามออกมานะลูก จำเอาไว้ว่าห้ามให้ใครเห็นว่าเด็ดขาด แม่รักลูกนะคนดี แม่รักลูกที่สุด” นรินทร์ลดากอดรัดลูกชายแนบอก น้ำตาปริ่มไหลเต็มสองข้างแก้มนวล รู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะไม่ได้เจอกับลูกชายอีกแล้ว เพราะไม่รู้จะเอาชีวิตรอดได้ไหม เธอจึงอยากที่จะกอดลูกเอาไว้แบบนี้นานๆ
“ผมก็รักแม่นะครับ” สุริยันต์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าประโยคนั้นจะเป็นประโยคบอกรักมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไป
“พ่อกับแม่รักลูกนะยันต์ ห้ามส่งเสียงนะลูก อย่าให้ใครรู้ว่าลูกยังอยู่เด็ดขาด” นรินทร์ลดาจัดการล็อกกุญแจเอาไว้อย่างแน่นหนา เสียงปืนที่ดังอยู่ด้านนอกทำให้สุริยันต์ว้าวุ่นใจเป็นอันมาก เด็กน้อยเอามืออุดหูก่อนจะส่ายหน้าไปมาร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่กลัวใครจะได้ยินเข้าเด็กน้อยจึงยกมือขึ้นกัดเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ตามที่มารดาได้สั่งครามเอาไว้
เด็กน้อยเริ่มหวาดกลัวและห่วงใยมารดาในเวลาเดียวกัน จึงเริ่มดิ้นรนพยายามจะออกมาหามารดา จำภาพที่บิดาโดนยิงตายตั้งแต่อยู่หน้าบ้านได้ติดตา และตอนนี้มารดาของเขากำลังโดนย่ำยีจากฝีมือเพื่อนรักของบิดา พวกมันรุมกันข่มขืนมารดาของเขาจนขาดใจตาย
สุริยันต์ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ เขาไม่สามารถออกมาช่วยท่านได้เลย ปากของเด็กชายกัดเข้าหากันจนห้อเลือด ใจอยากออกไปช่วย แต่ภาพที่เห็นจากช่องประตูของตู้เก่าๆ ที่มารดาซ่อนตัวเขาเอาไว้ ทำให้สุริยันต์ขาแข็ง ไม่กล้าออกไป ความคับแค้นใจที่ได้รับทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนอกจะแตกตาย ความคั่งแค้นครั้งนี้เขาจะไม่มีวันลืม เขาจะต้องทำให้ไอ้สรพงศ์และลูกน้องชั่วๆ ของมันตายตกไปตามกัน
“เฮ้ย! จัดการมันให้สิ้นซาก อย่าให้เหลือ หาตัวลูกของมันให้เจอด้วย” เสียงที่ดังอยู่ด้านนอกและเสียงคนเดินไปเดินมา ทำให้สุริยันต์ยกมือขึ้นมากัดไม่ให้ตัวเองร้องออกมา เขากำลังหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจ
“ไม่มีครับเสี่ย” เสียงด้านนอกเอ่ยรายงานขึ้น สุริยันต์จำน้ำเสียงของมันได้ สรพงศ์หรือเสี่ยพงศ์คือเพื่อนบิดาที่ไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด เขาเห็นแค่ขาของมัน แต่เขาจำเสียงของมันได้ดี
“แค่เด็กคนเดียว มึงหาไมเจอเหรอวะไอ้หน้าโง่” สรพงศ์ตวาดลูกน้องดังลั่น เขาไม่ควรปล่อยให้ใครหนีรอดไปได้ ต้องตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก
สุริยันต์จำน้ำเสียงของมันได้ มันคือคนที่ฆ่าล้างครอบครัวของเขา ให้เขาตายเป็นผีเขาก็จะแก้แค้นมันให้สาสม เสียงฝีเท้าที่เดินวุ่นอยู่ข้างนอก ค่อยๆ จางหายไปพร้อมเสียงรถที่แล่นออกไปด้วยความเร็วสูง เหมือนกับว่าพวกมันรีบร้อน
สุริยันต์กระแทกตัวเพื่อจะออกมาจากตู้แต่เขาก็หมดแรงเผลอหลับไปในตู้แห่งนั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก
“พี่พล พี่พล พี่ลดา!” เสียงคุ้นเคยคืออาของเขา นั่นคือเสียงของเกื้อและนุชนารถ
“อาเกื้อ อาเกื้อ ผมอยู่นี่ ผมอยู่นี่” สุริยันต์ใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระแทกตู้ เสียงนั้นทำให้เกื้อกับนุชนารถเผยยิ้มออกมา รีบไปหาไม้มางัดตู้ที่คล้องกุญแจเอาไว้
“ยันต์” เสียงของเกื้อทำให้สุริยันต์ถลาออกมาหา เกื้อกับนุชนารถกอดร่างหลานชายเอาไว้แน่น ร่างเด็กน้อยสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ในปากเต็มไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรังไปแล้ว
“ปลอดภัยแล้วนะลูก” นุชนารถเอ่ยปลอบหลานชายตัวน้อย