11

1549 Words
“บอกให้รอก็รอ อย่าให้ห่วงหน้าพะวงหลัง” น้ำเสียงเข้มดุของเสริมศักดิ์ทำให้สุริยันต์ต้องทำตาม หลังจากนั้นไม่นานสุริยันต์ก็ได้ยินเสียงเตะต่อยและเสียงปืน เขาลอบมองออกไปก็เห็นว่าเสริมศักดิ์กำลังหักข้อมือของไอ้โม่งที่บุกเข้ามา เสียงหักข้อมือดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้อง วิชามวยของเสริมศักดิ์มันแปลกมาก เขาไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน พลิ้วไหวเหมือนสายลม พอได้จัดหวะก็หักข้อมือ เท้าของเสริมศักดิ์ขยับพลิ้วเหมือนร่างกายของท่านไร้น้ำหนัก มันเป็นวิชามวยที่ไม่ใช่การเตะต่อยทั่วไปที่เน้นความหนักของหมัดหรือเท้าแบบจู่โจมแรงๆ เสียงหักข้อมือดังขึ้นติดต่อกันตามที่เสริมศักดิ์ขยับเข้าไปต่อสู้กับคนพวกนั้น พวกมันร่วงหล่นพื้นเป็นแถวอย่างหมดสภาพ ปืนในมือตกลงพื้น เขาอยากเข้าไปช่วยแต่ต้องชะงักเท้า เสริมศักดิ์ไม่ชอบให้ขัดคำสั่ง พูดคำไหนคำนั้นถ้าเขาออกไปต้องโดนทำโทษอย่างหนัก เสริมศักดิ์เดินพลิ้วๆ ผ่านคนพวกนั้นไป พร้อมกับกระสุนปืนที่ยิงสนั่นไปรอบกายแต่ไม่โดนว่าที่อาจารย์ของเขาเลยสักนิด พวกมันร้องด้วยความเจ็บก่อนจะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกไป “โคตรเก่ง หักข้อมือมันยังไงครับ ไม่เห็นใช้แรงอะไรเลย” อาจารย์ของเขาพลิ้วกายไปตามลมหักข้อมือมันเหมือนไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ “พวกมันคงอยากมาก่อกวน หรือไม่ก็ตามเธอมา” เสริมศักดิ์ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อตามใบหน้า สุริยันต์มองอย่างทึ่งๆ ดูเหมือนท่านจะไม่ได้ออกแรงอะไรเลย แต่กลับเหงื่อโซมไปทั้งกาย “รู้ได้ยังไงครับ” “ฉันได้ยินมันพูด เธอมีศัตรูตั้งแต่เด็กเหรอ” “มีครับ มันเป็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ผมตาย” “เลยมาเรียนมวยกับฉันเพราะอยากแก้แค้นเหรอ” “ครับ ผมยอมรับว่าแค้นมาก แต่อาเกื้อบอกว่าต้องอดทน” “เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ถ้าไม่ถูกจังหวะและเวลางานทุกอย่างจะเสียหายไปหมด” “ผมอยากฆ่ามันตอนนี้เลย” “แก้แค้นสิบปียังไม่สาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความสุขของชีวิต แก้แค้นไปบางทีก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นหรอกนะ” “ไม่ครับ สำหรับผมถ้าได้แก้แค้นไอ้คนที่มันฆ่าพ่อแม่ของผม ผมจะดีใจมากๆ ที่ได้ล้างแค้น ผมจะเอาเลือดมันไปเซ่นหลุมฝังศพพ่อแม่ผม” “มันคงต้องมาอีกแน่ มันรู้ว่าเธออยู่ที่นี่” “ผมขอโทษครับ” “ขอโทษฉันทำไม” “ผมทำให้เดือดร้อน” “เรื่องอะไร” “มันมาก็ต้องออกไปสู้กับมัน” “ได้ออกกำลังกาย สนุกจะตายไป” “สนุกเหรอครับ” “วันนี้ต้องยืนสมาธิให้ได้สามชั่วโมง” “ยืนสมาธิเหรอครับ” “ใช่ ยืนสมาธิหิ้วถังน้ำด้วย หลับตาฟังเสียงรอบกายของเธอ ฉันอยากรู้ว่าเธอแยกแยะเสียงได้ดีแค่ไหนแล้ว” “ครับ” บททดสอบใหม่ๆ ของอาจารย์ทำให้สุริยันต์กระตือรือร้นเป็นที่สุด เขาต้องยืนหิ้วน้ำโดยยกแขนขึ้น ยืนไปสักพักแขนเริ่มสั่นเพราะเมื่อย ใบศีรษะก็มีถังน้ำวางอยู่ “เธอนี่อดทนดี เคยมีคนมาสมัครเป็นลูกศิษย์ฉันหลายคน พอเริ่มฝึกก็หนีหายไปหมด” เสริมศักดิ์ที่นั่งจิบน้ำชาอยู่เอ่ยชม นานๆ จะถูกชมสักที สุริยันต์ลืมตาอย่างดีใจ เพียงแค่เขาขยับน้ำที่วางอยู่บนศีรษะก็หกลงมาโดนตัว “ไม่น่าชมเลย มีสมาธิหน่อยสิ” เสียงดุๆ ดังขึ้น สุริยันต์รีบยืนนิ่ง เขารู้สึกว่าแขนสั่น ยิ่งน้ำหกใส่ตัวยิ่งรู้สึกเย็นยะเยือกไปหมด เพราะว่าสายลมกำลังพัดมากระทบกาย ฟันของเขาเริ่มกระทบกัน “เธอจะหยุดก็ได้นะ” เสริมศักดิ์พูดขึ้น สุริยันต์ลืมตามีสีหน้าดีใจ แต่ความดีใจของเขาทำให้ร่างขยับ น้ำในถังหกอีกครั้ง “แต่ถ้าเธอหยุดก็เก็บของกลับบ้านไปเลย” สุริยันต์กัดฟันกรอดไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ แม้ว่ามือของเขาจะสั่นเพียงใดก็ตาม “พรุ่งนี้เธอจะปวดไปหมดทั้งแขน พอแล้วครบสามชั่วโมงแล้ว” พอสิ้นประโยคนั้น สุริยันต์ก็วางถังน้ำลงอย่างอ่อนแรง เขาหอบหายใจอย่างรุนแรงเหงื่อโซมไปทั่วร่าง วันรุ่งขึ้นเขาได้ยืนสมาธิยกน้ำอีกครั้ง แต่รอบนี้ต้องหลับตา หนังสติ๊กที่บรรจุกระสุนยิงเข้าหา เขาต้องจับเสียงให้ได้และหลบ แรกๆ นั้นไม่มีสมาธิเอาเสียเลย โดนลูกกระสุนทำเอาเจ็บจนสะดุ้ง หลังๆ เขาจับเสียงลอยของมันได้ ก็เลยหลบทัน “หูสำคัญ ต้องฟังให้ดีว่ารอบกายเราเกิดอะไรขึ้นบ้าง การที่จะตั้งใจฟังอะไรให้ดีสมาธิต้องสำคัญ” คำสอนอของ         เสริมศักดิ์ ทำให้เขาจดจำได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ถูกฝึกเชื่อมโยงสัมพันธ์กันหมด “พรุ่งนี้ขึ้นเขาอีกลูกหนึ่ง และต้องกลับลงมาให้ได้ภายในหนึ่งวันหรือยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันจะรับเธอเป็นศิษย์” เป็นประโยคที่เขารอคอยมานานหลายเดือน แต่คิดว่าอาจารย์ต้องไม่ให้เขาเดินขึ้นเขาง่ายๆ แน่ แล้วสุริยันต์ก็ต้องฟันฝ่าฐานต่างๆ ที่อาจารย์ดักซุ่มพิสูจน์ฝีมือและต้องเอาตัวรอดให้ได้ ประสาทหูและสมาธิสำคัญสำหรับเขามาก สุริยันต์หลบกับดักที่ลอยหวืดมาทางด้านหลัง เขาหมอบลงและใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นไม้ไผ่แหลมๆ ลอยผ่านไป ไม้ไผ่ที่เขาถูกสั่งให้นั่งเหลาทุกวัน กลายเป็นอาวุธที่จะปลิดชีวิตของเขาเสียแล้ว กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามมาก่อกวนหายไป และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครกล้ามาทำอะไรอีก เหงื่อของเด็กชายซึมไปทั่วร่าง ค่อยๆ ลุกขึ้น หันไปมองรอบกายอย่างระแวดระวัง เสียงอะไรสักอย่างกำลังมาทางนี้ เขานอนลง แนบหูไปกับพื้นดินอีกครั้ง และเงยหน้าขึ้นเพราะมันมาจากด้านบน หินก้อนใหญ่กำลังกลิ้งมาทางเขา เด็กชายกลิ้งหลบอย่างรวดเร็ว เขาหายใจหอบสะท้อน ใจหายใจคว่ำอีกรอบ ถ้าโดนหินก้อนนั้นกลิ้งมากระแทกเข้ากับร่างคงกระอักเลือดตาย เพราะหินก้อนใหญ่มาก สุริยันต์แนบหูไปกับพื้นดินอีกครั้ง เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยจึงรีบวิ่งขึ้นเขา เขาต้องหาของสิ่งหนึ่งที่เสริมศักดิ์ต้องการให้ได้ “มันคือตะกรุดลงยันต์เป็นของที่ฉันจะให้ลูกศิษย์ทุกรุ่นติดตัวเอาไว้ เธอหามันให้เจอ มันอยู่บนยอดเขาโน่นแหละ เอามันลงมาให้ฉันในวันรุ่งพรุ่งนี้ ถ้าไม่ได้เธอก็กลับบ้านไปซะ ฉันจะไม่รับเธอเป็นศิษย์ ที่สำคัญอีกอย่าง ถ้าเธอเอาตัวรอดลงมาจากเขาไม่ได้ ก็อย่าโทษฉันก็แล้วกัน” สุริยันต์ชะงักเท้ามองไม้ที่กากบาทอยู่ตรงทางด้านหน้า แสดงว่าทางนี้ไปไม่ได้ เขามองไปอีกด้าน งูตัวใหญ่กำลังแผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้า ตัวของมันดำมะเมื่อม เด็กชายสะดุ้งกระโดดถอยหลัง หนีออกมาก่อนจะตั้งสติ วิธีการจับงูคือสิ่งที่เสริมศักดิ์สอนเขาเช่นกัน “ใจเย็นๆ” สุริยันต์ปลอบใจตัวเอง ขยับเข้าหามันอย่างเชื่องช้า มันทำท่าจะฉกเขาก็หนี หนีและถอยเพื่อรอจังหวะ มันคลานหนีเขาก็ดึงหางมันเอาไว้ ทางที่เขาจะต้องเดินไปด้านหน้าคือหุบเหวที่มีเชือกเส้นเดียวถูกขึงเอาไว้ เขาจะต้องไต่เชือกเส้นนี้ข้ามไปอีกฝากหนึ่ง เพราะกากบาทมีส่วนปลายด้านหนึ่งเป็นลูกศรชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม “มึงเสร็จกู” สุริยันต์คิดในใจ รวบเข้าที่คอของมันทันควัน มันแลบลิ้นออกมา เขามองสบตามัน แล้วมันก็สงบลง “ฉันไม่ฆ่าแกหรอก แกไปเถอะ” เขาโยนมันไปอีกด้าน มันหัวหดรีบคลานหนีไป เขามองเชือกเส้นใหญ่ที่ขึงไปอีกด้าน แล้วส่ายหน้าไปมา เสริมศักดิ์ทำยังไงนะ เขานึกอยากรู้ว่าอาจารย์ของเขาขึงเชือกพวกนี้ยังไง ถามว่ากลัวความสูงไหม เขาชินกับมันเสียแล้ว เรียกว่าตอนนี้เขาไม่กลัวอะไรอีกต่อไป สุริยันต์ค่อยๆ ไต่ไปตามเชือกเส้นนั้นอย่างใจเย็น เขามองลงไปด้านล่าง รู้สึกเสียววาบไปหมดทั้งช่องท้อง ถ้าตกลงไปในหุบเหวนั้นเขาคงไม่รอด เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองไปด้านหน้า สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ก้มลงไปมองอีก ขาเขามันสั่นแต่มือต้องมั่น คำสอนของเสริมศักดิ์คือขึ้นต้นไม้ให้เชื่อมือ ปีนป่ายอะไรก็ให้เชื่อมือ เขาตระหนักว่าทำไมเสริมศักดิ์ถึงให้เขาออกกำลังกายแขนเป็นประจำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD