เสริมศักดิ์เดินตรงไปยังลำธารเพื่อตักน้ำมาใส่โอ่ง มีโอ่งหลายใบวางทิ้งเอาไว้เป็นแถวรอบค่ายมวย ด้วยความที่อยากได้เสริมศักดิ์เป็นอาจารย์ สุริยันต์จึงรีบเข้าไปช่วยตักน้ำมาใส่โอ่งให้เพื่อเอาใจ เสริมศักดิ์ไม่ได้พูดอะไร แต่คนช่างสังเกตมองอย่างไม่วางตา ทุกครั้งที่ยกน้ำกล้ามแขนของอาจารย์จะขึ้นมาให้เห็น บ่งบอกได้ถึงความแข็งแรงเป็นที่สุด สวนทางกับอายุของท่าน
สุริยันต์ทอดสายตามองว่าที่อาจารย์ของตัวเองดีๆ อีกครั้ง ก็ค้นพบอะไรบางอย่าง ท่านมีอายุแล้วก็จริงแต่ยังแข็งแรง ร่างกายไม่มีไขมันส่วนเกินอ้วนแผละเหมือนคนวัยเดียวกัน อาจารย์ของเขาเป็นคนสุขุมลุ่มลึกและยากจะคาดเดาความคิด
เด็กชายเห็นอาจารย์ทำอะไรเขาก็ทำด้วย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกวันอาจารย์ต้องขนน้ำมาใส่ตุ่ม แต่การทำแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าแขนขาแข็งแรงขึ้น
“เดินแบบนั้นเมื่อไหร่จะเต็ม วิ่งเร็วๆ สิ” เสียงเร่งเร้าทำให้สุริยันต์ต้องหิ้วน้ำด้วยมือสองข้างมาใส่ตุ่มเร็วๆ โดยการวิ่ง แต่นั่นยิ่งทำให้น้ำหกเพราะแรงวิ่ง
“มือไม่นิ่งแบบนั้นน้ำก็หกหมด ขนน้ำจนเย็นก็ไม่เต็มตุ่มหรอก” เสริมศักดิ์ส่ายหน้าไปมา สุริยันต์มองอาจารย์ของเขาวิ่งเร็วๆ ยกน้ำไปใส่ตุ่มโดยที่มือถือถังน้ำเอาไว้แต่น้ำกลับไม่หกเลยสักหยด มันน่าแปลกจริงๆ ทำได้ยังไงเขาทั้งทึ่งทั้งอยากทำแบบนั้นให้ได้บ้าง
ด้านหลังค่ายมวยมีลำธารเอาไว้ตักน้ำ น้ำที่เขาสงสัยว่าอาจารย์เอามาทำอะไรนั้นจริงๆ ท่านนำมารดต้นไม้ ดูท่าว่าท่านจะชอบต้นไม้
“อาจารย์ชอบปลูกต้นไม้เหรอครับ”
“ฉันยังไม่รับเธอเป็นศิษย์”
“ขอโทษครับ” สุริยันต์กล่าวขอโทษจากใจ โดยไร้อคติ เสริมศักดิ์เป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น ถ้ายังไม่รับเป็นศิษย์ห้ามเรียกว่าอาจารย์
“ต้นไม้พวกนี้ก็มีชีวิตนะ ลองคุยกับมันสิ”
“คุยได้เหรอครับ”
“ก็ลองคุยดูสิ” สุริยันต์มองเหมือนไม่เข้าใจ
“เมื่อไหร่ลุงจะสอนมวยให้ผมครับ” เขาอาศัยอยู่ที่นี่นานนับเดือน วันๆ ก็โดนใช้ให้ขนน้ำจากลำธารมาใส่ตุ่มที่อยู่รอบค่ายมวย กว่าจะเต็มก็เย็นย่ำ ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด
“ไปงัดข้อกันไหม”
“ครับ?” เขาทำหน้างง ทำไมต้องงัด เด็กกับผู้ใหญ่งัดข้อยังไงก็ต้องแพ้ผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่เด็กชายก็เดินตามไปเงียบๆ
“งัดข้อกับมือนั่นสิ” มือนั่นของอาจารย์คือแขนที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะตัวหนึ่งเป็นมือนิ่มๆ เหมือนแขนคนจริงๆ สุริยันต์ดันมันเล่นก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ แขนที่เด้งไปเด้งมาเหมือนตุ๊กตานุ่มนิ่มกลับกดมือของเขาคล้ำลงบนโต๊ะเต็มแรง
สุริยันต์ดึงมือหนีสะบัดมือไปมา เสริมศักดิ์หัวเราะเบาๆ ทำเอาเด็กชายหน้าบึ้งเล็กน้อย
“จะให้ผมงัดกับมือปลอมนี่เหรอ” เหมือนมันคือของเล่นแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“ใช่ ทุกเช้าจะต้องวิ่งขึ้นลง ตักน้ำให้เต็มตุ่ม แต่รอบนี้ต้องใช้ถังใบโน้น” เสริมศักดิ์ชี้ไปยังถังใบใหญ่ทำเอาสุริยันต์ทำสีหน้าตกใจ แค่ถังใบเล็กๆ เขายังแทบไม่ไหว
“กระโดดเชือกอีกวันละหนึ่งพันครั้ง เอาแค่นี้ก่อน”
“ผมอยากต่อยมวยแล้ว”
“อ้อ.. คงน้อยไป งั้นต่อยกระสอบทรายอีกวันละสามร้อยหมัด”
“ได้ครับ” พอบอกว่าต่อยกระสอบทรายสุริยันต์ก็อมยิ้มทันที เสริมศักดิ์ไม่ได้พูดอะไร เขาสังเกตเด็กชายเงียบๆ สุริยันต์รีบตื่นเช้ามาขนน้ำใส่ตุ่มจนเต็ม กระโดดเชือกและต่อยกระสอบทราย เขามีห้องนอนเป็นของตัวเองและกินอาหารที่เสริมศักดิ์ทำให้ทุกวัน จะเรียกว่าเสริมศักดิ์อาจารย์ก็ยังไม่เต็มปากเต็มคำนักเพราะท่านเคยพูดว่าต้องไหว้ครูรับเป็นศิษย์ก่อน ในช่วงนี้อยู่ในระยะทดสอบ
เกื้อให้เขาหยุดเรียนหนึ่งปีเพื่อมาซ้อมมวยและค่อยกลับไปเรียนต่อ อาจจะเรียนจบมัธยมต้นและเรียนต่อแบบรวบรัดให้จบมัธยมปลาย ก่อนจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งยังไม่แน่เพราะหลังจากเรียนมวยและศิลปะการป้องกันตัวจบในปีนี้ก็ค่อยว่ากันอีกที
ผู้เป็นอาอยากให้เขาสืบทอดกิจการของท่านและดูแลน้องชายอย่างแดนตะวัน ซึ่งเขายินดีและเต็มใจเพราะท่านมีบุญคุณกับเขามาก นำเขามาชุบเลี้ยงไม่ทิ้งขว้างเหมือนญาติคนอื่น
สุริยันต์ต่อยกระสอบทรายไม่ทันไรเขาก็หมดแรง เสริมศักดิ์เดินมาดูก่อนจะพูดขึ้น
“รู้หรือยังว่าทำไมถึงให้แบกถังน้ำทุกวัน”
“เข้าใจแล้วครับ”
“เวลาทำอะไรอย่าลัดคิว แขนไม่มีแรงจะไปต่อยใครได้ แค่โบกไปตามอากาศก็โดนศัตรูต่อยร่วง” ประโยคนั้นทำให้วันต่อมาสุริยันต์หิ้วน้ำถังใหญ่ขึ้นมาจากลำธารโดยยกแขนไปด้วย เหมือนยกน้ำหนัก ยกแขนให้มีกล้ามและมีความแข็งแรง เขากระโดดเชือกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ และวิ่งเร็วขึ้นขณะหิ้วน้ำมาใส่ตุ่ม ร่างกายของเด็กชายแข็งแรง แขนขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงาม ในขณะที่เขาเริ่มเตะต่อยกระสอบทรายได้จำนวนครั้งที่เสริมศักดิ์กำหนดได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“การวิ่งขึ้นเขา ทำให้แขนขาแข็งแรง จะเรียนมวยต้องแขนขาแข็งแรง เพราะเวลาโดนศัตรูเตะต่อยกลับมาจะไม่รู้สึกอะไร แขนขาและทุกส่วนในร่างกายจึงต้องแข็งแรงไร้ไขมันส่วนเกิน” เสริมศักดิ์สอนเด็กชาย
“ครับ” สุริยันต์ไม่ดื้อเขาตั้งใจทำตามที่เสริมศักดิ์สั่งทุกอย่าง
“จะเป็นมวยต้องแข็งแรงก่อน อย่ากาจตก อย่าอ่อนแรงไม่งั้นจะโดนคู่ต่อสู้สอยร่วง” ประโยคของเสริมศักดิ์ซึมเข้าไปในสมองของสุริยันต์อยู่ทุกวัน
“ก่อนนอนให้เพิ่มการนั่งสมาธิจากหนึ่งชั่วโมงเป็นสองชั่วโมงด้วย” นอกจากการฝึกฝนอย่างหนักแล้ว เสริมศักดิ์ยังให้เด็กชายนั่งสมาธิก่อนนอนทุกวัน
“ครับ” สุริยันต์รับคำ
“ไม่ถามเหรอว่าทำไม” เสริมศักดิ์เลิกคิ้วขึ้นถาม แค่เห็นสีหน้าแววตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัย
“ทำไมครับ” ถ้าเจอคำถามนี้แสดงว่าถามได้
“สมาธิสำคัญมากนะ จะทำให้เรามีสติเวลาคิดจะทำอะไร แม้แต่กำลังต่อสู้กับศัตรู เรามองหน้ามัน มองตามัน มองท่าทีของมัน ไม่วู่วามก็จะรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ กำลังจะทำอะไรต่อไป” เสริมศักดิ์เคาะที่หัวของตัวเอง
“สมาธิทำให้เราคิดอ่านอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง” เสริมศักดิ์ค่อยๆ สอน
“ครับ” สุริยันต์รับคำ
“เดือนหน้าจะให้เพิ่มเป็นสามชั่วโมง และเดินจงกรมทุกวัน”
“ทำไมต้องเดินจงกรมครับ”
“เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง” คำตอบสั้นๆ ของเสริมศักดิ์ทำให้สุริยันต์ไม่คิดจะถามอะไรอีก
“ความอดทนได้จากการเดินจงกรม” เสริมศักดิ์บอกเด็กชาย และเป็นเช่นนั้นจริงๆ สุริยันต์ยอมรับว่าหงุดหงิดที่ต้องเดินจงกรม มันเชื่องช้าจนน่ารำคาญ แต่เสริมศักดิ์กลับบอกเขาว่า การเดินจงกรมนั้นมันมีประโยชน์มหันต์ นอกจากฝึกความอดทนมากขึ้นในการที่จะทำอะไรต่างๆ ในชีวิตแล้ว ทำให้เดินได้ไกลและไม่เหนื่อยง่ายอีกด้วย เพราะเสริมศักดิ์ให้เขาเดินขึ้นเขาทุกวัน ตอนที่เดินขึ้นเขาก็ให้เขาจดจำเส้นทาง แรกๆ เขาหลงทางหาทางออกจากป่าไม่ได้ หลังๆ ก็หาทางกลับเองได้
“ร่างกายสำคัญ ที่ฉันให้เธอทำเพราะเป็นสิ่งที่ดี ทำให้สุขภาพแข็งแรง โรคภัยไม่เบียดเบียน ช่วยให้อาหารย่อยง่าย ระบบต่างๆ ในร่างกายของคนเรามันต้องทำงานประสานกัน”
สุริยันต์เห็นจริงตามนั้น สมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรมทำให้เขานั่งสมาธิแล้วจิตสงบเร็วขึ้น
เสริมศักดิ์ให้สุริยันต์ช่างสังเกต เดินเข้าป่าขึ้นเขาแล้วจดจำเส้นทางกลับ จดจำสิ่งรอบกาย มีหลายครั้งที่สุริยันต์หลงป่าต้องเอาตัวรอดในป่าให้ได้ หลังๆ เขาเลยเริ่มทำเครื่องหมายเอาไว้ ทำให้ไม่หลงป่าอีก
“รู้ไหมทำไมฉันถึงให้เธอหัดเดินป่า”
“คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ตอนเราหลงป่า เพราะเราต้องใช้ชีวิตอยู่ให้ได้” สุริยันต์ตอบตามที่คิด
“รู้ก็ดีแล้ว หัดช่างสังเกตรอบข้างให้ดี ถ้าสู้ไม่ไหวก็หลีก” เทียนตรงหน้าดับลง ในขณะที่คนสองวัยนั่งคุยกันอยู่ เสริมศักดิ์ยกมือขึ้นจุ๊ปากเบาๆ เพราะไฟดับก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมงได้แล้ว
“ทำไมครับ”
“มีคนมา รออยู่ตรงนี้”
“ผมอยากตามไปดูด้วย”