ผมพยุงเขาขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของบ้าน ตอนแรกว่าจะทิ้งไว้ที่ห้องรับแขกนั่นแหละ แต่เขาก็ล็อกเอวผมแน่นไม่ยอมปล่อย
ตุ้บ
“อุ้ก”
ผมจงใจทิ้งตัวเขาลงบนเตียงแรง ๆ ใจจริงอยากใช้เท้าถีบเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ใจนัก คิดว่าจะข่มเหงผมไปได้ตลอดเหรอ คอยดูเถอะ!
“มองไร? กล่องยาอยู่ตรงนู้น”
“?”
“ยังจะยืนเฉย ๆ อีก”
อ๊ะ ไอ้นี่แม่ง! แบกมาก็แล้ว ต้องทายาให้อีกเหรอ
ผมเดินกระทืบเท้าปึงปังไปทางหน้ากระจกที่มีกล่องปฐมพยาบาลเปิดฝาไว้เหมือนเจ้าตัวใช้เป็นประจำ หยิบกล่องแล้วเดินกลับมา สงสัยต้องทายาให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าผมทิ้งเขาไว้ไม่แน่อาจจะโดนไถตังค์หนักกว่าเดิม ถึงเขาจะไม่เคยทำร้ายร่างกายผมแม้แต่ปลายเล็บ แต่แค่น้ำเสียงก็ทำเอาผมขาสั่นพั่บ ๆ แล้ว
“คุณโดนฟันมาเหรอครับ”
“ไม่ใช่เลือดกู เอาลูกประคบเย็นมาก็พอ”
“แต่ในกล่องไม่มีลูกประคบเย็น”
“ก็ลงไปเอาน้ำแข็งข้างล่างสิวะ”
ไอ้เวรนี่! ทำไมถึงเอาแต่ใจแบบนี้ เอาแต่ใจเหมือนลุงข้างบ้านเลยนะมึง
“มองหน้ากู ด่ากูในใจเหรอ?”
“เปล่าครับ สีผมลูกพี่เท่ดี”
ไอ้กันต์ทำหน้าเหมือนรำคาญเลยสะบัดมือไล่แล้วเอนตัวลงบนเตียง ผมเลยเดินออกมาหน้าประตูพลางมองซ้ายมองขวา ไอ้กันต์บอกว่าให้ไปเอาที่ข้างล่างก็น่าจะในครัวละมั้ง
คิดได้แบบนั้นผมก็เดินลงบันไดมาแล้วมองสำรวจรอบ ๆ บ้านไปด้วย รวยใช่เล่นเลยนะเนี่ย ถึงแม้ไม่ได้ตกแต่งแบบบ้านลุงเคลวินที่ห้อยโคมไฟสีทองอร่าม แต่นี่ก็เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นที่แพงไม่หยอก บ้านหลังตั้งใหญ่โต มาไถตังค์ผมทำไมก็ไม่รู้
ปึ้ก
มัวแต่เดินสำรวจไปมา ผมดันชนกับของแข็งเข้าอย่างจัง เลยยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองป้อย ๆ
“เอ้า โทษที”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าตัวเองอย่างเทียบกันไม่ได้ ร่างกายบึกบึนอย่างกับตึก ท่อนบนของเขาไม่ได้สวมอะไรเลย เผยให้เห็นซิกซ์แพ็กแน่นปั้กชโลมด้วยเหงื่อมันปลาบ ท่อนล่างมีกางเกงมวยยาวประมาณขาอ่อนที่สวมใส่แบบพอดีตัว
“เป็นเพื่อนกันต์เหรอ?” พี่คนนั้นถาม
“ใช่ครับ คะ...คือผมมาเอาลูกประคบเย็น”
“หืม? กันต์ไม่น่าจะมีเพื่อนหน้าตาแบบนี้...” หน้าตาแบบนี้คือแบบไหนฟะ! พูดให้มันจบสิ “เดี๋ยวไปหยิบให้ เดินตามมา”
ผมพยักหน้า เดินตามร่างสูงใหญ่ไปติด ๆ พี่เขาพาเดินเข้ามาในครัวและเปิดตู้เย็นเล็กที่เป็นตู้สำหรับแช่ครีม หากแต่ในนั้นดันแช่ลูกประคบเรียงเป็นตั้งเหมือนยาสามัญประจำบ้าน
“เอ้า” พี่เขาหยิบมาหนึ่งลูกแล้วยื่นให้
“ขอบคุณครับ คุณคือ...”
“ชื่อกาย เป็นพี่ชายไอ้กันต์มัน ไม่ต้องเรียกคุณหรอก” เขายิ้มบาง ๆ แล้วส่งขวดน้ำเปล่ามาให้สองขวด คงจะให้ผมขวดนึง กันต์ขวดนึงละมั้ง เป็นคนดีต่างจากน้องชายจริง ๆ
“พี่เป็นนักมวยเหรอครับ” โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ เกิดใหม่ทั้งทีผมต้องหัดผูกมิตรไว้บ้าง ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่ทำหน้าตาอมทุกข์ หมกตัวดูอนิเมะทุกคืนจนไม่เข้าสังคม
“อืม เราสนใจไหมล่ะ แต่...ใช้เวลานานหน่อย” เขาไล่มองผมตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วยกขวดน้ำเปล่ามากระดกอึ้ก ๆ
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ แต่ถ้ามีไว้ป้องกันตัวบ้างก็ดี”
“โดนไอ้กันต์บังคับมาเหรอ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมันพาใครเข้าบ้าน”
“แหะ ๆ ก็...”
“พู มึงไปเอาลูกประคบที่โรงงานหรือไง!!” เสียงตะโกนจากด้านบนทำผมสะดุ้งโหยง ผมหัวเราะแห้ง ๆ ให้พี่กายแล้วรีบสาวเท้าขึ้นห้องทันที
ไอ้นี่หัดเอานิสัยดี ๆ จากพี่มาใช้บ้างสิวะ!
“มึงนี่...”
“เอามาให้แล้วจะเอาอะไรอีก! ทำไมถึงเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลนักวะ กูเป็นทาสมึงหรือไง!” ผมโยนลูกประคบใส่ท้องมันอย่างแรงด้วยความโมโห ความอัดอั้นตลอดสามปีทำให้ผมกล้าตะโกนออกไปจนหมด
“มึงว่ายังไงนะ...” ไอ้กันต์พูดเสียงเบาหวิว หน้านี่เหวอไปเลย
“ก็บอกว่ากูไม่ยอมมึงอีกแล้ว! นอกจากไม่มีคนคบแล้วยังต้องมาเป็นทาสคนอื่นอีก กูไม่โอเคนะเว้ย ชีวิตกูมีค่ามากกว่านั้น ไม่ได้มีไว้ให้ใครยิงเล่น เข้าใจไหม!”
“ยิงอะไรวะ?” ผมโมโหจนพาลไปหมดจนไอ้กันต์งง มันค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจออกมา
“โอเค ๆ เข้าใจมึงละ แต่มาประคบให้กูก่อน”
“ทำเองไม่เป็นหรือไง”
“มือกูเจ็บเนี่ย”
ผมหายใจฟึดฟัดแล้วไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับเลิกชายเสื้อนักเรียนขึ้น ผมผงะไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงกับรอยช้ำขนาดใหญ่ นี่ต้องโดนอัดขนาดไหนผิวถึงช้ำจนม่วงขนาดนี้
“ไม่ไปโรง’ บาลจริง ๆ เหรอครับ”
“มึงนี่โกรธง่ายหายเร็วนะ”
“ก็มันชินนี่”
“เอางี้ ต่อจากนี้กูจะจัดการพวกที่แกล้งมึงให้ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยกูวันนี้”
มึงจัดการตัวเองก่อนเถอะ ทั้งโรงเรียนมีมึงคนเดียวเนี่ยที่แกล้งกู = =
“ยังไม่พอใจ? โอ๊ย!” ผมลงน้ำหนักมือบนรอยช้ำจนไอ้กันต์นิ่วหน้า
“ค*****นผมมาด้วย”
“หืม รวมเป็นกี่บาทล่ะ?”
“คุณไถตังค์ผมตั้งแต่มอสี่ ตอนนี้มอหกแล้ว ขอคิดแบบรวบรัดสามปีเพราะถือว่าเป็นค่าดอกเบี้ย รวมเป็นจำนวนเงิน 19,710 บาท”
“แหม เก็บทุกเม็ดเชียวนะ กูคืนให้สองเท่าเลย”
“จริงเหรอครับ” *0* ผมทำตาเป็นประกาย ช่วงนี้กำลังร้อนเงินพอดี อยากสอยมังงะออกใหม่ด้วย
“กูไถวันละ 18 บาท เดี๋ยวคืนวันละ 36 บาท”
“อ้าว ทำไมไม่คืนทีเดียวเลยล่ะ”
“ก็กูไม่ได้ยืมมึงทีเดียวนี่ ว่าแต่ยืมตั้งแต่มอสี่เลยเหรอวะ”
“ใช่ แล้วอย่ามาใช้คำว่ายืม นั่นเรียกว่าไถต่างหาก!”
“ไถห่าอะไร กูขอดี ๆ ไม่ได้ทำร้ายร่างกายมึง”
โธ่ถัง! นั่นคือขอดี ๆ ของมึงเหรอ เวลาผมเลิกเรียนจะรีบกระชับกระเป๋าและก้าวขาฉับ ๆ พยายามเดินผ่านซอกนั้นไปให้ไวที่สุด แต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ไอ้นี่ชอบเอาแขนทั้งสองข้างมากักตัวผมไว้แล้วยื่นหน้ามาใกล้ ๆ เพื่อกดดัน เป็นแบบนี้ใครมันจะไม่กลัวบ้างวะ! ถึงจะไม่เคยทำร้ายร่างกายก็เถอะ
“แล้วเอาไปทำไม 18 บาท”
“ซื้อโค้ก”
“แค่นี้?”
“เออ โอ๊ยยย” ผมกดรอยช้ำบนตัวเขาอีกรอบ รอบนี้ไอ้กันต์ร้องลั่นห้อง ตั้งแต่มอสี่จนวันที่ผมตายเขาก็ยังไม่หยุดไถเงิน ไหน ๆ ก็ได้ชีวิตใหม่มาแล้ว จะไม่ยอมอีกเด็ดขาด!
“โอ๊ยยย โอเค ๆ กูขอโทษ กูไม่ไถมึงแล้ว”
“ค*****นด้วย”
“เออ เดี๋ยวคืนวันละ 36 บาท แล้วไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนมึงทุกวันเลยเอ้า”
“อย่างแรกผมขอรับไว้ แต่อย่างหลังไม่ต้อง”
“ประคบดี ๆ สิวะ” กันต์ทำเป็นไม่สนใจคำพูดก่อนหน้าแล้วกุมมือผมไว้แทน เพื่อยั้งไม่ให้ผมกดน้ำหนักไปที่แผลของเขา
วะฮ่าฮ่า สะใจโว้ย!
“เรียบร้อย ผมกลับละ” ลูกประคบห่อน้ำแข็งละลายหมดแล้ว ผมเลยเอาทิชชูมาเช็ดหน้าท้องให้เลยเสร็จสรรพ อีกนิดจะใส่ผ้าอ้อมตบตูดให้แล้วเนี่ย ทำไมผมต้องมาทำแบบนี้ด้วยวะ มีเรียนแท้ ๆ
“นี่เพิ่งสิบเอ็ดโมง อย่าบอกนะว่ามึงจะกลับไปเรียนต่อ?”
“ใช่ครับ ไม่ได้เรียนคาบเช้าไม่เป็นไร วันนี้วิชาวิทย์ไม่น่าจะมีอะไรมาก”
“มึงนี่นะ เฮ้อ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“บ้าหรือไง ไปสภาพนี้เดี๋ยวคุณ...”
“เลิกเรียกคุณได้แล้ว กูรุ่นเดียวกันกับมึงนะ เลิกกลัวกูด้วย” ไอ้กันต์ขมวดคิ้ว ทำหน้าเหมือนไม่พอใจ
“เดี๋ยวมึงตายขึ้นมาใครจะค*****นกูวะ นอนไปนั่นแหละ”
“...”
“ไปละ บาย” ผมชิงวิ่งออกมาจากห้อง ปล่อยให้ไอ้กันต์เหวอรับประทานอยู่คนเดียว
“กลับไปเรียนต่อเหรอ?”
“อ่า ใช่ครับ” ลงมาจากบันไดก็ป๊ะกับพี่กายพอดี ตอนนี้พี่แกไม่ได้อยู่ในคราบนักมวยแล้ว เขาใส่ชุดเครื่องแบบมหา’ ลัยแล้วปัดผมไปข้างหลังดูเท่ขึ้นมาก
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เอ่อ แต่ผมเกรงใจ เดี๋ยวเรียกแกร็บก็ได้ครับ”
“ทางผ่านพอดี ขึ้นมา”
แหม อยากจะบอกว่าผมปฏิเสธเป็นมารยาทเฉย ๆ นั่นแหละ ใจจริงคือไม่อยากเสียตังค์โคตร ๆ เพราะกำลังเก็บตังค์ซื้อมังงะชุดล่าสุดที่ออกมาอยู่
“ครับ ๆ” ผมวิ่งตามหลังเขาไปติด ๆ หน้าบ้านมีมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ที่พวกผู้ชายเขาชอบขี่กัน นั่นก็คือ ‘บิ๊กไบค์’ ที่ไม่ว่าใครขี่ก็เท่ ถ้าผมขี่จะเท่แบบนั้นหรือเปล่าหว่า...
“ขึ้นไม่ได้เหรอ?” ผมพยายามกางขาขึ้นคร่อมเบาะอยู่นานแต่ก็ทำไม่ได้เพราะกางเกงนักเรียนมันรัดแน่นจนตึงไปหมด ไหนจะขาของผมที่ไม่ได้ยาวมากนัก แต่ยืนยันว่าน่าจะเป็นเพราะกางเกง กางเกงแน่ ๆ!
“อ่า พอดีตึงนิดหน่อย...เหวอ” พี่แกลงมาเพราะทนท่าทางน่าสมเพชของผมไม่ไหว เขาจับเอวผมไว้แล้วอุ้มขึ้นนั่งเบาะเหมือนอุ้มลูกลิง
“โทษที พี่จะสายแล้ว”
ผมอยากจะกราบเท้าพี่ต่างหาก ช่างเป็นคนดีกระไรเยี่ยงนี้ แต่ผมก็รู้สึกขายหน้าอยู่นิด ๆ โดนอุ้มเป็นตุ๊กตาเลย ผมเป็นผู้ชายอกสามศอกนะ! จะมาโดนอุ้มง่าย ๆ เหมือนตุ๊กตาแบบนี้ก็ไม่ใช่ ต้องหัดออกกำลังกายแล้วเรา
ผมเกาะเสื้อพี่เขาแน่นเพราะกลัวตก ท่ามกลางแดดจากขุมนรกของประเทศไทย กว่าจะถึงก็ทำเอาผมหน้ามืด รถบิ๊กไบค์สีดำจอดหน้าประตูโรงเรียนเวลาเที่ยงตรงพอดิบพอดี ผมยกมือไหว้พี่เขาด้วยความซาบซึ้ง หากเป็นชีวิตก่อนหน้านี้ผมไม่มีทางได้เจอคนดี ๆ แบบนี้หรอก จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาในโรงเรียน ซึ่งอาจารย์ที่เฝ้าประตูแกก็นั่งเมาท์มอยหอยสังข์ไม่ได้สนอะไร มือก็จกส้มตำปูปลาร้าไปด้วย
ผมตรงดิ่งขึ้นตึกเรียนเลยทันทีเพราะในกระเป๋ามีห่อข้าวกลางวันมาด้วย อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมกำลังเก็บเงิน!
คาบบ่ายไม่ได้มีอะไรมากนอกจากวิชาแนะแนวที่นั่งดูโพรเจกเตอร์สามชั่วโมงรวด รู้แบบนี้ผมชิงกลับบ้านเลยดีกว่า ตอนนี้เวลาสี่โมงตรง ผมมายืนหน้าประตูเพื่อรอคนขับรถของลุงเคลวินมารับ
พูดถึงก็มาเลย
“ลุงต๋อย สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ลุงคนขับแล้วเข้าไปนั่งเบาะหลัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอนิเมะที่ดูค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่พอเปิดเน็ตปุ๊บไลน์ก็เด้งขึ้นมาทันที
ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
12.03
GUN : ถึงโรงเรียนยัง
13.00
GUN :???
อิหยังของเขาวะ? มันใช่ธุระกงการอะไรของแกเรอะ แล้วอีกอย่างมีไลน์ผมได้ไง!
ผมกดปิดหน้าจอเพราะหมดอารมณ์ดูแล้วหลับตาลงเบา ๆ อยากงีบสักหน่อย วันนี้ใช้พลังงานไปเยอะเหลือเกิน
“คุณหนูครับ ถึงบ้านแล้ว” เสียงปลุกของลุงต๋อยทำให้ผมค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาแบบสะลึมสะลือ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ยังหลับได้ไม่ถึงสิบนาทีเลยมั้งเนี่ย ผมยกมือไหว้ขอบคุณลุงเขาแล้วลงจากรถ
เดินเข้ามาในบ้านพลางลูบท้องตัวเองป้อย ๆ ทำไมวันนี้ไม่มีคนเลยนะ ปกติจะต้องตั้งโต๊ะอาหารกันแล้วนี่ ผมอุ้มกระเป๋าเดินเข้าไปในครัวอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาสองเท้าของผมหยุดชะงัก
“อืม...ดูดแรง ๆ”
คนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา กดหัวผู้หญิงผมบลอนด์ที่สวมชุดเครื่องแบบมหาวิทยาลัยรัดติ้วจนหน้าอกแตงโมแทบทะลัก เธอนั่งผงกหัวตรงกลางหว่างขาเขาอยู่นาน จนดวงตาสองข้างเหลือบมาสบตากับผมพอดี
“อ๊ะ” เธอชะงักแล้วถอนริมฝีปากออกจากแท่งเอ็นร้อนขนาดใหญ่จนน้ำลายยืดออกมาเป็นสาย “น้องชายเหรอคะ?”
คนถูกถามหันมามองตัวขัดจังหวะอย่างผมแล้วเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาคมไล่มองผมตั้งแต่หัวจดเท้าแล้วแค่นยิ้มออกมา
“อืม ใช่ เธอกลับไปก่อน”
“เอ๊ะ แต่วีวี่เพิ่งมาเองนะคะ”
“กลับ”
แม่นางวีวี่ทำหน้าไม่พอใจ หยิบกระเป๋าชาแนลบนโต๊ะแล้วเดินกระแทกเท้าออกไปทันที ก่อนออกไปก็ไม่วายหันมาถลึงตาใส่ผม แหม่ พี่สาวครับ ผมขอโทษษษ ผมไม่รู้นี่ว่าพวกพี่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่
ผมมองตามหลังเธอไปจนลับตาแล้วหันกลับมาสนใจคนบนโซฟาแทน แล้วก็ต้องสะดุ้งกับสายตาของเขาที่กำลังจ้องผมอยู่เหมือนกัน
‘เฮียไคน์’
แม้จะไม่เคยคุยกันเลย แต่ผมก็จำเขาได้เพราะเคยร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันสองสามครั้ง นี่เป็นโอกาสดีเลยไม่ใช่เหรอที่จะทำความรู้จักกับเขา หน้าตาเขาก็ไม่ดุเท่าไหร่ด้วย เพราะภายใต้ใบหน้าคมนั้น ดวงตาของเขาดันแพรวพราวตลอดเวลาเหมือนพวกเสือผู้หญิง
“ยังไม่รู้จักกันเลย มานั่งคุกเข่าคุยกับเฮียตรงนี้สิคะ”
วอต เดอะ ฟัก!! อย่างน้อยก็ช่วยเก็บไอ้จ้อนของพี่เข้าในกางเกงก่อนเถอะ!