ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ชีวิตผมอีกครั้ง
อย่างที่เกริ่นไปว่าชีวิตอันจืดจางของผมเคยตายไปแล้ว แต่พระเจ้าคงเข้าใจว่าผมไม่มีความผิดอะไรแถมยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเอาเสียเลย จึงบันดาลให้ผมย้อนเวลากลับมายังเมื่อสามเดือนก่อนที่จะตาย
อ่า...ไม่รู้ว่าพระเจ้าหรืออะไร แต่เอาเป็นว่าผมกลับมามีชีวิตแล้ว! และตอนนี้ก็เหยียบอยู่ในบ้านของคนที่ยิงแสกหน้าผมได้อาทิตย์นึงแล้วด้วย
แต่ยังไม่เจอหน้าเขาเลยแฮะ...
ผมนอนนึกพลางมองไปรอบ ๆ ห้องที่แปะโปสเตอร์อนิเมะเรื่องต่าง ๆ เต็มไปหมด ปกติผมเป็นพวกชอบเก็บตัว ใส่แว่นตาหนาเตอะ ไม่เข้าสังคม แถมยังโดนไถตังค์บ่อย ๆ ด้วย
ผมฝันอยากจะมีพี่ชายสักคนมาปกป้องและเอาไว้อวดคนอื่น การแต่งงานครั้งใหม่ของแม่ทำให้ผมมีความหวัง
ที่คนคนหนึ่งไม่กล้าหวัง...
ที่คนธรรมดาไม่กล้าหวัง...
แต่ผมแอบหวัง...
แต่ความหวังของผมก็สลายไปเมื่อพี่ชายสองคนนั้นไม่แม้แต่จะเหลียวมองหน้าผมเลย มีครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด เขาคิดว่าผมเป็นเด็กตัดหญ้า เพราะเขาเดินเข้ามาด่าว่าผมเก็บอุปกรณ์ไม่เป็นที่เป็นทาง
ตอนย้ายเข้ามาใหม่ ๆ อยากจะบอกว่าผมเสนอหน้ามาก ๆ ที่จะแนะนำตัวกับพวกเขาเพื่อที่จะทำความรู้จักกัน แต่ก็แทบไม่เคยเห็นทั้งคู่เหยียบเข้ามาในบ้านเลย โครงการที่จะมีพี่ชายที่แสนดีจึงต้องพับเก็บไป
แต่ตอนนี้ต้องเอาออกมากางใหม่แล้ว จะต้องตีสนิท จะต้องเป็นน้องชาย ลูกน้อง ลูกหาบ หรืออะไรก็แล้วแต่ของเขาให้ได้
เพื่อมีชีวิตรอด!
“หมีพูยังไม่ตื่นอีกเหรอลูก” เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมดีดตัวขึ้นมาจากเตียงนอน และลุกขึ้นไปทำกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำทุกเช้าก่อนไปเรียน
ครับ...ผมเป็นแค่เด็กมอหกที่ตัวเท่าลูกหมา
ผมมองตัวเองในกระจกพลางแปรงฟันและพิจารณาหน้าตาตัวเองไปด้วย ผมจัดเป็นมนุษย์ไร้ตัวตนในห้องเรียน เพราะหน้าตาจืดชืด ส่วนสูงก็กลาง ๆ สีผิวก็กลาง ๆ ส่วนชั้นตายังเลือกไม่ได้ว่าจะสองชั้นหรือชั้นเดียวเพราะวันไหนนอนเยอะก็จะบวมเหมือนโดนต่อย ส่วนวันไหนปกติก็จะมีชั้นตาเล็ก ๆ ให้พอดูเป็นผู้เป็นคน
เรียกว่าผมจัดอยู่ในประเภทเด็กเนิร์ดแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์
เวลาจัดกลุ่มในห้องผมก็จะเป็นส่วนเกินหรือคนที่เพื่อนจะนึกถึงเป็นคนสุดท้าย จนอาจารย์เวทนาแล้วจับยัดเข้ากลุ่มให้
เชี่ย...ทำไมชีวิตกูน่าสงสารขนาดนี้วะ
ผมหยิบแก้วน้ำลายอนิเมะลูกรักมารองน้ำแล้วบ้วน ๆ ยาสีฟันออกจากปาก ด้วยความธรรมดาของผมเนี่ยแหละ ผมถึงมีความลับหนึ่งที่ไม่เคยบอกใคร
ผมเป็นนักคอสเพลย์ตัวท็อปของวงการ!
ด้วยหน้าตาที่ธรรมดาของผมเลยแต่งหน้าง่าย แต่งลุกไหนก็ดูสวยเหมือนตัวละครไปหมด...ใช่ครับ ผมคอสเป็นผู้หญิง
ผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะตื่นขึ้นมาแล้วสูงขึ้นอีกสามสิบเซน บวกกับมีซิกซ์แพ็กแน่น ๆ ผมจะได้คอสเป็นตัวละครผู้ชายบ้าง
“พู จะสายแล้วนะลูก!”
ผมเดินออกมาแล้วเหลือบมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาหกโมงครึ่ง ผมไปโรงเรียนแต่เช้าตามแบบฉบับเด็กเนิร์ด แต่จะทำยังไงได้ มันเป็นชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว และอีกอย่างใช้ชีวิตแบบนี้ก็สงบดี
ผมแต่งตัวเรียบร้อยและผูกเน็กไทสีแดง รูดขึ้นไปด้านบนจนชิดคอหอย จากนั้นก็ลงมาหาคุณแม่ที่นั่งรอตรงโต๊ะกินข้าว
“พู หนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก”
“ไม่ครับ ผมกินอะไรก็...”
“เอ๊ะ อยากกินกุ้งล็อบสเตอร์เหรอลูก”
นั่นไง...แม่ผมกำลังหาเรื่องแกล้งป้าโคนันอีกแล้ว ป้าเขาชื่อแย้ม แค่ชื่อยังเหมือนในละคร เป็นไม้เบื่อไม้เมาของคุณแม่ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน
“คุณนายขา อยากกินก็ไปงมเองสิคะ เวลานี้จะไปหามาจากไหน”
“แต่ลูกชั้นอยากกิน ไม่ได้ยินหรือไง” คุณแม่ตบโต๊ะเสียงดังพลางถลึงตาใส่ป้าแย้มแบบไม่เกรงใจขนตาปลอมขนมิงก์ของตัวเอง
ใครเขาจะได้ยิ้นนน ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ฮือ
“ดะ เดี๋ยวผมไปหาซื้อให้ก็ได้ครับ” น้ำเสียงหวานลอยมาแต่ไกลพร้อมกับออร่าความเป็นคนดีพุ่งกระจายออกมากระแทกเบ้าตา ใบหน้าสวยชนิดที่ว่าผู้หญิงยังอาย ผิวขาวเนียนละเอียดสมกับเป็นลูกผู้ลากมากดีและรอยยิ้มนางฟ้าประจำตัว เขาก็คือ ‘เจ้าจันทร์’ นั่นเอง
“หืม?” คุณแม่เลิกคิ้วสูงแล้วยิ้มเหยียด “ตอนนี้ไม่อยากกินแล้ว อยากกินน้ำส้มคั้นสด ๆ ไปเอามาสิจ๊ะ”
แล้วเจ้าจันทร์ก็เดินไปเอามาจริง ๆ ผมอยากจะถามเขาว่าจะทำตามคำสั่งแม่ผมเพื่อ? ตัวเองก็ถือเป็นสมาชิกของบ้านแท้ ๆ ผมนี่สิที่ควรได้รับตำแหน่งคนรับใช้ ผมมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าใกล้จะเจ็ดโมงแล้ว เลยตักไข่พะโล้มาคลุก ๆ ข้าวแล้วรีบตักกิน
หนุ่มหน้าหวานเดินกลับมาพร้อมน้ำส้มคั้นสองแก้ว เขายื่นให้แม่ผมด้วยรอยยิ้มละมุน ทายสิครับว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น…
เพล้ง
“อุ๊ย มือน้าลื่น”
จ้าาาาาาาา ดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าตั้งใจ นี่แหละครับแม่ผม ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยสังเกตการกระทำของเธอหรอก แต่พอย้ายเข้ามาผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าเจ้าจันทร์สักเท่าไหร่
พี่แมว ลูกหาบของป้าแย้มเดินหน้าตึงออกมา แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ตามบทที่ปกติจะต้องแกล้งล้มเอาน้ำแกงราดใส่คุณแม่ ดันล้มใส่เจ้าจันทร์ซะอย่างนั้น
ส่วนคุณแม่ของผม...
หัวเราะเสียงดังลั่นประหนึ่งนางร้ายในละครหลังข่าว เธอเอามือป้องปากแต่ก็จงใจขำออกมาเสียงดัง
“พูขำสิลูก”
“ผะ ผมต้องขำด้วยเหรอครับ?”
“ขำสิลูก ขำเป็นเพื่อนแม่” คุณแม่ป้องปากกระซิบ จากนั้นก็หันไปเหยียดยิ้ม
แล้วเราสองแม่ลูกก็ประสานเสียงหัวเราะดังก้องคฤหาสน์ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะตายด้วยลูกปืนหรือไข่พะโล้ติดคอก่อน ส่วนพี่แมวกับป้าแย้มก็กลั้นเสียงกรี๊ดกันสุดกำลัง
เจ้าจันทร์ที่นั่งเฉย ๆ ไม่เป็น เอื้อมมือไปเก็บเศษแก้วจนแก้วบาดนิ้ว แล้วน้ำตาเม็ดใสก็ร่วงเผาะออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของนางมารร้าย
เชี่ย...นี่กูต้องมาตายท่ามกลางคนแบบนี้เหรอเนี่ย
☙♕❧
เรื่องชุลมุนวุ่นวายในมื้อเช้าแสนสดใสจบลงด้วยการที่ผมมาโรงเรียนสาย ผมกระชับกระเป๋าแน่นแล้วค่อย ๆ ย่องผ่านซุ้มอาจารย์หน้าประตูมา
“นี่เธอ ทำไมมาสาย ไม่เห็นหรือไงว่านี่เก้าโมงแล้ว”
“ผะ ผมท้องเสียครับ”
“อืม ไปได้”
เอ้า...ง่าย ๆ แบบนี้เลยเรอะ? บอกแล้วว่าผมน่ะเป็นเด็กไร้ตัวตนแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครที่สายช่วงแปดโมงก็ลำบากโดนลงโทษหน่อยนะครับ คนที่รอดต้องเข้าหลังเก้าโมงเท่านั้น ผมเชื่อว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของทุกโรงเรียนจะเป็นแบบนี้
ผมถอนหายใจแล้วจ้ำอ้าวไปทางตึกวิทย์ที่อยู่ในซอกหลืบที่สุดของโรงเรียน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดตารางสอน วิชาแรกเรียนตึกนี้ วิชาถัดไปเรียนตึกอีกฟาก แค่เดินขึ้นตึกก็เหนื่อยจนไม่มีแรงจะเรียนแล้ว
แต่ไม่เป็นไร นี่เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับเด็กมอปลายแล้ว ผมรอไปเฉิดฉายในมหา’ ลัยก็ได้
“อึก...แม่ง...”
เสียงสบถเคล้ากับเสียงโอดครวญดังมาจากซอกตึกทำให้สองขาของผมหยุดชะงัก ซอกตรงนั้นผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะโดนดักไถตังค์ทุกวัน แต่...ผมก็อยากรู้แฮะว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า
ด้วยความขี้เผือกของตัวเอง ผมเลยเสนอหน้ายื่นคอไปมองตามเสียงจากซอกตึก
เชี่ย! ละ...เลือด เลือดเต็มไปหมดเลย
ผมมองคราบเลือดเต็มพื้นด้วยความตกใจ นี่ควรเข้าไปดูคนเจ็บก่อนหรือควรโทรเรียก 1669 ก่อนดี
“อึก...มึง...ไสหัวไป” เหมือนคนคนนั้นจะรู้ว่าผมแอบมองเขาอยู่เลยตะโกนไล่ เลือดเต็มขนาดนี้ถ้าผมทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเขาตายขึ้นมาจะทำไง ผมก้าวขาออกไปมองหน้าคนเจ็บชัด ๆ
“อ๊ะ ไอ้เหี้ยกันต์”
“มึงว่าไงนะ?”
“ลูกพี่กันต์ครับ”
ย้อนเวลากลับไปได้ไหม กูจะรีบวิ่งหนีแล้วปล่อยให้แม่งตายตรงนี้เลย ไอ้นี่แหละครับที่ไถตังค์ผมทุกวัน ไถไปทำไม่ไม่รู้วันละ 18 บาท!
“ปะ...เป็นอะไรมากไหมครับ”
“เฮ้อ เป็นมึงก็ดี มาแบกกูที” เอ้า...ทีเมื่อกี้ยังไล่กูอยู่เลย
“เอ่อ...พอดีว่าผมติดเรียน”
“ทีงี้ติดเรียนขึ้นมา...แค่ก ๆ” เขาสำลักออกมาเป็นเลือด นั่นทำให้ผมรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นทันที
“ไปโรงพยาบาลไหมครับ?”
“ไม่ ไปบ้านกู กูขี้เกียจเข้าห้องปกครอง”
“ปะ...ไปบ้าน แต่ผมต้องเรียนหนังสือ”
“กูจะไม่ไถตังค์มึงวันนึง” เอาตังค์กูไปเถอะ แล้วก็ปล่อยกูไปด้วย
“โอเค ๆ งั้นเรียกแกร็บนะครับ” ผมพยุงเขาออกมาทางประตูหลังที่เป็นประตูลับของพวกเด็กอันธพาลในโรงเรียน ถามว่าทำไมผมรู้น่ะเหรอ? ก็เพราะโดนไอ้นี่ไถตังค์อยู่ทุกวันเลยรู้ว่าด้านหลังมีประตูอยู่ แถมไม่มีกล้องวงจรปิดด้วย
พวกเรานั่งแกร็บแท็กซี่กันแบบเงียบ ๆ มาตลอดทาง ผมพยายามนั่งชิดประตูที่สุดเพราะทำตัวไม่ถูก
“มึงรังเกียจกูเหรอ?”
“ครับ”
“มึงว่าไงนะ”
“อ๊ะ ถึงแล้ว” ผมรีบพูดขัด แล้วถือวิสาสะล้วงเงินในกระเป๋ากางเกงของเขามาจ่าย
เชี่ย...แบงก์พันมีเป็นปึก มึงจะไถตังค์ 18 บาทของกูทำไม?
“รีบจ่ายสิวะ”
ผมยื่นเงินให้คนขับตามจำนวนเงินในแอปพลิเคชัน แล้วรีบลงมาพยุงเขาเข้าบ้าน
ด้านหน้าบ้านของกันต์เป็นค่ายมวยขนาดใหญ่ ต้องเดินอ้อมมาทางด้านหลังถึงจะเป็นตัวบ้านซึ่งหลังใหญ่ไม่แพ้บ้านของลุงเคลวินเลย หากแต่เป็นสไตล์เรียบ ๆ เหมือนบ้านจัดสรรธรรมดา
“แหะ ๆ หมดธุระแล้ว งั้นผม...”
“มึงจะทิ้งกูไว้หน้าบ้าน?” กูตอบได้ไหมว่า ‘ครับ’
“พยุงกูขึ้นห้องก่อน”