[Richie’s Part]
ผมขอแก้ความเข้าใจผิดของเจ้าพวกนี้ก่อน
อย่างแรกเลยคือผมไม่ได้เป็นซอมบี้ฮันเตอร์ที่หนีตายมาอยู่ที่โกดังนี่เมื่อสองวันก่อน อย่างที่รู้กันว่าผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่หกเดือนก่อนแล้วแต่จำเป็นต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอด เพราะไอ้หนุ่มเอเชียนั่นทำท่าจะยิงสมองผมกระจุยหลังจากที่เขาได้กลิ่นบุหรี่ที่ผมสูบและดับทิ้งไม่ทันก่อนที่พวกนั้นจะเข้ามา
และสอง ผมไม่ได้วิ่งหนีซอมบี้จนกางเกงหลุด กางเกงแดงขาสั้นรัดรูปที่พวกนั้นเห็น มันเป็นกางเกงของชุดมวยปล้ำรัดรูปที่ผมใส่ติดตัวมาตอนที่ถูกซอมบี้บุกการแข่งขันมวยปล้ำต่างหาก แต่ให้พวกนี้เข้าใจไปอย่างนั้นก็ดี เพราะผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้เผยพิรุธไปมากกว่านี้ ทั้งที่ในใจก็นึกหงุดหงิดไอ้ไบรอันที่ดันทิ้งแต่เสื้อไว้ให้ผม ไม่เหลือกางเกงไว้ให้ด้วย
แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่เจ้าพวกนี้พาผมขึ้นรถถังมา แล้วมุ่งหน้าไปยังเขตควบคุมโรค หมายเลข 16 แห่งนครลอสแอนเจลิส หากผมไม่ได้ติดเชื้อล่ะก็ ผมคงจะดีใจไม่น้อยที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้รอดชีวิต แต่เพราะผมติดเชื้อ ผมจึงได้แต่นั่งยิ้มแหยไปตลอดทางโดยเฉพาะเวลาที่เจ้าพวกนี้พากันว่าอย่างดีใจว่าหน่วยของพวกเขาเป็นหน่วยแรกที่ค้นหาผู้รอดชีวิตได้ประสบผลสำเร็จ และผมก็ได้รู้อีกอย่างว่า การที่เจ้าพวกนี้บุกเข้ามาถึงโกดังที่ผมอยู่ได้เป็นเพราะรถถังแสนยานุภาพคันที่ผมนั่งอยู่และบรรดาอาวุธสงครามต่าง ๆ ที่ถูกงัดออกมาใช้กำจัดซอมบี้ เด็ดกว่านั้นคือ ของพวกนั้นถูกขโมยมาจากคลังอาวุธเสียด้วย
“ไม่ได้ขโมย เรียกว่ายืมโดยไม่ได้ขออนุญาตต่างหาก” คนที่ชื่อแพทริกว่าหน้าทะเล้นเมื่อผมทำหน้าแหยหลังจากได้ยินว่าเจ้าพวกนี้เอาของเจ๋ง ๆ มาจากไหน
“มีของดีแต่ไม่ให้ใช้มันก็ยังไงอยู่ เห็นจอดตายซากอยู่ในโรงรถหลายปีดีดักแล้ว ไม่ได้เอามาใช้บ้าง น่าเสียดายแย่” แพทริกว่าขึ้นอีกครั้ง
“ก็มันเอาไว้ใช้ยามจำเป็น ถึงได้จอดเก็บเอาไว้อย่างนั้น นายก็รู้ว่าตอนนี้ทางกองทัพต้องรักษาสิ่งของจำเป็น โดยเฉพาะพวกอาวุธเพราะทางรัฐบาลไม่มีปัญญาส่งมาให้เราเพิ่มได้อีกแล้ว กลับไปรับรองได้เลยว่าพวกเราโดนฉะเละแน่” คราวนี้ หนุ่มเอเชียที่เกือบจะระเบิดสมองผมพูดขึ้นมาบ้าง รู้สึกว่าเขาจะชื่อเนวิลล์มั้ง สีหน้าเขาบ่งบอกชัดเจนเลยว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของแพทริกเท่าไหร่นัก
“ก็บอกแล้วว่ายืมมาเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ คุณพ่อนายพลของไอ้ร็อบบ์คงไม่ว่าอะไรหนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอกน่า” แพทริกสวน หันไปเออออกับคนอื่น ๆ ที่เห็นดีเห็นงามกับคำพูดของเขาด้วย
“กลับไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าจะสาหัสหรือแค่เบาะ ๆ ” เนวิลล์พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงแล้วว่าเสียงเรียบ
ผมรู้ในตอนนี้เองว่าผู้ชายผมทองหน้าหล่อน้อยกว่าผมที่ชื่อว่าร็อบบ์อะไรนี่ มีพ่อเป็นคนใหญ่คนโตแค่ไหน เป็นถึงลูกนายพลประจำเขตขนาดนั้น ไม่เกรงกลัวอะไรก็ไม่แปลก
“นายไม่ต้องกังวลไปไบรอัน ถ้าพ่อฉันจะลงโทษล่ะก็ สาบานเลยว่านายไม่ถูกลงโทษด้วยแน่” ร็อบบ์ว่าขึ้นเมื่อเห็นผมย่นคิ้วครุ่นคิด
มันก็แน่อยู่แล้วล่ะ ผมมาในฐานะผู้รอดชีวิตที่พวกหมอนี่เก็บได้นี่ ไม่ได้เป็นพวกซอมบี้ฮันเตอร์ที่แหกกฎมาเสียหน่อย!
กระนั้น ผมก็พยักหน้ารับ และลอบถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องเผชิญในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ความกังวลและความหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้ว่าเป็นซอมบี้ประดังประเดเข้ามาในหัว จนผมเริ่มจะปวดหัวหนึบ ๆ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าพวกเขาจับได้ขึ้นมาว่าผมเป็นซอมบี้ ชะตากรรมของผมจะเป็นยังไง
ทำไมผมถึงคิดอย่างนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะผมรู้ว่าก่อนจะเข้าไปในเขตควบคุมโรค มันจะต้องมีการตรวจหาไวรัสก่อนน่ะสิ ผมคงจะไม่รอดแน่ แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าการถูกพวกซอมบี้ฮันเตอร์ฆ่าโดยการยิงหัวนัดเดียวตาย ยังไงก็ดีกว่าการถูกพวกคอมพลีทซอมบี้ฉีกทึ้งกิน กว่าจะตายได้คงทรมานน่าดู
“ได้เวลาแล้ว” จู่ ๆ เนวิลล์ก็พูดขึ้น เรียกความสนใจของผมไปมองยังเขาทันที ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับกล่องบรรจุเข็มฉีดยาราวสิบเข็มได้
ผมมองเนวิลล์แจกเข็มฉีดยาให้ทุกคนเอาไปฉีดลงบนข้อพับแขนตัวเองอย่างงุนงง ก่อนจะปริปากถามทันทีที่เนวิลล์จัดการฉีดของเหลวในนั้นเข้าเส้นเลือดใหญ่ตัวเองเสร็จสิ้น
“นั่นอะไรน่ะ”
“ยาต้านไวรัส ถามอย่างกับไม่รู้จัก” เนวิลล์ว่าพลางเหลือบมองผมอย่างจับผิด
ผมรู้ตัวทันทีว่าถามอะไรไม่น่าถามออกไป ก็ตอนนี้ผมเป็นซอมบี้ฮันเตอร์เก๊ ๆ แล้ว จะทำหน้ามึนบอกว่าไม่รู้จักยาต้านไวรัสก็ยังไงอยู่ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ผมจะไม่รู้เลยสักนิดว่าทางรัฐบาลคิดค้นยาต้านไวรัสขึ้นมาได้แล้วก็ตาม
“ระ...รู้จักซี่ แค่สีมันไม่เหมือนกับที่ฉันเคยฉีดก็เท่านั้นเอง เลยสงสัย”
“ยาต้านไวรัสมันมีสีอื่นด้วยหรือไง” แอนนาเบลโพล่งขึ้นมาบ้างด้วยสีหน้ายียวน ขณะที่เธอโยนเข็มเปล่าคืนให้กับเนวิลล์
บอกตรง ๆ เลยนะว่าผมไม่ชอบหน้ายัยนี่เลย ถึงผมจะเคยเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจก็เถอะ แต่เห็นหน้ายัยนี่แล้วชวนให้หงุดหงิดชะมัด ผู้หญิงอะไรไม่น่าจีบเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็ทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ ให้หล่อน ดีที่ไม่มีใครสนใจสิ่งที่หล่อนพูด นอกจากแพทริกที่ร้องดังขึ้นมา
“ใกล้จะถึงทางเข้าเขตแล้ว”
ผมทำท่าจะมองตามเสียงของแพทริก ทว่าเนวิลล์ก็เรียกผมไว้เสียก่อน
“นายเองก็ฉีดซะ” ว่าพลางยื่นเข็มฉีดยาที่มีน้ำยาเต็มหลอดให้ผมรับ
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกทันที
“หะ...ให้ฉันฉีดเหรอ”
“ก็เออน่ะสิ หรือนายจะกินก็แล้วแต่” เขายียวนหน้าตาย
โอเค หมอนี่ก็เป็นอีกคนที่ผมเห็นแล้วหมั่นไส้ชะมัด
ผมรับเข็มฉีดยามา ทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรดี บอกตรงๆ นะว่าผมกลัว... ไม่ใช่ว่ากลัวเข็มหรืออะไรหรอก แต่ผมกลัวว่าถ้าผมฉีดไอ้น้ำสีเขียว ๆ นี่เข้าตัวไป แล้วถ้าเกิดมันมีปฏิกิริยาอะไรกับไวรัสซีในตัวผมขึ้นมาล่ะก็ ผมคงจะถูกจัดการตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกไปสูดอากาศนอกรถถังเป็นแน่
“มัวทำอะไรอยู่ ฉีดสักทีสิ” พอถูกเร่ง ผมก็สะดุ้งขึ้นมาน้อย
“เอ่อ...ไม่ต้องฉีดได้มั้ย”
“ทำไม”
“ฉัน...กลัวเข็มน่ะ” ผมโกหกหน้าด้าน ๆ
และเสียงหัวเราะของคนพวกนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าการโกหกเมื่อครู่นี้นั้นช่างเป็นข้ออ้างที่โง่เง่าสิ้นดี
“ตัวอย่างกับหมีป่า กลัวเข็มนี่นะ พระเจ้า!” แพทริกเป็นคนแรกที่ระเบิดหัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของแอนนาเบลและร็อบบ์ จะมีก็แต่เพียงเนวิลล์เท่านั้นที่มองหน้าผมอย่างรำคาญ
“เออ ฉันกลัวเข็ม แล้วฉันก็ไม่อยากฉีดด้วย เพราะฉันกลัวเข็ม” ผมแสร้งยอมรับ ทั้งที่ในใจอยากจะเอาเข็มทิ่มตัวเองโชว์ให้พวกนี้ดูสักสิบเข็มว่าผมไม่ได้กลัวเข็มแท่งเล็ก ๆ พวกนี้เลยแม้แต่น้อย
“จี้เป็นบ้าเลยว่ะ เป็นซอมบี้ฮันเตอร์แต่กลัวเข็มเนี่ยนะ”
“เป็นซอมบี้ฮันเตอร์มันไม่ได้เกี่ยวกับการกลัวเข็มนี่หว่า” ผมยอกย้อน ก่อนแพทริกจะพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อถามคำถามใหม่กับผม
“แล้วปกตินายฉีดยาต้านยังไงน่ะ”
“ให้หมอประจำกองทัพฉีดให้” ผมโกหกอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอในเขตควบคุมโรคจะมีมั้ย แต่เข็มฉีดยามันก็ต้องมาคู่กับหมอใช่มั้ยล่ะ อันนี้เมคเซ้นส์สุด ๆ ละ
“แล้วเวลานายออกลาดตระเวนล่ะทำยังไง” แอนนาเบลแทรกถามขึ้นมาบ้าง
“ก็... เพื่อนในหน่วยฉีดให้” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก แต่คำพูดของผม ทำให้ร็อบบ์หันไปมองหน้าเนวิลล์เป็นสัญญาณทันที
“งั้นก็ยื่นแขนมา ฉันจัดการให้”
“อะไรนะ!”
สัญญาณที่ว่าก็คือให้เนวิลล์ฉีดยาผมนั่นแหละ ผมร้องลั่นทันใด ขณะที่เนวิลล์จัดการถอดปลอกเข็มฉีดยาออก และดีดตัวเข็มด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งเบา ๆ
“ก็นายบอกว่าปกติให้เพื่อนในหน่วยฉีดให้ ฉันก็เลยจะจัดการให้”
ผมลืมตาโพลง ใครจะไปรู้ล่ะว่าการพูดพล่อย ๆ ของผมเมื่อกี้จะทำให้เขาเสนอตัวขึ้นมา
“ยื่นแขนออกมา” เนวิลล์ออกคำสั่งอีกครั้ง หากแต่ผมรีบดึงมือขึ้นมากอดตัวเองอย่างรวดเร็ว
“แต่ว่าเพื่อนฉันมือเบามากเลยนะ แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันกลัวว่านายจะทำฉันเจ็บ”
ผมพยายามทำท่าทางสะบัดสะบิ้ง ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าผมกลัวเข็มจริง ๆ แล้วจะเห็นใจผมบ้าง แต่เปล่าเลย เนวิลล์ไม่เห็นใจสักนิด ซ้ำยังออกคำสั่งเสียงเขียวอีกต่างหาก
“ตอนฝึกนายเจ็บตัวหนักกว่าตอนถูกฉีดยาอีก อย่ามาเรื่องมาก ฉันบอกให้ยื่นแขนมา”
“ไม่” ผมปฏิเสธ
“บอกให้ยื่นแขนมา!”
“ไม่!”
พอเขาเสียงดัง ผมก็เสียงดังบ้าง เนวิลล์ย่นคิ้วยู่ ดูก็รู้เลยว่าเขาชักจะหงุดหงิดแล้ว แต่ยังเก็บอารมณ์อยู่
“ฉันจะบอกนายอีกครั้งว่า...ยื่น – แขน - มา”
“ฉันก็จะบอกนายอีกครั้งเหมือนกันว่า...ไม่ – ไม่ - ไม่”
“ฉันว่านายยื่นแขนให้เนวิลล์จะดีกว่า ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ร็อบบ์พูดขึ้นมาบ้าง ฟังยังไงก็ดูเหมือนคำขู่
ผมยู่หน้าลง ยิ่งเหลือบมองเห็นกำแพงคอนกรีตสูงชะลูดที่อยู่ตรงหน้า ผมก็รู้ว่าเวลาของผมคงจะเหลือไม่มากแล้ว ถ้าไม่ตายเพราะร่างกายมีปฏิกิริยากับยาต้านไวรัส ก็คงจะถูกยิงหัวตายหลังจากถูกตรวจเจอเชื้อไวรัสก่อนเข้าไปข้างใน ถ้าจะตายจริง ๆ ล่ะก็ อย่างที่ผมบอก ขอตายแบบครั้งเดียวไม่ทรมานด้วยการถูกยิงหัวดีกว่า ดูท่าทางแล้วถ้าตายด้วยยาต้านไวรัสอะไรนี่ คงจะทรมานสาหัสสากรรจ์แน่นอน
“ฉันก็ขอบอกอีกทีว่าไม่” ผมปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง
“ก็แล้วแต่นะ ฉันเตือนนายแล้ว” ร็อบบ์ยักไหล่ไม่ยี่หระแล้วเมินใส่ผม
หลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที แขนข้างขวาของผมก็ถูกกระชากออกไป ซึ่งคนที่กระชากไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเนวิลล์ ผมรีบกระชากกลับมากอดอกไว้ทันที
“บอกแล้วไงว่าไม่!”