บทที่7.คุณชายจ้าว

1675 Words
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” นางยืดตัวขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้แววซุกซน จ้องมองเขากลับไม่มีท่าทางหวาดกลัว “ข้าน้อยเข้าใจว่าท่านชอบพี่สาวมาก คงจะทรมานใจมิน้อยที่เห็นนางบาดเจ็บขนาดนี้ แต่ท่านเค้นถามข้าน้อยอย่างไร คำตอบของข้าน้อยก็เป็นเช่นเดิม”    ชายหนุ่มถลึงตามอง ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะใจกล้า! กล้าพูดแบบนี้กับเขาได้ ยิ่งท่าทางไม่ยอมใครของนางด้วยแล้ว ยิ่งทำให้นางไม่เหมือนหญิงชาวบ้านทั่วไป   เห็นเขากัดฟันข่มโทสะ นางก็ไม่อยากก่อกวนเขาเกินความจำเป็นนัก อย่างไรนางก็ไม่รู้จักเขาและคงไม่มีทางข้องเกี่ยวกับคนผู้นี้เป็นแน่ หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายยอมถอยให้ครึ่งก้าว นางได้หนังสือที่ต้องการแล้ว รอเพียงแค่ชุนเอ๋อร์มารับนางซึ่งป่านนี้ก็คงเช็ดตัวให้เคอหลิ่งหลินเสร็จแล้ว นางจะได้กลับเสียที   “แม่นางมู่ อุ๊ย! คุณชายจ้าว”  แค่คิด คนที่นึกถึงก็เดินเข้ามาตามพอดี ชุนเอ๋อร์เห็นคุณชายของบ้านก็ย่อตัวคารวะ ท่าทางนอบน้อมของชุนเอ๋อร์ทำให้มู่ฟางเหนียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางกวาดสายตามองบุรุษร่างสูงและเค้าโครงหน้าคมคายที่ถอดแบบมาจากแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ทว่ามีดวงตาอ่อนโยนดุจเดียวกับฮูหยินอี้ซิ่ว นางสูดลมหายใจลึกแต่ไม่แสดงท่าทางอะไร นางติดตามบิดารอนแรมรักษาคนไปทั่ว เจอทั้งยาจกและเศรษฐี คหบดีหรือราชนิกุล เรื่องกระตุกหนวดเสือนางก็ทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หากแต่ไม่เคยสังเกตใบหน้าของเขาจึงไม่สนใจจะคาดเดาฐานะของคนผู้นี้     แทนที่นางรู้ฐานะของเขาแล้วจะแสดงอาการนอบน้อมหรือตื่นตระหนก เขากลับเห็นเพียงแววตาสงบนิ่งและชินชา ราวกับเขาไม่ใช่บุคคลสำคัญให้ใส่ใจ โทสะที่สงบกรุ่นขึ้นมาอีก แต่ก็ต้องข่มไว้เพราะนางเป็นเพียงสตรี เขาไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกแม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ      “ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ”   นางแนบหนังสือไว้กับอก ย่อตัวคารวะแล้วมองทางชุนเอ๋อร์ที่มายืนรอรับนางแล้ว เพียงเท้าของนางก้าวพ้นธรณีประตู เสียงเรียกด้านหลังก็ทำให้นางชะงัก  “หนังสือนั่นท่านแม่ข้าให้เจ้ายืม เจ้าต้องเอามาคืนบนชั้นตามตำแหน่งเดิมและไม่ขาดหรือชำรุดแม้แต่แผ่นเดียว”  “ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ”                 นางตอบแล้วก็เดินตามชุนเอ๋อร์ออกไป พอพ้นประตูได้หลายก้าวแล้ว นางก็เบ้ปากนิดๆ ผู้ชายอะไร คิดเล็กคิดน้อยอย่างกับผู้หญิง เอาแต่ใจตนเองเหมือนพวกลูกคนเดียว เอ๊ะ! นิสัยนี้คุ้นๆ แฮะ เหมือนที่พี่สาวเคยพูดถึงน้องชายอยู่บ่อยๆ แต่คนผู้นั้นตัวโตออกปานนั้น อายุก็คงพอๆ กับพี่หลิ่งหลิน คงไม่ใช่น้องชายที่นางมักเล่าให้ฟังบ่อยๆ หรอกนะ                 “พี่ชุนเอ๋อร์” นางเรียกอย่างเกรงใจ ขณะเดินกลับไปที่ห้องพักของเคอหลิ่งหลินเพื่อหยิบล่วมยาเตรียมกลับบ้านพร้อมหนังสือในอ้อมอก                 “มีอะไรรึ” ชุนเอ๋อร์หันมาถามด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกเอ็นดูหญิงสาวอายุน้อยคนนี้เหมือนกัน                 “พี่สาว เอ๊ย! ท่านหญิงมีน้องชายหรือไม่เจ้าคะ”                 “น้องชาย?” ชุนเอ๋อร์ทำหน้าประหลาดใจกับคำถามที่ได้ยิน “คุณหนูเป็นลูกคนเดียว บิดาแท้ๆ ของนางปกป้องท่านแม่ทัพจนตัวเองตาย ท่านแม่ทัพจึงรับคุณหนูเป็นลูกบุญธรรม ไม่มีพี่น้องที่ไหน ยกเว้นคุณชายจ้าวจิ่นสือที่เจ้าเจอเมื่อครู่ คุณชายเป็นบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี้ซิ่ว เมื่อท่านแม่ทัพรับคุณหนูมาเป็นลูก ทั้งสองก็เปรียบเสมือนพี่น้องกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด”                 “เปรียบเสมือนพี่น้อง...คนผู้นั้นคงไม่ใช่น้องชายของ...” นางเริ่มทำหน้าไม่ถูก หวังว่าการคาดเดาของนางจะผิดพลาด                 “เรื่องนี้มีแต่คนในจวนเท่านั้นที่รู้ คุณชายพลั้งเผลอยอมให้คุณหนูเป็นพี่สาว ทั้งที่อายุห่างกันเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น” พูดแล้วชุนเอ๋อร์ก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ นางติดตามรับใช้คุณหนูมานาน เรื่องราวของนายนินทาไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับห้ามพูดถึง นางเพิ่งรู้สึกว่าคนที่เดินตามมาหยุดเดินจึงหันไปดู เห็นสีหน้าตกใจของมู่ฟางเหนียงแล้วก็อดถามไม่ได้ “มีอะไรรึ” “มะ..ไม่...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” นางยิ้มฝืดออกมาแล้วเดินตามชุนเอ๋อร์ ในใจว้าวุ่นยิ่งนัก อย่าบอกนะว่า...ชายผู้นั้นคือ ‘น้องชาย’ ของพี่สาวคนดีของนาง. ................  เจ้าของร่างบางนั่งก้มหน้าก้มตาตวัดพู่กันคัดลอกตำราอย่างไม่สนใจว่ามีคนเดินเข้ามาหยุดมองอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่เงยหน้าขึ้นมาง่ายๆ จึงกระแอมไอเรียกลูกสาวของตนเอง       “เหนียงเอ๋อร์” “ท่านพ่อ” มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมเป็นประกายมีแววประหลาดใจที่เห็นบิดายืนจ้องหน้านางอยู่ “ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ เอ...นี่เวลาใดกัน ลูกยังไม่ได้เตรียมอาหารเลย”   “สองวันมานี้ พ่อเห็นเจ้าตั้งหน้าตั้งตาคัดลอกตำราแทบทั้งคืนทั้งวัน เจ้าอยากได้ตำราแพทย์เล่มนี้จริงๆ รึ”  ผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าไปมา จริงอยู่ว่าฐานะของสองพ่อลูกจะซื้อหนังสือแต่ละเล่มนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่สามารถซื้อมาครอบครองได้ สองสามวันก่อน ลูกสาวไปดูอาการเคอหลิ่งหลินที่จวนแม่ทัพจ้าว ได้ตำราแพทย์มาสามเล่ม ได้ยินว่าฮูหยินอี้ซิ่วให้ยืมอ่าน จะคืนเมื่อใดก็ได้ แต่ลูกสาวของเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านและคัดลอกบางส่วนที่นางไม่เคยรู้มาก่อน  “ที่ผ่านมาเราสองคนพ่อลูกอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สองปีมานี้เราอยู่ติดที่ไม่ได้โยกย้ายไปไหน ลูกก็เลยอยากสะสมตำราแพทย์เหล่านี้ ทั้งความรู้ที่ท่านพ่อมี ข้าก็คัดลอกไว้เป็นตำราศึกษาทบทวนความรู้ แต่ท่านพ่อไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ถ้าถึงเวลาที่เราต้องเดินทาง ลูกจะเป็นคนแบกหนังสือเหล่านี้เอง”   มู่หยางซัวมองลูกสาวที่แย้มยิ้มราวกับไม่น้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองต้องระหกระเหินติดตามบิดาไม่ได้ความอย่างเขา  เขานั่งลงใกล้ๆ ลูกสาว ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว เป็นสาวสวยงดงามแต่ยังสวมเสื้อผ้าเก่าๆ เต็มไปด้วยรอยปะชุน มือทั้งสองก็หยาบกระด้างเพราะต้องช่วยงานเขาอยู่เสมอ  “ลูกขอโทษ” นางเอ่ยเสียงแผ่ว แล้ววางพู่กันในมือลง      “ขอโทษเรื่องอันใดกัน” ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วอย่างงุนงง     “ลูกควรจะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรกับท่าน ไม่ควรเอาแต่ขลุกอยู่กับการคัดลอกตำราเหล่านี้”     “พ่อไม่ได้คิดเรื่องนั้น” มู่หยางซัวส่ายหน้าไปมา “ลูกอยากอยู่ที่นี่ไหม”      “เราเดินทางกันมานานแล้ว ถ้า...ถ้าลูกอยากอยู่ที่นี่ พ่อจะลองปรึกษากับเศรษฐีกู่หลิน ขอผ่อนซื้อบ้านหลังนี้ให้เจ้าอยู่”      “ซื้อบ้านให้ลูกอยู่? แล้วท่านพ่อล่ะเจ้าคะ”       “พ่อก็อยู่กับเจ้านั่นแหละ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมา    “ก็ท่านพูดเหมือนจะให้ลูกอยู่คนเดียวนี่เจ้าคะ” นางเบ้ปากน้อยๆ “ท่านอยู่ไหน ลูกอยู่นั่น ยกเว้นท่านพ่อจะมีภรรยาใหม่แล้วไม่ให้ลูกอยู่ด้วย”     “เจ้านี่ก็ชอบผลักไสให้พ่อมีภรรยาเสียจริง”  “ก็ลูกเป็นห่วงท่านนี่นะ” นางหัวเราะออกมา ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เสียงร้องเรียกอยู่หน้าบ้านก็ดังขึ้น ครู่ต่อมาเจ้าของเสียงก็วิ่งถลาเข้ามาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ                 “พี่ฟางเหนียง”                 “มีอะไรรึเสี่ยวจิง” มู่ฟางเหนียงถามเด็กชายวัยสิบขวบที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา                 “วัว...วัวของข้ามันเจ็บท้องตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มันยังไม่ออกลูกมาให้ข้าเลย”                  “เจ้าตัวนั้นนะเหรอ” นางถามอย่างนึกได้ บ้านของเสี่ยวจิงอยู่ไม่ไกลนัก นางจำได้เพราะว่าเด็กชายมักมาคุยเล่นกับนางบ่อยๆ บางทีก็จูงมือนางไปดูวัวที่พ่อยกให้เขาเป็นของขวัญ                 “วัวของข้า วัวของข้า” เด็กน้อยได้แต่พูดซ้ำๆ ยกแขนขึ้นปาดน้ำตาจนแก้มเปื้อนเปรอะมอมแมมไปหมด                 “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวข้าจะไปดูเอง” นางจับมือเด็กน้อยแล้วลุกขึ้น “ท่านพ่อ เดี๋ยวข้ามานะ ท่านหิวก็อุ่นกับข้าวกินไปก่อนนะเจ้าคะ”                 มู่หยางซัวโบกมือไล่ให้นางรีบออกไป ไม่เช่นนั้นเด็กชายคงร้องไห้จนตาบวมปูดเป็นแน่ มู่ฟางเหนียงถูกเด็กชายจูงมือแล้วลากให้นางวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และตามประสาเด็กที่มักจะใช้เส้นทางลัดมุดรั้วบ้านผู้อื่น แม้ต้องคลานสี่เท้าคล้ายสุนัขก็ตามที หญิงสาวก็ยอมทำตามด้วยรู้ว่าเด็กน้อยร้อนใจนัก เขาหมายมั่นจะเป็นคนเลี้ยงวัว ตั้งแต่รู้ว่าวัวของตัวเองตั้งท้อง เขาก็ดูแลมันอย่างดีมาตลอด เห็นวัวท่าทางไม่สบายก็มาตามนางไปดู ทั้งที่ก็รู้ว่าเป็นหมอรักษาคน ไม่ใช่หมอรักษาวัว แต่เอาเถิด เด็กก็คือเด็ก เขามีความตั้งใจมุ่งมั่นดี นางก็ต้องสนับสนุนแม้ต้องคลานจนเจ็บเข่าอย่างนี้ พอพ้นรั้วก็แหวกกอหญ้าสูงท่วมศีรษะ แล้วก็ถึงเขตบ้านของเสี่ยวจิง เขาจูงมือนาง กำมือของนางแน่นราวกับกลัวว่านางจะหนีไปเสียก่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD