“คุณชาย” ชุนเอ๋อร์จะย่อกายคารวะ แต่จ้าวจิ่นสือยกมือห้ามไว้ก่อน
“มีอะไรก็ทำเถอะ ข้าแค่แวะมาดูอาการนางเท่านั้น”
“เมื่อครู่แม่นางมู่ก็เข้ามาตรวจดูอาการคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์รายงาน
“ท่านหมอไม่ได้มาตรวจเองรึ”
“เห็นว่าต้องไปรักษาคนเจ็บที่อื่น แม่นางมู่จึงมาดูอาการคุณหนูแทนเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มอยากถามอะไรต่อ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายคงจะเตรียมเช็ดตัวให้หญิงสาวที่หลับใหล จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ กำลังจะเดินออกไป ก็มองเห็นขนมจินเดในจานที่วางบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม
“หลิ่งหลินยังไม่ฟื้น ไยมีขนมของหวานในห้องนี้ได้” จำได้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดคนนี้โปรดกินขนมหวานนัก เรียกว่ากินแทนข้าวก็ยังได้
“เป็นของแม่นางมู่เจ้าคะ นางบอกว่าคุณหนูชอบขนมหวานนัก เผื่อได้กลิ่นจะได้กระตุ้นให้นางตื่นได้เร็วขึ้น”
ได้กลิ่นขนมนี่นะ? ความคิดแบบนี้เป็นหมอได้อย่างไรกัน?
เขาส่ายหน้าไปมาแล้วก้าวเดินออกไปอย่างเงียบๆ เดินตรงไปทิศทางที่หอตำราตั้งอยู่
จ้าวจิ่นสือปีนี้อายุครบยี่สิบปีเต็ม เขาคือบุรุษผู้ครอบครองใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ รูปงามคมคาย มีคิ้วเข้มเรียงเป็นระเบียบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เมื่อยามแย้มยิ้ม รอยยิ้มก็เรียกความสดใสมีชีวิตชีวาให้แก่ผู้พบเห็น แต่นั่นแหละทำให้เขามักต้องตีสีหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา เขาไม่ต้องการถูกมองเป็นหนุ่มสำอาง เขามีตำแหน่งรองแม่ทัพย่อมต้องการให้คนเคารพยำเกรงมากกว่า
เขาเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงผู้เกรียงไกร แต่บิดาไม่ค่อยให้เขาได้อยู่ในจวนใกล้ชิดนัก ยามเด็กเคยคิดว่าบิดาไม่รัก ผลักไสให้ใช้ชีวิตในเมืองหลวง ทว่าเมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนและฟังคำสอนของท่านแม่ จึงค่อยๆ เข้าใจว่าท่านพ่อต้องการให้เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ที่สำคัญต้องเก่งกาจด้วยความสามารถของตนเอง มิใช่เพราะเป็นลูกชายท่านแม่ทัพ นอกจากร่ำเรียนกับเหล่าราชนิกุลแล้ว ยังต้องฝึกฝนวรยุทธ์หนักหน่วง เขาเข้าสอบเหมือนคนทั่วไปไม่มีการเล่นเส้นสายใดๆ ไต่เต้าจนได้มาใกล้ชิดบิดาในตำแหน่งรองแม่ทัพเช่นนี้
เมื่อเดินไปหยุดที่หน้าบานประตูของหอตำรา เขาก็รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ภายใน ในใจก็นึกไปว่าท่านแม่ให้บ่าวไพร่มาทำความสะอาด เขาจึงผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่คิดเป็นอย่างอื่น ทว่าเมื่อกวาดสายตามองกลับไม่เห็นผู้ใด นอกจากหญิงสาวที่นั่งบนบันไดสำหรับปีนขึ้นไปหยิบตำราที่วางอยู่ชั้นบน ร่างเล็กจดจ่อกับหนังสือในมือราวกับตนเองเป็นตุ๊กตาปั้นประดับอยู่ในห้อง ไม่รับรู้ถึงการเข้ามาของเขา แสงจากหน้าต่างที่ลอดผ่านเข้ามากระทบเสี้ยวหน้านั้นให้ความรู้สึกละมุนตา เท้าของเขาก้าวเข้าไปใกล้ แต่กระนั้นร่างเล็กก็ยังไม่มีท่าทีที่จะสนใจเขา จนเมื่อเขาหยุดยืนเบื้องหน้าก้มมองว่านางอ่านอะไรถึงได้สนใจนักหนา เจ้าของร่างบางรู้สึกว่ามีเงาทาบทับที่หน้ากระดาษนางจึงรู้สึกตัว สายตาเลื่อนจากตัวอักษรในหนังสือพบรองเท้าคู่งามที่ตัดเย็บประณีต พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามีดวงตาคู่คมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“อ๊ะ!”
“เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้”
จ้าวจิ่นสือเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพียงนางเงยหน้าขึ้นเขาก็จำได้ว่าเคยเจอหญิงสาวผู้นี้มาก่อน นางติดตามท่านหมอมู่มารักษาเคอหลิ่งหลิน ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นบุตรสาวของท่านหมอชื่อ...ชื่ออะไรนะ
อารามตกใจ มู่ฟางเหนียงรีบลุกขึ้น แต่เพราะรีบร้อนจึงไม่ระวัง เท้าที่เหยียบขั้นบันไดนั้นพลาดจนนางหน้าคะมำไปด้านหน้า นางห่วงหนังสือในมือจึงกอดมันแน่น ดวงตากลมหลับปี๋ปะทะกับแผงอกกำยำดุจกำแพงหินเข้าเต็มแรง
จ้าวจิ่นสือมองกิริยาอาการของหญิงสาวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เจอผู้หญิงมารยาให้ท่ามาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งแสร้งทำเป็นของตก เดินสะดุดหกล้ม จู่ๆ เป็นลมล้มพับ มารยาเหล่านี้ช่างน่าเบื่อนัก และเขาก็คิดว่าหญิงสาวคนนี้ก็ลงทุนเจ็บไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้สะเทือนเลยสักนิด เห็นนางยังทรงตัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะอิงในอกของเขานานแค่ไหน จึงใช้สองมือจับไหล่สองข้างดันนางออกจากอกกว้างของเขา แล้วก็เห็นว่านางแนบหนังสือไว้กับอก หางตามีน้ำตาเม็ดเล็กใสเกาะอยู่
“ขออภัยเจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงรีบพูดออกมา มือหนึ่งกอดหนังสือไว้ อีกมือยกขึ้นลูบปลายจมูกน้อยๆ ของตัวเอง นี่นางชนแผงอกหรือกำแพงหินเข้าไปล่ะเนี่ย กระดูกเคลื่อนหรือเปล่าหนอ ดั้งน้อยๆ ของนางยังอยู่ดีหรือไม่นะ
“เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้” เขาถามซ้ำเป็นรอบที่สอง แล้วปล่อยมือจากไหล่ของนาง สายตามองพิเคราะห์หญิงสาวเบื้องหน้า แม้จะสวมเสื้อผ้าแบบเรียบๆ หากแต่สีซีดจาง มีรอยปะชุนอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียดนัก แต่...บ่าวไพร่ในจวนยังจะใส่เสื้อผ้าดีกว่านางด้วยซ้ำไป
“ข้าน้อยมาดูอาการท่านหญิง แล้วฮูหยินอี้ซิ่วอนุญาตให้เข้ามายืมหนังสือในหอตำราไปอ่านได้เจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ท่านแม่ของเขาใจดีเสมอ หากถูกชะตาใครเข้าไปแล้วก็รักใคร่เอ็นดูเสียหนักหนาจนคนเป็นลูกแอบน้อยใจเป็นบางครั้ง
“ในนี้ไม่ค่อยมีนิยายรักประโลมโลกหรอกนะ”
“เอ่อ...” นางอ้าปากค้าง เขาคิดว่านางอ่านหนังสือประเภทไหนกัน นี่นางอ่านตำรารักษาอาการบาดเจ็บของแพทย์ทหารอยู่หรอกนะ สายตาที่มองนางก็มีความดูแคลนอยู่ อย่าบอกนะว่า...เขาคิดว่านาง...
เขากอดอกมองหญิงสาว นี่คงจนปัญญาจะหาคำแก้ตัวเลยละสิ เขาได้แต่เค้นเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“เลือกหนังสือได้แล้วก็ออกไปสิ ข้าต้องใช้ห้องนี้”
“ข้าน้อยยังเลือกหนังสือไม่เสร็จ” พูดจาถ่อมตนแต่กลับกล้าถลึงตาใส่อย่างไม่กลัว แม้เขาจะสูงใหญ่กว่านางนัก
“แล้วท่านเข้ามาใช้ห้องนี้ ได้รับอนุญาตจากจ้าวฮูหยินแล้วรึ”
“ข้า...” คราวนี้เป็นเขาที่พูดไม่ออก เรื่องต่อปากต่อคำกับสตรีเขาไม่ถนัดนัก ผู้หญิงสองคนที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติและไม่ต้องระวังอะไรนักก็คือท่านแม่และเคอหลิ่งหลิน ครั้นจะโต้เถียงกับนางก็ใช่เรื่อง ซ้ำร้ายดูท่าทางนางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขากัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะแสร้งทำดุดันไปอย่างนั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเร็วๆ แล้วรีบๆ ออกไปเสียสิ”
“แล้วตกลงท่านได้รับอนุญาตแล้วรึ” นางยังอยากเอาชนะเขาอยู่ด้วยการโต้เถียงแบบเด็กๆ
“เอาเป็นว่าข้าได้รับคำสั่งจากท่าน...แม่ทัพให้มาที่นี่ก็แล้วกัน” เกือบจะหลุดปากเรียกท่านพ่อออกมาแล้ว
“คงโดนลงโทษละสิ” นางพึมพำแล้วหมุนตัวเลือกหยิบตำราแพทย์อีกสองเล่มมาไว้ในอ้อมแขน
“อะไรนะ” เขาได้ยินชัดแต่ก็ยังแสร้งทำเป็นได้ยินไม่ชัด
“ได้ยินหรือเจ้าคะ” นางหันมาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วนางก็กลั้นหัวเราะ “หน้าตาไม่เต็มใจมาแบบนี้ ต้องโดนลงโทษมาแน่ๆ”
“เจ้านี่มัน!” จะพูดว่าสู่รู้เกินไปแต่ก็ไม่อยากพูด จะกลายเป็นผู้ชายปากร้ายต่อว่าผู้หญิงที่ไม่รู้ฐานะของเขาได้
“เอาเถอะ ท่านโชคดีนักที่ได้มีโอกาสเล่าเรียนและได้มีหนังสือดีๆ มากมายให้เลือกอ่านเช่นนี้”
“แล้วเจ้าล่ะ อ่านหนังสือออกด้วยรึ”
“ถึงข้าไม่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาแต่ท่านพ่อก็สอนอ่านเขียนนะเจ้าคะ” นางพูดด้วยความภูมิใจ อย่างน้อยนางก็รู้หนังสือเพราะบิดาของตน
จ้าวจิ่นสือมองนางอย่างประเมินแล้วลองสอบถาม “เจ้ารู้จักหลิ่งหลินได้อย่างไร”
“หลิ่งหลิน?” นางทวนคำแล้วก็นึกได้ “ท่านหมายถึงเคอหลิ่งหลินใช่หรือไม่”
“อืม...” อยู่ข้างนอก พี่สาวซุกซนคนนี้คงใช้แซ่เดิมของนาง
“ตอนนั้นข้าแอบหลบท่านพ่อขึ้นเขาไปหาสมุนไพร หลงป่าอยู่สามวันสามคืน บังเอิญพี่หลิ่งหลินมาพบข้าเข้าได้ช่วยชีวิตข้าไว้และพาข้าไปส่งที่บ้านอย่างปลอดภัย นับแต่นั้นก็ได้พบพี่สาวบ่อยๆ เจ้าค่ะ แต่มิรู้ว่านางเป็นลูกบุญธรรมแม่ทัพจ้าว”
“พี่สาว? ท่าทางเจ้าสนิทสนมกับนางนะ”
“ก็...” นางอึกอักคิดคำตอบ จะบอกว่าสนิทสนมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะนางเองก็เพิ่งรู้ว่าเคอหลิ่งหลินเป็นลูกบุญธรรมแม่ทัพจ้าว แต่ถ้าพูดไม่ว่าสนิทนางก็พลั้งปากเรียก ‘พี่สาว’ อยู่หลายครั้ง
“เจ้าเรียกนางว่าพี่สาว คงสนิทสนมในระดับหนึ่ง” เขาหรี่ตามองอย่างประเมิน “ทำไมนางถึงบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้”
“เรื่องนั้น” นางเม้มริมฝีปากแน่นจนเรียบตึง จำได้ว่าก่อนที่เคอหลิ่งหลินจะออกไปนำไข่มุกหมื่นราตรีมารักษาคุณชายเฉิน นางถึงกับบังคับให้ผู้อารักขาคุณชายให้คำสัตย์สัญญาว่าจะไม่บอกใคร แล้วนางก็ยืนอยู่ตรงนั้น จะให้นางพูดได้อย่างไรกัน
“ขออภัย ข้าน้อยไม่ทราบเรื่องนั้นจริงๆ”
“ไม่ทราบหรือไม่พูด” เขายกมือขึ้นกอดอก ปรายตามองหนังสือในอ้อมอกของนางที่กอดไว้อย่างหวงแหน