บทที่ ๓ วันแรกก็เจอเลย

1989 Words
บทที่ ๓ วันแรกก็เจอเลย รุ่งเช้าของวันแต่งงานยังเป็นช่วงลาพักร้อนของครูสาว รวมถึงพักการสอนมวยไทยอันเป็นอาชีพสำรองของหล่อนในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย แม้จะจ้างครูมาช่วยสอนมวยไทยอีกคนเมื่อนักเรียนมีจำนวนมากขึ้นก็ตาม แต่หล่อนไม่เคยปล่อยให้เขาสอนเด็กลำพัง เมื่อหล่อนลาพักเพื่อจัดการชีวิตหลังแต่งงานให้ลงตัวก่อนกอปรกับคอร์สมวยไทยนั้นสอนจบตามเป้าไปอีกรุ่นแล้ว จึงหยุดพักการรับศิษย์ใหม่ไว้ชั่วคราว ช้องนางใช้ทางลัดตรงท่าน้ำเพื่อกลับไปขนเสื้อผ้าบางส่วนมาไว้ที่เรือนหอ หล่อนรู้ว่ายายมาลัยไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ใจจริงแล้วยายมาลัยคงอยากให้หล่อนกลับไปอยู่ที่บ้านมากกว่าการย้ายข้าวของมาอยู่กับพระแสง แต่เพราะเกมที่เริ่มไว้นั้นจะต้องทำให้สมจริงสมจังที่สุด เผื่อวันดีคืนดีนักแสดงสาวคนนั้นหรือสาวคนไหนบุกมาหาพระแสงถึงบ้านจะได้รู้ว่างานแต่งงานที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงเขามีเมียจริงและอยู่กับเหย้าเฝ้าเสาเรือนบ้านเขาจริง มันจะสมจริงได้ยังไง แค่เห็นฉันนั่งบนเตียงหลานชาย แกก็ถลึงตาใส่แล้ว หากไม่ติดว่าพระแสงอยู่ด้วย คาดว่าแกจะกระโจนมากระชากฉันทิ้งข้างเตียงชัวร์ “ไม่ต้องช่วยหรอก เสื้อผ้าของใช้นิดๆ หน่อยๆ” หล่อนบอกเพราะพระแสงเดินตามมาด้วย “ไม่ได้มาช่วย แค่เบื่อยายบ่น มาคุยกับช่อม่วงน่าจะสบายหูกว่า” ช้องนางแทบสะดุดกอหญ้ากับคำพูดตรงๆ ของพระแสง และยิ่งคิดมากไปใหญ่เมื่อคิดว่าพระแสงชอบช่อม่วงมากกว่าตน ชอบขนาดขอชื่อไปตั้งเป็นชื่อร้านอาหารให้ยาย คงคิดถึงอนาคตหากได้ลงเอยกันจริงแล้วสืบทอดกิจการของยายมาลัย ชื่อเจ้าของกับชื่อร้านจะได้เป็นชื่อเดียวกัน แค่คิดเองเออเองก็เจ็บเองแล้ว “ช่ออาจไปสอนหนังสือแล้ว” “อ้าว! คิดว่าลา” “มันจะลาทำไม ไม่ได้แต่งงานเองเสียหน่อย” “เอ้า! ใครจะไปรู้ ว่าแต่ทำไมต้องพูดเสียงดังด้วย” “ขอโทษ” หล่อนอาจพูดเสียงดังโดยไม่รู้ตัวจึงต้องรีบขอโทษ และมักเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาเอ่ยถึงบุคคลที่สามโดยเฉพาะเป็นผู้หญิงที่คิดว่าเขาชอบพอหรือมาชอบพอเขา ใช่ หล่อนคิดว่าเขาชอบช่อม่วง ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามไปเรียนต่อเมืองนอก แม้ต่างสอบชิงทุนได้ก็ตามที พระแสงกับช่อม่วงไปเรียนต่อที่เดียวกัน แม้ที่พักจะห่างกันแต่เขาแวะเวียนมารับส่งช่อม่วงบ่อยครั้ง จนเมื่อหล่อนไปเที่ยวและถือโอกาสไปเยี่ยมน้องแทนพ่อแม่ก็ได้พระแสงเป็นคนพาตะลุยราตรี จนเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น “จ๊ะเอ๋! แม่ช้อน” “ว้าย! แม่ร่วง!” ช้องนางยกมือทาบอก ตกใจกับการถูกเด็กชายมังกรวิ่งมาดักหน้า “โอ๋ๆ แม่ช้อนยังไม่ร่วง ไม่ต้องตกใจนะครับ” เด็กน้อยวิ่งเข้ามากอดแต่ช้องนางรีบดันศีรษะไว้ แล้วนั่งยองๆ ลงไปถาม “มากับใครแต่เช้าเลยลูกมังกร” “มากับยายจ๋า มาดูหน้าพ่อเลี้ยง” เด็กชายวัยห้าขวบบอกชัดถ้อยชัดคำ แล้วหันไปจ้องพระแสงก่อนจะไหว้โดยไม่ต้องมีใครสั่ง “พ่อเหรอครับ” “ไม่ใช่ นี่ลุงพระแสง แล้วบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกฉันว่าแม่ ฉันไม่ใช่แม่แก” ช้องนางอดมองพระแสงไม่ได้ กลัวเขาเข้าใจผิดและคิดอกุศล เด็กชายมังกรโผเข้ากอดคอช้องนางแล้วพูดเบาๆ “แม่ช้อนไม่ต้องอายหรอกที่มีลูกไม่มีพ่อ ลูกมังกรยังไม่อายเลยที่มีแม่เป็นสาวแก่” เด็กเป รต ใครสอนให้พูดวะ “ขำอะไร” หล่อนหันไปแหวใส่สามีหมาดๆ ของตนที่กำลังกลั้นเสียงหัวเราะจนมีเสียงกึกกักในลำคอ ครั้นถูกแหวแทนที่เขาจะหยุดกลับหัวเราะออกมาดังๆ “นี่จะหัวเราะทำไมนายพระแสง” “ใช่ อย่าหัวเราะแม่ช้อนของลูกมังกรนะครับ” เด็กน้อยไม่พูดเปล่า แต่ขยับไปใกล้ทุบชายหนุ่มที่กำลังยืนหัวเราะรัวๆ “อะไรกัน” เสียงบุคคลที่สามดังขึ้น หยุดทุกคนได้ชะงัด แล้วต่างหันไปมองเป็นตาเดียว มังกรถอยห่างชายหนุ่มแล้ววิ่งไปหาเจ้าของเสียงจากนั้นก็เริ่มฟ้อง “ยายจ๋า พ่อคนนี้เขาหัวเราะแม่ช้อนของลูกมังกร เขาหัวเราะทำไมหรือครับ” “อ้าว! แล้วยายจะรู้ไหมละ”อุไรย่อตัวลง จับไหล่สองข้างของหลานชายแล้วถาม “เดี๋ยวๆ นะ ใครบอกให้เรียกลุงพระแสงว่าพ่อ นี่ลุงพระแสงแฟนป้าช้องของเรา จำไว้นะ” “ยายบอกว่าห้ามโกหก แล้วทำไมยายพูดโกหกละครับ นี่แม่ช้อน” ชี้ไปทางช้องนาง “นี่แฟนแม่ช้อนก็ต้องเรียกพ่อสิครับ” ชี้พระแสงที่กำลังทำหน้าเหวอ คนถูกชี้รีบส่งสายตาคาดคั้นใส่ช้องนาง หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ แล้วเดินมาใกล้เด็กชายตัวน้อยที่กำลังก่อปัญหาบางอย่างให้หล่อน “ฟังนะเจ้าดื้อ ที่ป้ายอมให้เรียกแม่เพราะเห็นแก่ลูกมังกรยังเด็กไม่รู้ประสีประสา แต่ไม่ได้หมายความว่าป้าเป็นแม่เรานะ” “เรียกยังไงก็ปล่อยแกเถอะคุณช้อง” พระแสงรีบตัดบทเมื่อเห็นว่าเจ้าคนถูกดุกำลังจะปล่อยโฮออกมา พร้อมเดินมาอุ้มเข้าเอว “เรียกพ่อพระแสงก็ได้ถ้าหนู เอ่อ ถ้าลูกมังกรอยากเรียก ตกลงมั้ยครับ”เขายิ้มแต่เด็กน้อยกลับส่ายหน้าแล้วดิ้นลงไปยืนบนพื้น “ไม่เป็นไรครับ แม่ช้อนบอกให้เรียกลุง ลูกมังกรก็ต้องเรียกคุณลุงครับ ลูกมังกรเคารพการตัดสินใจของแม่ช้อนครับ” ‘หูย พูดเสียหล่อเลย หลานฉัน’ ช้องนางคิดในใจแต่ขำไม่ออกเพราะคนได้เป็นคุณลุงกำลังส่งสายตาดุมาหาหล่อน ประหนึ่งตำหนิว่าหล่อนบีบบังคับกดขี่ข่มเหงจิตใจหลานก็ไม่ปาน “เออ ตามใจมันเถอะ” อุไรตัดบท แล้วถามลูกสาว “แล้วนี่กลับมาทำอะไรแต่เช้า” “หนูมาเอาของใช้ส่วนตัว เมื่อวานยังไม่ได้ขนไปเลย ว่าแต่ทำไมแม่มาแต่เช้าเลย ไปเข้าบ้านเถอะจ้ะ” ชวนคุยแล้วชวนเดินกลับบ้าน พระแสงกับเด็กชายตัวน้อยเหมือนจะมองคุมเชิงกันอยู่ ก่อนคนอายุมากกว่ายอมยิ้มให้ก่อนแล้วส่งมือให้ เด็กชายช่างพูดมองมือใหญ่เพียงครู่ก็ส่งมือเล็กไปจับ แล้วเดินตามเขาทันที ช้องนางหันมาเห็นภาพชายหนุ่มจูงเด็กชายมังกรถึงกับอึ้ง เช่นเดียวกับอุไรที่หันมาเช่นกัน “เข้ากันได้ดีก็ดีนะ เผื่อจะได้รับมังกรมาอยู่เสียด้วยกัน เด็กยิ่งโตยิ่งอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์” “ทำไมพูดแบบนี้ละแม่ แล้วทำไมต้องมองหนูแบบนี้ ก็หนูบอกแล้วว่า” ช้องนางพูดไม่จบเพราะแม่เดินหนีไปไกลแล้ว ในขณะที่พระแสงกับมังกรเดินใกล้เข้ามา และสายตาที่เขามองหล่อนก็เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ใช่อย่างที่คิดกันนะว้อย ช้องนางกำลังจัดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าเดินทางใบเล็ก หล่อนคิดว่าไม่ต้องขนไปมากมายนักเพราะอยู่ใกล้แค่นี้หากต้องการเสื้อผ้าชุดไหนก็วิ่งกลับมาเอาได้ อีกอย่างก็คิดว่าคงต้องกลับมานอนเฝ้าบ้านบ้างเพราะไม่ชอบบ้านที่ปิดเอาไว้นานๆ โดยไม่มีคนอยู่อาศัย หล่อนคิดว่าจะกลับมานอนเป็นเพื่อนเวลาที่ช่อม่วงกลับมานอนบ้าน ซึ่งตามปกติจะมาทุกวันหยุดเพื่อซักรีดเสื้อผ้าและทำอาหารกลับไปไว้กินที่หอพัก บ่อยครั้งที่ช่อม่วงทำอาหารจำนวนมากเพื่อนำกลับไปฝากเพื่อนๆ ด้วย จนหล่อนอยากรู้ว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใครและใช่คนพิเศษของน้องหรือไม่ “บอกความจริงผมได้ไหม” พระแสงเดินเข้ามาแล้วนอนเอกเขนกบนเตียง ช้องนางที่นั่งพับเสื้อผ้าอยู่ข้างเตียงเงยหน้ามอง สายตาที่จ้องมานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและรอคอย “เรื่องอะไร” “เด็กนั่น” เขาบอกเสียงค่อยลงเพราะประตูห้องนอนยังเปิดอ้าอยู่ ซึ่งคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าเดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต “ลูกใคร” “แม่ช้อน มีขนมเหมือนที่พี่ช่อเอาไปให้ลูกมังกรอีกไหมครับ” เจ้าตัวเล็กเข้ามาถามขัดจังหวะ “ไม่มีแล้ว ป้าฝากไปให้ทั้งหมดแล้วนี่ ทำไม ชอบหรือไง” “ชอบครับ มันอร่อยมาก แต่ยายจ๋ากับตาจ๋าบอกว่า กินขนมหวานๆ แมงจะกินฟัน ต้องรีบแปรงฟันให้สะอาด แล้วถ้ากินเยอะก็อ้วนลงพุง โตขึ้นจะไม่หล่อเดี๋ยวหาเมียไม่ได้ต้องขึ้นคานแบบแม่ช้อน” พระแสงหัวเราะก๊าก แล้วรีบเอามืออุดปากเพราะคนถูกกระทบเรื่องขึ้นคานหันมามองตาเขียวอีกอย่างเขาอยากฟังว่าช้องนางจะรับมือกับเด็กชายช่างเจรจาคนนี้อย่างไร “มานั่งนี่” ช้องนางตบพื้นข้างตัว เจ้าเด็กน้อยรีบมานั่งลงอย่างว่าง่าย ช้องนางจับไหล่บอบบางเล็กกระจ้อยร่อย แล้วเลื่อนมาลูบผมสีน้ำตาลอ่อน เหตุที่มังกรมีผมสีอ่อนคงเพราะจำนวนเส้นผมที่น้อยหรือเรียกว่าผมบางนั่นเองไม่ใช่สีอ่อนเพราะเลือดผสมแต่อย่างใด “ฟังนะ คำว่าขึ้นคานเขาใช้กับคนที่ไม่ได้แต่งงาน แต่ป้าแต่งงานแล้วใช้ว่าขึ้นคานไม่ได้” “อ๋อ แม่ช้อนเป็นสาวแก่ที่แต่งงานแล้วหรือครับ” ช้องนางหันขวับไปค้อนพระแสง เพราะเขากำลังกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง “ทั้งสาวแก่ ทั้งขึ้นคาน มันใช้กับป้าไม่ได้แล้วจำไว้นะ เพราะป้าแต่งงานแล้ว และนี่ลุงพระแสงสามีป้า เข้าใจมั้ย” มังกรจ้องตาหล่อน แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งกลั้นหัวเราะอยู่บนเตียง แล้วกลับมาจ้องตาหล่อนอีกครั้งพร้อมส่ายหน้า “อ้าว!” ทั้งช้องนางทั้งพระแสงร้องขึ้นพร้อมกันก่อนที่เด็กชายมังกรจะโผเข้ากอดคอช้องนาง “ลูกมังกรรักแม่ช้อนครับ แม่ช้อนอย่าโกหกลูกมังกรเลย คนกินขนมหวานเยอะๆ ก็ต้องอ้วน ลูกมังกรจะกินน้อยๆ ครับ ลูกมังกรไม่อยากเป็นสาวแก่” เสียงหัวเราะของคนนั่งบนเตียงดังคับห้อง จนเจ้าตัวอาจเกรงใจจึงรีบวิ่งออกไปหัวเราะหน้าห้องแทน “จะหัวเราะทำบ้าอะไร ไม่ตลกเสียหน่อย หยุดหัวเราะนะ หยุด” ช้องนางตะโกนตามหลัง อยากผลักเจ้าเด็กพูดจาแก่แดดแก่ลมนี่ออกห่างนัก แต่ทำได้แค่คิดเพราะมันกอดหล่อนแน่นขึ้นพร้อมพูดกรอกหูในคำที่กอดไม่ลง “ลูกมังกรรักแม่ช้อนครับ รักที่สุดในโลกเลย แม่สาวแก่ของลูก” มันเป็นความผิดของหล่อนเองตั้งแต่แรก ที่ยอมรับชีวิตน้อยๆ มาในครอบครัว แต่หล่อนเป็นผู้หญิงที่ไม่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่หรืออาจยังไม่มีในตอนนั้น ทำให้เลี้ยงเด็กไม่เป็น จึงต้องหอบหิ้วทารกน้อยไปให้แม่เลี้ยง แม้จะบอกว่าเป็นลูกของรุ่นน้องที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมและไม่อยากให้ทำบาปด้วยการทำแท้งจึงเสนอว่าจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้เอง แต่ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อคำพูดหล่อนเลยต่างมอบความรักความเอ็นดูให้มังกรเพราะเชื่อว่าเป็นลูกหล่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD