บทที่ ๔ มันน่าหึงไหมละ
ช่อม่วงแปลกใจที่เห็นพี่สาวซึ่งเพิ่งแต่งงานหมาดๆ วิ่งมาเปิดประตูรั้วเพื่อให้ตนนำรถเข้าไปจอดในบ้านโดยไม่ต้องลงมาเปิดเอง และจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งหากช้องนางอยู่ใกล้หรือเห็นตนขับรถมา แต่ตอนนี้ช้องนางแต่งงานแล้ว เวลานี้ควรอยู่กับครอบครัวในโต๊ะอาหารค่ำมิใช่หรือ ทว่าก่อนช้องนางจะถึงประตูพระแสงที่เดินมาทางถนนหน้าร้านช่อม่วงก็ถึงก่อนแล้วเปิดประตูให้
ช้องนางรีบหลบไปด้านข้างเมื่อเห็นประตูรั้วเปิดออกโดยสามีของตน แน่นอนหล่อนย่อมคิดมากในความอาทรเช่นนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่หยิบยื่นความช่วยเหลือตรงหน้า แต่เขาอุตส่าห์วิ่งมาจากบ้าน หล่อนไม่รู้ว่าเขาออกมาทำไมที่หน้าร้านแต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องอารีน้องเมียขนาดนี้ก็ได้
“ให้พี่ล็อกรั้วเลยมั้ย” หล่อนถามเมื่อช่อม่วงลดกระจกลง
“ค่ะ น้องค้างที่นี่ ขอบคุณนะคะ” แล้วเคลื่อนรถไปจอดในที่ทางของมัน
ช้องนางเดินไปล็อกประตูรั้วที่พระแสงกำลังปิดโดยตัวเขาอยู่ด้านใน
“มาทำไม เดี๋ยวยายมาลัยก็เรียกหาอีก”
“ทำไมต้องพูดเสียงดัง อยู่ใกล้แค่นี้เอง” เขาติง นั่นทำให้ช้องนางรู้ตัวว่าเผลอพูดเสียงแข็งออกไป หล่อนยอมรับว่าเพราะความหึงหวงทำให้เป็นเช่นนี้จากเมื่อก่อนไม่เคยคิดอะไรแต่พอรู้จากปากช่อม่วงว่าพระแสงอาจชอบตนจึงขอใช้ชื่อเป็นชื่อร้านอาหาร ตั้งแต่นั้นมาก็อดหึงหวงไม่ได้
“โทษที มันติดนิสัยเวลาตะโกนกลางสนามนะ” หล่อนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แล้วล็อกประตูแต่พระแสงช่วยจัดการจนเสร็จเป็นการบอกกลายๆ ว่าจะไม่กลับออกไปทางหน้าบ้านแล้ว
เขาคงอยากคุยกับช่อม่วง แต่หล่อนไม่ได้ยินดีเลย
“ทำไมไม่กลับไป เดี๋ยวยายก็ได้มาตามอีกหรอก”
“ยายให้มา”
“จริงดิ!” แน่นอนแปลกใจมาก พระแสงพยักหน้ารัวๆ พร้อมบอกเสียงเข้มแต่เบากริบ
“ตะโกนอีกแล้ว อยากให้คนรู้หรือไงว่าผมอยู่ที่นี่”
“ใคร” เสียงเบาเท่ากัน แต่จิกตามองเค้นความจริง
“ดา” เขาบอกสั้นๆ แล้วรีบเดินไปหาช่อม่วงที่ลงจากรถแล้วยืนรีรออยู่
“เดี๋ยวๆ ดาไหน ดาริกานะเหรอ” หล่อนตามมารั้งแขนเขาไว้
“อือ ไม่ใช่กานดาเพื่อนคุณหรอกน่า”
“กานดามาเกี่ยวอะไรด้วย” นึกถึงเพื่อนสนิทที่กำลังจะตามสามีไปอยู่ต่างประเทศ ขานั้นก็ชิงมีผัวก่อนเพื่อนร่วมรุ่นทว่าไม่มีทายาทสักที แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาให้นึกถึงเพื่อนสนิท หล่อนจึงถามต่อ “นังนั่นมาทำไมอีก โทรมาแต่เช้าแล้ว ค่ำแล้วยังมาหาอีกหรือ ชอบยุ่งกับผัวชาวบ้านไม่กลัวเป็นข่าวหรือไง” หล่อนค้อนให้แต่เจอสวนกลับ
“ผัวใคร”
“นายพระแสง!”
“มีข้าวให้น้องกินไหมพี่ช้อง” ช่อม่วงตะโกนถามขัดจังหวะ แม้ไม่ได้ยินว่าสองคนคุยอะไรกัน แต่ท่าทางไม่ได้คุยภาษาดอกไม้ตามประสาคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันแน่นอน
“มีๆ พี่รอกินอยู่นี่ไง” ช้องนางบอก
“ผมด้วย” พระแสงเสริม แล้วรีบดึงมือช้องนางให้เดินต่อ เพราะไม่อยากพูดคุยถึงบุคคลที่สามแล้ว แม้หล่อนจะต่อต้านขืนตัวแต่ไม่อาจทานแรง
“คิดว่าต้องอยู่กินข้าวกับยายมาลัยเสียอีก” ช่อม่วงว่า
“ปกติก็กินไม่พร้อมกันอยู่แล้ว” เขาบอกพร้อมยิ้มเจื่อนๆ เพราะต่างรู้ดีว่าทำไม จนช่อม่วงต้องเผลอยิ้มไปด้วย
ช้องนางเดินผ่านสองคนเข้าประตูไปอย่างขุ่นมัวในอารมณ์ห้ามใจไม่ให้หึงหวงมันยากยิ่งนัก ตามมาด้วยเสียงจานชามกระทบกันดังครั้งแล้วครั้งเล่า ช่อม่วงจึงลอบยิ้มแล้วสบตาพี่เขยหมาดๆ ของตน
“พี่ช้องคงไม่หึงช่อนะ” ทำท่ากระซิบกระซาบแต่โชคไม่ดีที่ช้องนางหันมาเห็นพอดี จานในมือจึงวางลงบนโต๊ะแรงกว่าปกติ
“เดี๋ยวจานก็แตกหมดพอดี” พระแสงว่าแล้วแย่งทำเสียเอง ส่วนช่อม่วงรีบวางของแล้วไปล้างมือ กลับมาที่โต๊ะก็เห็นพี่สาวนั่งหน้าตูมอยู่แล้ว
“กับข้าวน่ากินจัง” ก้มลงหอมแก้ม แล้วกระซิบเบาๆ “อย่าหึงน้องเลย น้องไม่ได้คิดอะไรกับพระแสงจริงๆ”
“เราไม่คิดแต่มันคิด”
“ตบมือข้างเดียวไม่ดัง น้องยืนยัน”
“แต่ตบกับหน้ามันดัง”
“อะแฮ่ม!” ผู้ชายคนเดียวในที่นี้ทำเสียงขัดจังหวะ หลังสองพี่น้องกระซิบกระซาบกันนานเกินควร ช่อม่วงจึงหัวเราะเบาๆ แล้วนั่งลงที่ของตน
“กินแล้วนะคะ ของน่ากินทั้งนั้น”
“แม่ทำไว้ตอนกลางวัน” ช้องนางบอกเรียบๆ แล้วลงมือกิน แต่ไม่ได้มีความสุขกับของอร่อยเช่นน้องสาว เพราะสามีหล่อนทำหน้าที่สุภาพบุรุษตักกับข้าวให้ช่อม่วงครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้องค้อนส่ง
ฉันละ ฉันก็หิวก็กินเป็นนะ ทำไมไม่ตักให้