“ฟู่ว”
ทันทีที่เสียงปิดประตูรถดังขึ้น ชินกรก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากที่ผุดซึมขึ้นมาตั้งแต่ณิชาเห็นเขา
เกือบถูกเด็ดหัวออกจากบ่าแล้วมั้ยล่ะ
“นายเกือบทำตัวเองซวยแล้ว”
“ผมขอโทษค้าบคุณเรน”
“บอกแล้วเห็นมั้ยว่าไม่มีอะไร หมอนั่นไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้แล้วว่าเธอคือผู้หญิงของนาย”
เลขาสาวอย่างเรนกอดอกเชิดหน้าใส่อย่างมั่นใจ เพราะเธอมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าต่อให้เทียนอยากจะฉวยโอกาสใกล้ณิชามากแค่ไหน แต่ก็คงทำได้แค่สัมผัสเธอเพียงผิวกายเท่านั้น
หากทำเกินเลยมากกว่านี้อัคคีราห์ก็คงไม่ปล่อยเขาไว้เหมือนกัน
“ใครจะไปรู้มันดูโรคจิตขนาดนั้น” ชินกรไหวไหล่แต่สายตายังคงมองลอดผ่านฟิล์มทึบของรถ ตรงไปยังร้านของเทียนที่อยู่ตรงกันข้าม
“แล้วคุณเกล้ากาญได้บอกอะไรบ้างหรือเปล่า”
“มันเป็นความลับขององค์กรนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เรนส่ายหน้าแล้วเหลือบสายตามองมือถือที่สั่นคลอน เธอรีบคว้ามันขึ้นมากดรับสายทันทีที่ปรากฏเป็นเบอร์ของอัคคีราห์
“ค่ะ คุณอัคคีราห์” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปตามสาย นั่นเลยทำให้ชินกรปิดริมฝีปากแล้วตั้งใจฟังด้วยอีกคน
( แม่นั่นเป็นบ้าเหรอวะ ไปลากตัวออกมา ) เสียงตวาดดังลั่นออกมาจากปลายสาย จนชินกรยังสะดุ้งตามไปด้วย
“จะให้ฉันบอกเธอว่ายังไงคะ เมื่อกี้นี้เธอเกือบจะรู้ตัวแล้วด้วยว่าพวกเราแอบตามเธอตลอด”
( ไปบอกเธอว่ามาจากฉัน )
“ดูเหมือนว่าเธอจะเชื่อใจผู้ชายคนนั้นมากนะคะ แค่คำพูดเราคงไม่พอหรอกค่ะ”
น้ำเสียงของเรนฟังดูไม่มั่นใจ ก่อนจะมีเสียงลมหายใจเพลิงจากอัคคีราห์ดังขึ้นจากปลายสาย เป็นสัญญาณเตือนว่าเขากำลังอารมณ์เดือดดาลเต็มประดา
( ไปลากตัวเธอออกมา นี่คือคำสั่ง )
ปลายประโยคราบเรียบแต่แฝงด้วยอารมณ์โกรธ ยังคงทำให้เรนหวั่นใจ เพราะยังไงเธอก็เชื่อว่าณิชาจะต่อต้านเจ้านายตัวเองแน่นอน
ทั้งคู่เหมือนคนหัวรั้นมาเจอกัน นั่นเลยทำให้ต้องปะทะคารมกันอยู่ทุกครั้งที่เจอหน้า
มันเป็นไปอัตโนมัติเหมือนมีคนตั้งระบบเอาไว้
“แต่ไหนนายบอกว่าไม่ให้ติดตามแบบโจ่งแจ้งไงคะ เมื่อกี้ก็เกือบถูกจับได้แล้ว”
( เกล้ากาญยืนยันว่ามันคือตัวอันตราย อย่าให้ณิชาเข้าใกล้มันเด็ดขาด )
สิ้นประโยคนั้นเรนกับชินกรก็ถึงกับหันมองหน้าอย่างรู้กัน ร่างกายกระฉับกระเฉงทันควันเตรียมพร้อมทำงานทันที
“ได้ค่ะนาย” เรนขานรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
( พาตัวเธอมาให้ฉัน ..แม่นั่นควรจะกลัวไว้ซะบ้าง )
“ค่ะนาย”
สุดท้ายเรนก็ต้องทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอรีบลงจากรถแล้วตรงไปยังร้านของเทียน ทว่าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ณิชาเดินออกจากร้านมาพอดี
ยามสายตาของหญิงสาวสบประสานกัน ณิชาก็เผลอก้าวถอยหลังอัตโนมัติเมื่อด้านหลังเรนคือชินกร นั่นแปลว่าเธอคาดเดาไว้ถูกต้องตั้งแต่แรก ว่ามีคนของอัคคีราห์กำลังแอบตามเธออยู่
“พวกคุณ.. เป็นคนของอัคคีราห์สินะ” ณิชาหลับตาปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อจับไต๋พวกเขาได้แล้ว
ทว่าตอนนี้เรื่องนี้มันไม่ใช่ประเด็น เพราะเรนจำเป็นต้องพาตัวเธอไปหาอัคคีราห์ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา
ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม..
“ถ้าไม่อยากให้มีใครเจ็บตัวก็ไปกับพวกเราเงียบๆ เถอะค่ะ ไม่งั้นฉันไม่รับประกันว่าคนของคุณจะปลอดภัย” ประโยคเชิงขมขู่ทำเอาชินกรที่เดินตามหลังมาเข้ายืนประกบขนาบข้างเธอ พลางเสตามองให้เรนเปลี่ยนวิธีการเกลี่ยกล่อม
“เรน” ชินกรขมวดคิ้วมุ่น แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนยันจะใช้วิธีการของตัวเองดังเดิม
“อย่าส่งเสียงดังนะคะ แล้วก็เดินไปขึ้นรถแต่โดยดี ฉันกับชินกรไม่ได้มาเพื่อทำร้ายคุณค่ะ”
“แล้วจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง..”
“ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่คุณคงไม่กล้าเสี่ยงแน่นอนกับการทำอะไรบุ่มบ่ามโดยไม่คิดนะคะ เพราะฉัน.. ไม่เคยพูดล้อเล่นกับใคร”
สิ้นประโยคนั้นเรนก็เปิดเสื้อคลุมหนังของตัวเองให้อีกฝ่ายได้เห็นว่ามีกระบอกปืนเหน็บข้างสีเอว ส่งผลให้หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงแค่ขยับสายตาคล้ายว่ากำลังขอความช่วยเหลือที่ไม่มีใครสนใจมองมา
“อัคคีราห์.. ไอ้คนเลว”
สุดท้ายณิชาก็ยอมไปกับพวกเขาอย่างว่าง่าย ผลมันก็มาจากไม่มีทางขัดขืนเพราะกลัวจะมีคนอื่นเดือดร้อน
กระทั่งรถคันสีดำขับเข้ามาจอดในสถานที่ที่ไม่คุ้นตาเธอก็ถึงกับใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันคือเพ้นท์เฮ้าส์หรูของอัคคีราห์ ที่มีลูกน้องตระกูลเซียหลงกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่พร้อมความปลอดภัยอย่างยอดเยี่ยม
เมื่อขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้องของเขาณิชาก็ถึงกับเป่าปากช่วยหายใจกลบความประหม่า เพราะเธอต้องเดินตามหลังเรนและมีชินกรประกบหลังเธออีกที
น่าอึดอัดชะมัดเลย
“มาแล้วค่ะนาย” เรนพูดกับผู้เป็นเจ้านาย ก่อนโค้งตัวคำนับลาหลังส่งณิชามาถึงที่หมายแล้วเรียบร้อย
ณิชาขยับสายตามองร่างสูงตรงหน้า พลันบรรยากาศรอบกายก็เย็นเยียบขึ้นมาทันทีที่อัคคีราห์ตวัดสายตาขึ้นมองเธอ
“คำพูดฉันไม่มีความหมายเลยสินะ”
“มันไม่มี.. เพราะคนพูดไม่น่าเชื่อถือ”
“งั้นเหรอ เหอะ”
ท่าทางของอัคคีราห์ที่วางมาดต่อเธอยังไม่เปลี่ยนไป เขายังคงนิ่งลึกเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันสายตาก็ฉายแววไม่พอใจเมื่อเห็นทีท่าต่อต้านของณิชาที่ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน
“มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอไงอัคคีราห์ นายให้คนสะกดรอยตามฉันไม่พอ ยังให้คนของตัวเองลากฉันไปมาตามใจชอบอีก” เธอท้าวเอวเตรียมวีนกับพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเขา
ไม่ใช่ว่าใช้เงินต่อรองแล้วจะทำอะไรก็ได้ ณิชาสามารถหักดิบโดยไม่สนใจเงินนั่นก็ยังได้เลย
“ไม่มากไปหรอก”
“คนเลว.. ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันแย่เลยสินะ”
“แล้วเธอรู้มั้ยว่าอะไรน่ากลัวว่าการเป็นคนเลวแบบฉัน”
น้ำเสียงของอัคคีราห์ที่ถามย้อนกลับดูเผด็จการไม่น้อย ถึงการแสดงออกของอีกฝ่ายจะดูไม่อยากเสวนากับตน แต่อัคคีราห์ไม่ใช่คนพูดพล่อยโดยไม่มีมูลเหตุแน่นอน
“อะไรล่ะ มีอะไรน่ากลัวการเลวแบบเปิดเผยอีกเหรอ”
“เหอะ”
สายตาคมกริบจ้องมองเธอเขม็ง ก่อนจะตรงปรี่เข้ามาอย่างไม่รีรอ นั่นเลยทำให้ณิชาถอยหลังหนีอัตโนมัติจนแผ่นหลังชิดกับกำแพง แววตาดูตื่นตระหนกอย่างไร้หนทางหนีเมื่ออัคคีราห์เข้าประชิดกาย
ใบหน้าคมคายกดสายตามองหญิงสาว เป็นแววตาที่ณิชาไม่เคยชอบเอาซะเลย ไม่เคยรู้สึกถูกชะตากับแววตาคู่นี้ตั้งแต่แรกเห็น
มีเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี แต่การกระทำห่ามสุดขั้วของเขากลบภาพลักษณ์นั้นหมดเลยสำหรับเธอ
“หน้ากากคนดี”
“อัคคี.. อื้อ”
ณิชาเบือนหน้าหลบปลายจมูกโด่งสันทัดที่โน้มเข้ามาใกล้ ส่งเสียงในลำคอคล้ายว่าไม่อยากเข้าใกล้เขา ในขณะที่คนแววตามาดร้ายมุ่นคิ้วมอง
เขาน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ..
คำถามสำหรับอัคคีราห์ก็คงจะเป็นแบบนั้น แต่ในสายตาของณิชาอัคคีราห์เหมือนตัวร้ายในหนังทุกเรื่องเลยต่างหาก
“หน้ากากนี้ถ้าได้สวมเมื่อไหร่ ต่อให้เกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นก็จะไม่มีใครสงสัย” อัคคีราห์กดเสียงต่ำ “ไม่รู้เหรอ”
“นายกำลังพูดบ้าอะไรอยู่” ณิชามุ่นคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะหันกลับมาสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง
“ฉันเคยเตือนแล้วใช่มั้ยว่าไอ้หมอนั่นมันตัวอันตราย”
“แล้วทำไมฉันต้องเชื่อคนอย่างนาย คนที่เอาแต่ตะคอกใส่คนอื่น เอะอะก็ข่มขู่กันแบบนี้.. คนอย่างนายมันต่างจากพี่เทียนลิบลับ วิธีของนายที่ใช้กับฉันก็เทียบกับเขาไม่ติดเหมือนกัน”
ดวงหน้าสวยสดเชิดขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง แม้ว่าในใจจะแอบวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยากนี้ก็ตาม
เธอก็แค่ไม่อยากแสดงออกว่ากลัวเขา ไม่ชอบให้เขาทำตัวเหนือกว่าก็เท่านั้นเอง
“อย่าคิดจะเอาฉันไปเทียบกับมัน..” อัคคีราห์กัดกรามกรอด แววตาฉายชัดถึงความไม่สบอารมณ์
“แต่พฤติกรรมที่นายแสดงออกมันอดเทียบไม่ได้นี่ นายอิจฉาอะไรเขา หรือเกลียดอะไรฉันนักหนาถึงได้ตามรังควานชีวิตกันไม่เลิกแบบนี้”
“ฉันแค่ขอให้เธอเลิกยุ่ง มันยากเย็นถึงขนาดจะขาดใจตาย.. ถ้าหากไม่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายแบบมันหรือไง”
“ใช่ เหมือนจะขาดใจตายเลยล่ะ ยิ่งได้รู้ว่าต้องแต่งงาน.. ฉันก็คิดหาคำพูดไปอธิบายกับเขาแทบแย่ แต่โชคดีที่เขาดันเข้าใจง่าย เพราะงั้นหลังจากสิ้นสุดเรื่องบ้าๆ พวกนี้ ฉันก็หวังว่าจะสมหวังกับเขาเหมือนกัน”
“ปากดีเข้าไป” เขาแสยะยิ้ม “อยากรู้ชะมัดเลยว่าเวลาเจอเหตุการณ์จริงๆ ยังจะปากดีไหวอยู่มั้ย”
“อัคคีราห์”
“เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าไปพัวพันกับอะไร”
น้ำเสียงตวาดที่ทำณิชาสะดุ้งไม่น้อย ทำให้เธอยกมือขึ้นยันอกเขา พยายามปัดป้องให้อัคคีราห์ออกไปจากตัวเธอ แต่ก็เหมือนว่ายิ่งปัดรังควานเท่าไหร่ อีกคนก็ยิ่งบีบต้นแขนเธอแน่นเท่านั้น
“เลิกทำเหมือนตัวเองเป็นคนดีเถอะ พวกหมาจิ้งจอกที่แสร้งทำตัวแนบเนียนแค่ไหน ต่อให้ใส่หมวกยังไงก็จะมีหูหรือหาง.. โผล่ให้เห็นอยู่ดี”
“เหอะ สรรหาเปรียบเทียบนี่”
“นายมันก็ดีแต่เอาหน้าเหมือนกัน” หญิงสาวผ่อนปรนลมหายใจร้อนผ่าวอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน “ที่นี่ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน.. อย่าคิดจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเอง”
“คงชอบมันมากสินะ”
“ใช่ ฉันชอบพี่เทียน ถ้าไม่ติดไอ้งานแต่งบ้าบอนี่ฉันก็คิดว่าอยากจะแต่งงานกับเขาเลย”
“โชคดีแค่ไหนที่รอดมาได้นานขนาดนี้.. รู้ตัวหรือเปล่า”
“หมายความว่าไง”
“หรือโดน.. มันไปแล้ว”
สายตาและน้ำเสียงเชิงลบนั่นทำให้ณิชาใช้แรงทั้งหมดผลักคนตรงหน้าออกแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเลยกลายเป็นกำปั้นเล็กที่ออกหมัดทุบรัวอีกฝ่ายแทนอารมณ์โกรธเกรี้ยวข้างใน
“หยุด” อัคคีราห์รวบมือของเธอแล้วกระชากเข้าหาตัว ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใส่กันเป็นระยะ ขณะที่ปะทะสายตากันอย่างไม่ลดละ
ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายถอยทัพก่อน..
“เก็บความหวังดีจอมปลอมบ้าๆ นี่ไปเถอะ นายก็แค่เกลียดฉัน..”
“นี่เธอแม่งพูดบ้าอะไรวะ”
“ลองส่องกระจกแล้วมองสายตาของตัวเองดูนะอัคคีราห์ เผื่อนายจะเห็นตัวตนตัวเองชัดขึ้น มากกว่าตอนชะโงกมองเงาในน้ำ” ณิชาพูดจากใจจริงในจังหวะที่สายตาของทั้งคู่ยังสบมองกัน
นัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นทำให้เธออึดอัด ไม่เคยเข้าใจท่าทางของอัคคีราห์ที่แสดงออกแม้แต้น้อยว่าต้องการอะไรจากเธอกันแน่
เป็นห่วงหรือพยายามบงการชีวิตกัน..
“เหอะ”
อัคคีราห์แสยะยิ้มร้ายแล้วหลุดหัวเราะเบาๆ แต่นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศตรงนี้น่ากลัวเข้าไปใหญ่ ซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะหาทางหนีทีไร่จากเขาได้เจอ
“อย่าทำตัวให้แปดเปื้อนก่อนแต่งงานเข้าตระกูล เพราะฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้แน่ณิชา”
“คิดว่าฉันกลัวนักหรือไง”
“เธอจะไม่มีทางรู้ว่าความกลัวมันเป็นยังไง แต่เดี๋ยวฉันจะมอบมันให้เธอเอง”
“จะ.. จะทำอะไร”
ไม่รออธิบายให้เธอเข้าใจแต่เขาจะแสดงให้เห็นเอง อัคคีราห์ย่อตัวอุ้มณิชาพาดบ่าจนหัวทิ่มลงพื้น ร่างลอยหวือจนดวงตาคู่สวยเบิกโพลงด้วยความตกใจ
มือไม้รีบทุบแผ่นหลังกว้างให้หยุดการกระทำ แต่เหมือนว่าอารมณ์ที่ดุเดือดเมื่อปะทุขึ้นก็ยากที่จะดับลง
“อัคคีราห์!”