บุคคลที่ถูกตอกหน้าว่าเป็นยัยเพิ้งได้ทำการแปลงโฉมจนสวยเด่น ชนิดที่ใครเห็นเป็นต้องเหลียวหลังกลับมามอง
จากที่สวมผ้ากันเปื้อนก็เปลี่ยนเป็นเดรสกระโปรงชายพริ้วไหว ผมเผ้าถูกมัดรวมเห็นลำคอขาวยาวระหง บนใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางพร้อมริมฝีปากที่เคลือบลิปกลอสมันวาวเอาไว้
ทว่าต่อให้แต่งออกมาสวยแค่ไหนอัคคีราห์ก็ไม่ชายหางตาแลเธออยู่ดี ทั้งที่ญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นเอ่ยชมกันไม่หยุด
บนโต๊ะอาหารที่เป็นเสมือนวันรวมตัวของทั้งสองครอบครัวทำให้ณิชาค่อนข้างประหม่า ยิ่งได้นั่งข้างอัคคีราห์แล้วคนตรงหน้าเป็นปู่ของเขา เธอก็ถึงกับปั้นหน้ายิ้มไม่ถูก
จะยิ้มก็ไม่กล้ายิ้มสุดมุมปาก เนื่องมาจากรังสีอำมหิตของอัคคีราห์ที่ทำหน้าอึมครึม เหมือนคนท้องผูกไม่ได้ถ่ายมาสามวัน
ใครมันจะอยากนั่งใกล้กัน..
“วันนี้หนูณิชาสวยมาก ทำไมแกไม่ลองพาไปเดินเล่นทางด้านโน้นดูล่ะ วิวข้างนอกสวย.. คนก็สวย” ชายชราเอ่ยชมหญิงสาวด้วยความเอ็นดู อีกทั้งยังหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีอีกต่างหาก
“ขอบคุณค่ะคุณปู่” ณิชาค้อมศีรษะพร้อมยิ้มรับ ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้อัคคีราห์ปฏิเสธไป เพราะเธอไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสอง
“ถ้างั้นผมจะพาเธอไปเดินเล่นสักพักก็แล้วกันนะครับ” อัคคีราห์รับคำโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีทีท่าต่อต้านแค่ไหน
คู่ตรงข้ามที่แท้จริง..
“เอ่อ ถ้างั้น.. หนูขอตัวก่อนนะคะ” ณิชาที่ต้องเล่นละครไปตามน้ำเงยหน้ามองอัคคีราห์ที่ส่งมือมาให้เธอจับ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจนเธอเกือบหลุดขำออกมาแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ ก่อนจะโคลงศีรษะให้แขกผู้ใหญ่ตรงหน้าก่อนหนึ่งที
“ขอบคุณค่ะ” ณิชาปั้นหน้ายิ้มจนดวงตาหยีลง แววตาแข็งก้าวดูไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย
เธอกลั้นใจลุกขึ้นยืนแล้วคล้องแขนอัคคีราห์ด้วยท่าทางกลัดเกร็งจนหายใจไม่ทั่วท้อง พยายามโปรยรอยยิ้มหวานเชิงว่าเธอเต็มใจใกล้ชิดเขา ทั้งที่ความเป็นจริงณิชาจิกเกร็งจนเลือดแทบจะไม่ไปเลี้ยงปลายเท้าอยู่แล้ว
เมื่อหลุดพ้นสายตาของท่านศิลามา ณิชาก็ถึงกับปลีกตัวออกห่างอัคคีราห์ทันที พลางเงยหน้าสูดรับอากาศบริสุทธิ์นอกภัตตาคารหรูแล้วผ่อนปรนลมร้อนผ่านริมฝีปากเบาๆ
“ไหนบอกไม่อยากแสดงละครคุณธรรม”
“เพราะคุณปู่ท่านน่ารักหรอกนะ ฉันจะมองข้ามสิ่งที่นายทำไว้ก็แล้วกัน”
อัคคีราห์พยักหน้าแล้วถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ สองมือล้วงกระเป๋าเหลือบสายตามองคู่สนทนาที่ไม่เหมือนหญิงสาวที่เขาเคยพบมาก่อน
ดื้อเก่งและถือดีเป็นที่หนึ่ง..
“ถามจริงนะนายอยากจะแต่งงานเหรอ ไม่มีแฟนหรือคนที่ชอบบ้างเลยหรือไง”
อัคคีราห์มุ่นคิ้วกับคำถามที่อีกฝ่ายโยนมา
“นายเองก็คงจะมีคนที่นายรักอยู่แล้ว การได้แต่งงานกัน.. คงทำให้อึดอัดแย่”
“ไม่มี อีกอย่างฉันแค่อยากทำให้ปู่สบายใจ แค่นั้น”
เจ้าของใบหน้าสวยเงยขึ้นมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน โดยที่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีสายตาของอัคคีราห์ลอบมองอยู่
ปากก็บอกว่าไม่สวยไม่อยากมอง ก่อนหน้านี้ก็หาว่าขี้เหร่จนเป็นยัยเพิ้งบ้าง แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าณิชาสวยจนเขาเองเผลอมองอยู่หลายครั้ง
“ฉันขอถามอย่างนึง” ณิชาเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ของขวัญอะไรที่นายบอกจะให้คุณปู่ท่านหลังแต่งงาน”
“ไม่ว่าจะปู่หรือพ่อแม่ฉันกับพ่อแม่เธอ.. พวกเขาอยากอุ้มหลานทั้งนั้น” อัคคีราห์ตอบกลับด้วยสีหน้าตายด้าน
“ว่าไงนะ” ณิชาทำหน้าคล้ายว่าไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่อยากเชื่อว่าพ่อกับแม่ของเธอก็อยากจะอุ้มหลานด้วยเหมือนกัน
“หูตึงขึ้นมาเลยหรือไง”
“นี่นายคิดว่าฉันจะอุ้มท้องให้นายเหรอ ประสาทกลับหรือไปล้มหัวกระแทกพื้นมากันแน่”
อัคคีราห์ไหวไหล่ไม่ใส่ใจมากนัก “แต่ถ้าไม่ได้เราก็แค่แต่งงานกัน หลังจากนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น.. จะหย่าก็ไม่สาย”
สิ้นประโยคนั้นณิชาก็กลอกตาใช้ความคิด แต่สุดท้ายเธอก็ยังมีเล่ห์เหลี่ยมในการคิดจะหลีกเลี่ยงการแต่งงานครั้งนี้อยู่ดี
“ถ้าฉันไม่แต่งล่ะนายจะทำยังไง”
“ต้องการเงินเท่าไหร่”
เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นไม่พอใจ อ้าปากจะต่อว่าเขาให้เข็ดหลาบที่คิดว่าจะเอาเงินฟาดหัวกันขึ้นมา ทว่าณิชาก็ต้องเงียบเป็นผู้ฟังเมื่อสิ่งที่อัคคีราห์พูดดันจี้ใจดำเธอซะงั้น
“เพิ่งรู้มาว่าร้านนั่นเป็นของเธอ พี่น้องคนอื่นเป็นหมอกันเกือบหมด ทำไมเธอถึงไม่เรียนหมอล่ะ” อัคคีราห์เลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉย ทั้งที่เป็นปมในใจของอีกฝ่ายมาโดยตลอด
เป็นคำถามที่ไม่ว่าเจอใครที่ไหนก็ถูกเค้นถามทั้งนั้น
“คิดว่าบนโลกนี้มีแค่หมอกับพยาบาลหรือยังไง อาชีพที่สร้างสรรค์ด้วยศิลปะแล้วได้เงินก็มีเยอะแยะไป ..โลกแคบชะมัดเลย” ณิชาว่าอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่นัยน์ตาอมเศร้าอย่างปิดไม่มิด
“ที่ฉันจะพูดคือการงานของเธอไม่มั่นคง”
“เหอะ ฉันมีเงินพอกินละกัน ไม่แบมือขอพ่อกับแม่ด้วย”
ชายหนุ่มส่ายหน้ากับความทะนงองอาจในศักดิ์ศรีของเธอ ถึงจะทำตัวเหมือนว่าไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายทุกความหนักใจของพ่อกับแม่เธอก็ถูกเล่าให้อัคคีราห์ฟัง
ว่าพวกเขาเป็นห่วงลูกสาวคนนี้ยังไงบ้าง..
อันที่จริงแล้วณิชาไม่ต้องทำงานก็ได้ เธอจะใช้ชีวิตแบบผลาญเงินครอบครัวตัวเองก็ยังทำได้ แต่เธอไม่ทำเพราะคำสบประมาทของเหล่าลุงป้าที่มีลูกเป็นถึงหมอหัวกะทิ
เพราะณิชาไม่อยากโหยหาอำนาจที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกันเหมือนคนอื่น เธออยากสร้างมันด้วยสองมือของเธอเอง ด้วยความชอบที่เป็นความสุขเดียวของเธอ
สิ่งเดียวที่โหยหาคือความสุขสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตต่างหาก..
“ฉันให้ปีละสิบล้าน”
“หะ”
“ถ้าเธอยอมแต่งงานให้มันจบๆ ไป ฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีเธอ ปีละสิบล้านบาท”
“นายควรถูกตรวจสอบด่วน” ณิชาส่ายหน้าคล้ายว่าปฏิเสธปนความอึ้งกับตัวเลขที่เขาเสนอมา
“ตามใจ ฉันบริสุทธิ์ใจในเส้นทางการเงินของตัวเองอยู่แล้ว” อัคคีราห์ไหวไหล่อย่างไม่หยี่ระ “ตกลงเอาหรือไม่เอา”
ใบหน้าสวยมุ่นคิ้วด้วยความขบคิด จนอัคคีราห์แอบร้อนใจเร่งปรับเงินให้แบบก้าวกระโดด ทำเอาอีกคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“ปีละยี่สิบล้าน ถ้าปู่ไม่ได้อยู่กับฉันแล้ว.. เราจะหย่ากันทันที แล้วฉันจะชดเชยย้อนหลังให้เธอเอง” เขาเสนอแบบถี่กระชั้นไม่ให้เธอได้คิดนาน
“ยี่สิบล้านเหรอ”
“สามสิบ..”
“เดี๋ยว” ณิชายกมือปราม “ขอใช้ความคิดก่อน”
อัคคีราห์คงมองว่าผู้หญิงอย่างเธอซื้อได้ด้วยเงิน แต่ในสายตาของณิชาเธอกลับมองว่าเงินซื้อเธอไม่ได้.. ถ้าหากว่ามันไม่มากพอ
ซึ่งจำนวนเงินที่อีกฝ่ายเสนอมาถือว่าสูงมากเลยทีเดียว ยังไงเธอก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้อยู่แล้ว อย่างน้อยการได้อยู่รวมชายคากับผู้ชายอย่างอัคคีราห์ คงต้องมีค่าทำขวัญที่ถูกทำให้ผวากันบ้าง
“ตกลงสามสิบล้านต่อปี” ณิชาตกปากรับคำแล้วเลิกคิ้วมองเขาที่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ไหนบอก..” อัคคีราห์ขมวดคิ้วมุ่น พลางหรี่ตาจับผิดคนตรงหน้า
“ถ้าสามสิบล้านก็ดีล”
“ได้ ตกลงตามนั้น”
“แต่ฉันมีข้อตกลงระหว่างเรา” ณิชารีบเสนอทันทีที่อีกฝ่ายรับคำ
เชื่อแล้วว่าเธอมันเป็นคนหัวไวแถมฉลาดแกมโกงอีกต่างหาก..
“เชิญว่ามา” อัคคีราห์แยกยิ้มมุมปาก มองสีหน้าของคนอวดดีที่ยักคิ้วคล้ายว่าตนถือไพ่เหนือกว่าเขาอยู่
“ยังไงเราก็แต่งงานแค่ในนามตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะงั้นนายห้ามจูบฉันเหมือนที่ทำหน้าร้านพี่เทียนอีกเด็ดขาด” เธอเอ่ยคำขาดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไม” เขาแสร้งตีหน้าตายถามกลับ
“ยังมีหน้ามาถามอีก นายเป็นใครถึงจูบฉันล่ะ”
“ผัวเธอล่ะมั้ง”
“แค่ในนาม”
“แล้วยังไง”
“ตีหน้ามึนชะมัด..”
เจ้าของใบหน้าคมคายกระตุกยิ้มร้ายกาจ พลางเสตามองไปด้านในที่แขกผู้ใหญ่บนโต๊ะอาหารมองมา อัคคีราห์เลยต้องปั้นหน้าแย้มยิ้มให้เธอ ราวกับว่าพวกเขากำลังไปกันได้สวย
การแสดงละครอาจดูฝืนใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่สำหรับคนหน้าตายอย่างเขา
“ห้ามจูบ ห้ามกอด ห้ามรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวกันและกัน นี่นาย!” ณิชาเอ่ยเตือนเขาที่ทำท่าจะเข้ามาใกล้
“แต่ปู่ฉันมองอยู่” อัคคีราห์พูดกรอดไรฟัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้เธอให้มากกว่าเดิม
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงละครคุณธรรมความรักแค่ต่อหน้าคนอื่นก็พอ แล้วที่สำคัญอย่าก้าวก่ายเรื่องระหว่างฉันกับพี่เทียน”
“เรื่องนี้ไม่ได้”
“นี่”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“อัคคีราห์” หญิงสาวส่วนสูงเท่าปลายคางเขาเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับส่งสายตาไม่พอใจ สบนัยน์ตาคู่คมไม่ละไปไหนอย่างไม่กลัวเกรง
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอยู่ให้ห่างจากมัน”
“อย่ามาเรียกเขาว่ามัน”
“ไอ้เวรนั่นน่ะเหรอ”
“นี่” คนที่ไม่อยากต่อประโยคให้มากความสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “ช่างเถอะ เราสองคนแค่ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ก็พอ เข้าใจมั้ย”
“ก็ไม่ได้พิศวาสขนาดจะจูบหรือกอด” เขาทำหน้าหยีเธอเต็มประดา แค่ต้องปั้นหน้าแสร้งยิ้มให้เธอไปก่อน
ไม่ใช่แค่ท่าทางเย่อหยิ่งของณิชาที่อัคคีราห์อยากกำราบ แต่ท่าทีที่เฉยชาไร้ความรู้สึกราวกับมนุษย์หินของเขาก็เช่นกัน ที่เธอเห็นแล้วรำคาญลูกตาจนอยากกระตุ้นให้เห็นสีหน้าตอนโกรธเป็นบ้าเลย
หน้าตอนโกรธจะเป็นแบบไหนกันนะ..
พอคิดได้แบบนั้นเธอก็ก้าวเท้าเข้าไปใกล้เขาอีกก้าวนึง แต่มันใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวอัคคีราห์ลอยมาแตะปลายจมูก ก่อนมือเรียวบางจะยกขึ้นแตะแผงอกอีกฝ่าย พลางเปรยสายตาขึ้นมองอย่างเชื่องช้า
“แต่ก็ระวังหวั่นไหวนะคะคุณอัคคีราห์ขา ท่องเอาไว้ให้ชัด.. ห้ามผิดกฎข้อตกลงระหว่างเราเด็ดขาด”
“.....”
“ห้ามจูบ ห้ามกอด ห้ามรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวกันและกัน รวมถึงสามสิบล้านต่อปี.. ดีลตามนี้นะคะคุณว่าที่สามี”