บทที่2 ซุกซ่อน

2012 Words
สี่ปีต่อมา ‘กล้าดียังไงถึงได้ปิดบังเรื่องแบบนี้!’ น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่มาพร้อมกับสายตาที่จ้องเขม็งทำเอาศศิลัลน์รู้สึกร้อนรนจนต้องก้าวถอยหลังพร้อมกับเอาตัวบังร่างเล็กของหนูน้อยผู้เป็นแก้วตาดวงใจเอาไว้อย่างหวาดหวั่น เขาเจอเธอแล้ว... และเห็นสิ่งที่เธอซุกซ่อนเอาไว้แล้ว... ตาคู่นั้นเพียงมองมาก็ทำให้รู้สึกราวถูกสาป กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีคนตัวโตก็ก้าวสามขุมเข้ามาประชิดตัวและฉวยอุ้มเด็กหญิงที่เธอซ่อนเอาไว้ด้านหลังเสียแล้ว ‘ต่อไปผมและภรรยาจะดูแลน้องลินน์เอง’ ‘ไม่นะ อย่าเอาน้องลินน์ไปนะ’ “ไม่นะ ไม่ ไม่!!!” เปลือกตาบางเบิกกว้างหลังจากที่ปิดมานานพร้อม ๆ กับที่ร่างเล็กทะลึ่งพรวดลุกขึ้นหอบหายใจอย่างหวาดหวั่น ตาคู่หวานมองไปรอบ ๆ จนเห็นว่าเป็นห้องนอนไม่ใช่สถานที่อื่นก็ถอนใจโล่ง ที่แท้ก็เป็นแค่เพียงความฝัน... เธอแค่ฝันไปเท่านั้น... “งื้ม กุนแม่” เสียงงัวเงียจากร่างจ้ำม่ำที่นอนอยู่ข้าง ๆ ฉุดให้ศศิลัลน์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ หญิงสาวเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มของหนูน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นตบก้นกล่อมเบา ๆ “ไม่มีอะไรค่ะน้องลินน์ นอนต่อนะลูก คุณแม่ไม่เป็นอะไร” “งืม...” เพียงชั่วครู่คนงัวเงียก็เข้าสู่นิทราในที่สุด หญิงสาวจ้องมองหนูน้อยก่อนจะนอนลงข้าง ๆ และดึงเอาร่างจ้ำม่ำมากอดไว้อย่างหวงแหน สี่ปีก่อนเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งครั้งนั้นส่งผลร้ายกับทั้งเธอเองและลภณดนัยกับแฟนสาวเธอจึงตัดสินใจออกจากชีวิตของเขา ทว่าใครจะไปคิดว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงชั่วข้ามคืนจะทำให้เธอได้สถานะใหม่มานอกจากสถานะนักศึกษาจบใหม่ สถานะ...แม่เลี้ยงเดี่ยว ผ่านไปสองเดือนหลังจากการฝึกงานสิ้นสุดเธอก็ได้รู้ว่ามีเด็กหญิงลภัสชญาหรือน้องลลินน์อยู่ในท้อง เธอไม่คิดจะบอกพ่อของลูก กลัวว่าเรื่องของเธอจะทำให้เขามีปัญหากับคนรัก กลัวว่าลูกจะได้รับผลร้ายมากกว่าดี...เธอจึงได้แข็งใจพรากพ่อพรากลูก ยังโชคดีที่ยังมีแม่และพี่สาว ทั้งสองไม่ได้คาดคั้นเพราะรู้ว่าเธอไม่อยากเล่า ซ้ำยังตัดสินใจใช้เงินก้อนสุดท้ายของครอบครัวพาเธอหนีความวุ่นวายมาใช้ชีวิตทางภาคเหนือบ้านซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณยายเพื่อไม่ให้คนทางฝั่งพ่อมาระรานและซ้ำเติมที่เธอท้องไม่มีพ่อ ครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิงกว่าจะตั้งหลักในสถานที่ใหม่ได้ก็เรียกได้ว่าล้มลุกคลุกคลานมากทีเดียวแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยคิดว่ายัยหนูเป็นภาระ กลับกันเด็กหญิงลภัสชญาเป็นกำลังใจที่ทำให้เธอยืนหยัดได้ในทุก ๆ วันด้วยซ้ำ ตอนแรกยอมรับว่าลำบาก แต่ความลำบากก็ผ่านพ้นไปแล้ว ศศิลดาพี่สาวของเธอแต่งงานกับเจ้าของโรงแรมแห่งใหญ่ทางภาคเหนือเมื่อสามปีที่แล้ว ทำให้ครอบครัวเริ่มหายใจหายคอคล่องขึ้น หลังจากที่พี่สาวแต่งงานเธอก็เริ่มหางานทำจนได้ทำงานในบริษัทเอ็นทีแอลคอนสตรัคชั่นบริษัทออกแบบ ตกแต่ง รับเหมาก่อสร้างครบวงจรโดยการแนะนำของเขมทัตผู้เป็นพี่เขยซึ่งเป็นเพื่อนกับเจ้าของบริษัท บริษัทแม่อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่เพราะเธอไม่ต้องการเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ ที่ห่างจากแม่และพี่สาว พี่เขยจึงเสนอร่วมหุ้นเปิดสาขาเล็ก ๆ ที่นี่ โชคดีที่ฝ่ายนั้นตอบตกลง สถานที่ทำงานของเธอเลยเป็นออฟฟิศเล็ก ๆ ในตัวจังหวัดที่มีพนักงานเพียงสิบกว่าคนแต่ก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ เธอเป็นทั้งสถาปนิกและมัณฑนากรในตัวเพราะสมัยเรียนเลือกลงเรียนวิชาออกแบบภายในเอาไว้ด้วยรายได้ในแต่ละเดือนของเธอถือได้ว่าสามารถดูแลยัยหนูและผู้เป็นแม่ได้อย่างสบาย ๆ ทุกอย่างราบรื่นไม่น่ามีปัญหา ทว่าจิตใต้สำนึกก็คอยย้ำเตือนเสมอว่าเธอทำให้พ่อลูกไม่ได้เจอกัน จึงได้ฝันอยู่บ่อย ๆ ว่าพ่อของลูกจะมาแย่งยัยหนูไป เธอกลัวเหลือเกินว่าความลับที่ปกปิดเอาไว้จะถูกล่วงรู้ขึ้นมาจริง ๆ และกลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ ป่านนี้เขาคงแต่งงานกับเธอคนนั้นไปแล้ว คงมีครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกันกับคนที่เขารักไปแล้ว ถ้าหาก... ศศิลัลน์รีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไป หญิงสาวข่มตาหลับอีกครั้งพร้อม ๆ กับกอดยัยหนูเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เช้าวันต่อมา “นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอลูก” เสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของศศิผู้เป็นแม่ดังขึ้นทันทีที่เห็นลูกสาวคนเล็กเข้ามาในครัว ใต้ตาที่มีรอยคล้ำของศศิลัลน์บ่งบอกได้อย่างดีว่าค่ำคืนที่ผ่านมาก็เป็นอีกคืนที่หญิงสาวนอนหลับไม่เพียงพอ ศศิลัลน์ยิ้มอ่อน ๆ ส่งให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะตอบกลับ “จริง ๆ ก็นอนหลับค่ะแม่ แต่ว่าฝันไม่ดีเลยสะดุ้งตื่นก็เลยหลับต่อไม่สนิท” “พักนี้เป็นบ่อยนะ เครียดอะไรหรือเปล่า” “คงเพราะช่วงนี้งานยุ่งล่ะมั้งคะ” หญิงสาวพูดแล้วก็แสร้งสนใจกับการชงกาแฟ ไม่กล้าบอกจริง ๆ ว่าเครียดเพราะวิตกกังวลว่าความลับที่ปกปิดจะถูกเปิดเผย “งานยุ่งก็พักซะบ้าง ถือโอกาสงานแต่งของหนูขิมลาพักสักสามสี่วันสิ แม่กลัวว่าถ้าไม่พักซะบ้างหนูจะไม่ไหวเอานะ” “ขิมแต่งงาน ยังไม่ลาฮันนิมูนเลยค่ะ แล้วลัลน์ที่แค่จะไปร่วมงานจะลาได้ยังไง” หญิงสาวส่ายหน้าให้ ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอที่ผู้เป็นแม่พูดมาเลยสักนิด พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของเขมิกาหรือขิม น้องสาวของเขมทัตฝ่ายนั้นก็เป็นมัณฑนากรมือดีคนหนึ่งของออฟฟิศ ทั้งที่เป็นถึงน้องสาวผู้ถือหุ้นแต่อีกฝ่ายก็ลาเพียงแค่สองวันคือวันนี้เพื่อตรวจความเรียบร้อยของงานกับพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันงานเท่านั้น จะให้เธอที่แค่ไปร่วมแสดงความยินดีลาหยุดมากกว่าเจ้าสาวตัวจริง เธอรู้สึกว่าไม่ดีเท่าไหร่ “ตามใจ” ศศิพูดแล้วก็เบือนหน้าหนีไปสนใจอย่างอื่นอย่างแสนงอน ปกติแล้วก็ปล่อยให้ลูก ๆ ทำตามใจตัวเองมาโดยตลอดด้วยรู้ว่าสองพี่น้องคู่นี้ไม่ฟังใครสักเท่าไหร่ เธอที่เป็นแม่ไม่อยากจำกัดความคิดความอ่านของลูกจึงได้ปล่อยมาตลอด แต่บางทีก็งอนอย่างไม่จริงจังเช่นกันที่แม่คุณแต่ละคนดื้อแพ่งเหลือเกิน ศศิลัลน์มองคนงอนก่อนจะลอบเข้าไปใกล้แล้วจู่โจมกอดคนแม่จากด้านหลังจนคนงอนตกใจอุทานออกมาเบา ๆ “ว้าย” “โอ๋ ๆ คุณยายอย่างอนเลยน๊า” “ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้” คนเป็นแม่เอ็ดให้เบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ชอบใจกับท่าทีราวกับเด็กของคนหัวดื้อ ดูเอาเถอะ จนลูกสาวอายุสามขวบจะสี่ขวบอยู่แล้วยังอ้อนแม่เป็นเด็ก ๆ อยู่เลย คนน้องขนาดนี้ อย่าคิดว่าคนพี่จะไม่เป็น รายนั้นก็ไม่ต่างจากน้องสาวเลยสักนิด ถ้าได้มาหาแม่แล้วล่ะก็เป็นต้องอ้อนและกอดแม่อยู่เสมอ...ไม่รู้จักโตกันสักคน ลูกสาวไม่รู้จักโตหัวเราะเบา ๆ กอดผู้เป็นแม่แล้วแกล้งยื่นจมูกไปหอมคนแม่ซ้ายทีขวาทีก่อนจะยอมปล่อยเมื่อเห็นสมควรแก่เวลาไปปลุกลูกสาวมารับประทานอาหารเช้า มีผู้เป็นแม่อยู่ด้วยทำให้ศศิลัลน์คล่องตัวกว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวหลาย ๆ คนเพราะไม่ต้องตื่นมาทำมื้อเช้าให้ลูกตั้งแต่เช้าเนื่องจากงานในครัวคุณยายอาสาทำมาโดยตลอด ความจริงเธอไม่อยากให้ผู้เป็นแม่เหนื่อยแต่เจ้าตัวกลับดื้อจะทำเพราะไม่อยากอยู่ว่าง ๆ และยังบอกว่าทำมายี่สิบกว่าปีจนเคยชินแล้วแล้วจะให้หยุดทั้งที่ยังไม่แก่มากได้อย่างไร สุดท้ายก็เป็นอันว่าเธอและพี่สาวขัดคุณยายวัยสี่สิบปลาย ๆ ไม่ได้จึงต้องปล่อยให้คุณยายลงครัวเตรียมอาหารให้ลูกและหลานสาวไปตามที่ท่านต้องการ ความจริงก็เอาแต่ใจและดื้อไม่ฟังใครเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกนั่นล่ะ...พวกเธอพี่น้องได้นิสัยนี้มาจากใครล่ะถ้าไม่ใช่จากแม่ “กุนแม่” เปิดประตูห้องเข้ามาหนูน้อยลลินน์ก็ส่งเสียงใสแจ๋วมาให้เป็นการบอกว่าตื่นได้สักระยะแล้ว คุณแม่ยังสาวตรงปรี่ไปอุ้มลูกขึ้นมาหอมแก้มทันทีเหมือนกับที่ทำทุก ๆ วัน “หืม ชื่นใจจังเลย ลูกสาวใครเอ่ย” “ยูกกุนแม่” หนูน้อยลลินน์พูดแล้วก็หัวเราะคิกคักเมื่อคุณแม่ยังสาวฟัดแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างมันเขี้ยว เพราะต้องออกไปทำงานเวลาระหว่างวันจึงไม่ค่อยได้อยู่กับลูก ในช่วงเช้าศศิลัลน์จึงให้เวลากับยัยหนูมากเป็นพิเศษ กอดหอมให้ลูกได้สัมผัสความรักของแม่อย่างเต็มที่เป็นการชดเชย เช้านี้สองแม่ลูกก็ใช้เวลาด้วยกันเหมือนกับทุก ๆ วันทั้งกอดหอมและอาบน้ำด้วยกันก่อนจะลงมานั่งฉีกยิ้มที่โต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ ในครัวใส่คุณยาย ศศิตกหลุมรักหลานสาวซ้ำ ๆ ในทุก ๆ วัน ยิ่งเห็นสองแม่ลูกใส่ชุดสีเดียวกันมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ข้างกันก็ยิ่งเอ็นดู นี่ถ้าหลานสาวหน้าตาเหมือนศศิลัลน์ล่ะก็เธอได้คิดว่าเป็นร่างแบ่งภาคของลูกสาวแน่ ๆ น่าเสียดายที่ยัยหนูลลินน์ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนแม่ถึงได้ไม่เป็นร่างแบ่งภาคของศศิลัลน์...คงจะเหมือนพ่อนั่นล่ะ แต่ไม่รู้ว่าพ่อคนนั้นของหลานสาวอยู่ที่ไหนกัน จะรู้บ้างมั้ยว่ามีร่างแบ่งภาคในภาคเด็กผู้หญิงกับเขาคนนึง “กีนข้าว” “ค่ะลูก กินข้าวกัน” “กุนยาย กีนข้าวค่ะ” หนูน้อยลลินน์โปรยเสน่ห์ใส่คุณยายยังสาวอีกครั้งก่อนจะตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุบ ๆ ยัยหนูสามารถกินข้าวเองได้แล้วแต่ถึงอย่างนั้นตลอดเวลาศศิลัลน์ก็ยังมองอย่างคอยลุ้นอยู่เสมอ การได้มองพัฒนาการของลูกน้อยเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งของหญิงสาวไปซะแล้ว ทุกครั้งที่เห็นลูกพูด ลูกยิ้ม ลูกเล่น หรือแม้แต่ลูกกินข้าวหัวใจของเธอก็ฟูฟ่องราวกับมีลูกโป่งค่อย ๆ โตขึ้นจนแทบจะระเบิดอยู่ในใจ จากเด็กทารกจนตอนนี้เริ่มเห็นชัดว่าหน้าตาเป็นยังไง สำหรับเธอมันผ่านมานานเหลือเกิน...น่าเสียดายที่เธอได้เห็นแค่เพียงลำพัง ถ้าเขาได้เห็นก็คงดี...ไม่สิ! ศศิลัลน์ส่ายหน้ากับตัวเองเมื่อมีความคิดฟุ้งซ่านอีกครั้ง เธอเผลอคิดว่าถ้าลภณดนัยได้เห็นพัฒนาการของลูกก็คงดีขึ้นมาซะแล้ว ช่วงนี้ยัยหนูมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นเธอก็ยิ่งเผลอคิดบ่อย ๆ มันไม่ดีเลยที่สะสมความคิดนี้เอาไว้ในหัวหรือแม้แต่ในใจ เพราะมันทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดและเก็บไปฝันร้าย เธอไม่ควรคิดไปถึงเขา...ไม่ควรเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD