Hi, Darling 5

1876 Words
Hi, Darling 5 “ขับไหวไหมทำไมหน้าซีดจัง” กลัฟเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อมันเห็นใบหน้าซีดเซียวของฉันในตอนเช้าที่คอนโดหยก เมื่อขนกระเป๋าขึ้นมาไว้ที่ท้ายรถเสร็จเราก็เริ่มขนผ้าห่มประจำตัวขึ้นรถ รวมถึงหมอนรองคอ เตรียมพร้อมออกไปเที่ยวพักผ่อน “ถามว่ามันนอนหรือยัง?” หยกหันมามองหน้าดุ ๆ พอรู้ว่าเพื่อนกำลังจะดุก็รีบเข้าไปกอดอ้อนแขนทันที “ดูมัน ยังไม่ทันจะได้ดุ” “ก็แน่สิ เราโอ๋มันขนาดนี้ ไป ๆ ขึ้นรถเดี๋ยววันนี้ขับเองจ้า” กลัฟเปิดประตูผลักฉันเข้าไปในรถทันที เบาะด้านหลังเป็นที่นั่งและนอนของฉัน ส่วนหยกนั่งที่เบาะด้านหน้ากำลังเลือกเพลงโดยมีกลัฟนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ตอนนี้เพิ่งจะตีสี่ฉันออกมาเร็วเพราะไม่อยากอยู่บ้านนาน ฉันแก้งานตลอดทั้งคืนถึงเวลาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดและขับรถออกมาหาเพื่อนนี่แหละ ตั้งแต่เมื่อวานฉันตอบข้อความพี่กริชแค่ตอนเย็นและตอนสี่ทุ่ม จากนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาอีกเลย วันนี้เขาน่าจะกลับมาถึงบ้านในตอนเช้าเหมือนเคย “เปิดเพลงเกาหลีเอาใจคนไม่ได้นอนหน่อย” กลัฟเอ่ยแซวฉัน ก็นะ เพื่อนสนิทกันนี่นารู้ใจกันที่สุดแล้วล่ะพวกฉันสามคนน่ะ “เอาเพลงลูกมันเลยแล้วกัน” หยกเปิดเพลงเดี่ยวของลูกชายฉัน นั่นคือเพลงแรกและเพลงล่าสุดที่ฉันได้ยิน เพราะเมื่อรถเคลื่อนตัวฉันก็ผล็อยหลับไปทันทีราวกับต้องสวิตช์ปิด สามชั่วโมงผ่านไปฉันถูกปลุกให้ตื่นพร้อมกับถูกดึงมือให้เดินตามหยกเข้าไปในโรงแรม นับว่าดีมาก ๆ ที่โรงแรมที่จองให้เข้าเช็คอินได้ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้ากรณีที่มีห้องว่างอ่ะนะ พอดึงสติกลับมาได้ฉันก็ลากกระเป๋าด้วยตัวเอง เราเช็คอินห้องพักหนึ่งห้อง เป็นเตียงใหญ่หนึ่งเตียงและเตียงเล็กหนึ่งเตียง เวลาไปเที่ยวด้วยกันเรามักจะจองห้องแบบนี้เพราะอยากจะนอนพักด้วยกัน กลางคืนก็คุยเล่นด้วยกันแบบนี้มันมีความสุขและความทรงจำดี ๆ มากเลยล่ะ “กลัฟ หยก” ฉันที่เดินเข้าห้องพักได้ก็รีบเอ่ยเรียกเพื่อน รวมทั้งเดินไปเปิดแอร์ทันทีจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างเท้าตามนิสัยเคยชิน “ว่า?” “ถ้าหิวก็ไปหาอะไรกินกันก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราขอนอนพักก่อน เย็น ๆ ค่อยไปกินข้าวด้วยกัน” “ไม่ต้องกังวล แกนอนพักเถอะ ตื่นแล้วค่อยไปเที่ยวด้วยกัน ฉันก็จะนอนเหมือนกัน” หยกบอกมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ “นอนพักไปเลยชะนี มัวแต่คุยกัน” กลัฟที่ครอบครองเตียงเดี่ยวเดินเข้ามาใกล้รั้งผ้าห่มมาคลุมร่างฉันและหยกเบา ๆ ฉันนอนฝั่งด้านขวาของเตียง ด้านซ้ายเป็นหยกถัดไปเป็นกลัฟที่นอนเตียงเดี่ยว เอาละ ตอนนี้ขอเก็บพลังก่อน ไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน ลืมเรื่องที่ได้ยินมาไปซะเฟื่อง พอตื่นจะได้เที่ยวอย่างมีความสุขไม่มีอะไรมาขัดความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ตอนเย็นของวันแรกที่มาเที่ยว เราทั้งสามชวนกันไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งจากนั้นตั้งใจจะไปดื่มกันเล็กน้อยที่ร้านนั่งชิลที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร เราสั่งอาหารกันไปสักพักใหญ่อาหารน่าทานก็ถูกนำมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะจนเต็มไปหมด ทุกเมนูล้วนเป็นเมนูโปรดของเราทั้งสามคน “หยกเป็นไงบ้างทำงาน” ฉันถามเพื่อนมือก็ตักกับข้าวใส่จานตัวเอง “ก็ดี เรื่อย ๆ พี่ ๆ ที่แผนกดีมากแต่นอกแผนกก็นั่นแหละ” เพื่อนที่ทำงานหยกดีทุกคนเลยน่ารักเป็นกันเองเคยบังเอิญเจอตอนไปเดินเล่นที่ห้างกับหยกน่ะเหมือนพวกเขาจะไปกินข้าวกันเหมือนกัน แต่ว่าคนอื่นที่ไม่ได้ทำงานร่วมกันบ่อยกลับตั้งแง่และพูดจาประชดประชันใส่หยก “ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เงินดีนะ ฉันลาออกไปแล้ว” หยกเล่าต่อน้ำเสียงไม่จริงจัง “มาทำกับฉันนี่ บัญชี ไปช่วยหน่อย” กลัฟเอ่ยชวนหยก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลัฟชวนแต่เหมือนหยกจะเกรงใจเลยไม่ยอมตกลงไปช่วยงานเสียที ที่บ้านกลัฟเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างและร้านขายวัสดุอุปกรณ์ทำบ้าน มีบ่อยครั้งที่อ้อนให้หยกไปช่วย “หยุดเรื่องของฉันก่อน แกน่ะเป็นไงบ้างกับคุณหมอ...” คราวนี้หัวข้อการสนทนาเบี่ยงมาที่ฉันแทน “ก็ไม่ยังไง ปกติดี” “ปกติที่ว่า คือเหมือนคู่สามีภรรยาน่ะเหรอ” กลัฟแซวเสียงหวาน พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาใส่ “ไม่ใช่ เราไม่ใช่ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นด้วยซ้ำ” “เฟื่อง...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” หยกจับสังเกตได้ทันทีจึงรีบเอ่ยถามกลับมา ฉันเงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองก่อนจะเล่าเรื่องที่รบกวนจิตใจให้เพื่อนฟัง ฉันไม่รู้ว่าเรื่องที่พบเจอมาฉันปรึกษาใครได้บ้าง หรือจะมีใครมารับฟังฉันไหม อย่างน้อยเพื่อนก็เป็นเซฟโซนของฉัน ทั้งสองคนคือคนที่คอยอยู่ข้าง ๆ ฉันมาตลอดหลายปีที่ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ วันที่ถูกตัดขาดจากครอบครัวฉันก็ยังมีเพื่อน ทุกคนคงจะสงสัยล่ะสิว่ารถที่ใช้อยู่ตอนนี้เป็นของใครหากบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับครอบครัว จะบอกให้ก็ได้ว่าเป็นรถที่พี่ชายคนโตอย่างพี่ต้นไม้ซื้อให้ในวันที่ฉันเรียนจบ ค่าเทอมฉันก็ขอทุนเองค่าใช้จ่ายก็ทำงานพิเศษทำฟรีแลนซ์ควบคู่ด้วย อาจจะมีสมุดบัญชีที่แม่โอนเงินมาให้ แต่ฉันไม่เคยใช้เลยสักบาท เพราะฉันไม่อยากใช้เงินของพวกเขา ประโยคที่คนเป็นพ่อพูดในวันนั้นฉันยังทำได้ดี ที่บอกว่าฉันไม่ใช่ลูกเขา บอกว่าไม่ใช่คนในบ้านเขา ดังนั้นฉันจะเป็นตายร้ายดียังไงเขาก็ไม่สน แค่นั้นมันก็ชัดเจนมากพอที่จะทำให้ฉันมีแรงผลักดันทำงานเลี้ยงตัวเองแล้วล่ะ ก่อนไปแม่ฝากฉันไว้กับพี่กริชและแม่หมี่ให้พวกเขาช่วยดูแลฉันด้วย ตอนนั้นฉันโกรธคนเป็นพ่อจึงไม่ปฏิเสธและอยู่กับพี่กริชมาตั้งแต่ตอนนั้น “แล้วจะเอายังไงต่อ” กลัฟถามต่ออย่างหนักใจ เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ฉันเองก็หนักใจไม่แพ้กัน ที่ต้องอยู่ท่ามกลางความไม่เชื่อใจและไม่ยินดีของพ่อพี่กริช “อยากย้ายออกไหม...” “อยากย้าย แต่ทำไม่ได้ เงื่อนไขคือถ้าฉันย้ายออกจะต้องกลับไปอยู่กับพวกเขา ฉันไม่อยากไป” เงื่อนไขบ้า ๆ นั่น ตอนนั้นฉันไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้กลับเป็นบ่วงที่เริ่มรัดคอฉันมากขึ้น ฉันรู้ว่าแม่หวังดีเป็นห่วงจึงขอให้ฉันพักอยู่กับพี่กริช แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งพี่กริชต้องแต่งงานฉันคงต้องย้ายออกเองใช่ไหม ถ้าถึงเวลานั้นฉันก็จะไม่ผิดเงื่อนไขเพราะฉันไม่ได้ย้ายออกเอง แต่เป็นเพราะเขามีคนเข้ามาอยู่ด้วย “ก็คงต้องต่างคนต่างอยู่แล้วล่ะถ้าย้ายออกไม่ได้” กลัฟว่าอย่างปลงตก “แต่ถ้าไม่สบายใจแกก็มาค้างกับฉันได้ มากี่วันได้หมดเลยถ้าไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นั่น” “อื้อ ขอบใจนะ” “เราไม่เจอกันนานแค่ไหนนะ ทำไมถึงมีแต่เรื่องเครียด ๆ มาคุยกัน” “จริง เฮ้อ ช่างมัน ๆ มากินข้าวกันเถอะ เพื่อนอีกกลุ่มส่งการ์ดแต่งงานมาให้ พวกแกได้ไหม” ไม่นานเราก็เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเรื่องก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหลือเกิน เมื่อบรรยากาศเปลี่ยนความรู้สึกก็เปลี่ยน เราได้คุยกัน ได้หัวเราะ ได้ยิ้มด้วยกันอย่างมีความสุข กับข้าวก็อร่อยกินกับเพื่อนที่รู้ใจยิ่งอร่อยกว่าเดิม “เฟื่อง รับสายหน่อยไหม เห็นโทรมาทั้งวันแล้ว” ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับเข้าโรงแรมหลังจากที่ไปดื่มกันต่อนิดหน่อยตอนนี้ก็จะตีสองแล้ว แต่ไม่คิดว่าคนปลายสายจะโทรมาในเวลานี้นึกว่าเขาหลับไปแล้วเสียอีก “ขอรับนะ” ฉันบอกเพื่อนอย่างเกรงใจระหว่างที่เดินเข้าลิฟต์ “รับเลยเดี๋ยวพี่เขาเป็นห่วง” หยกอธิบายเพิ่ม ฉันยังไม่รับสายในทันทีแต่เมื่อเราออกจากลิฟต์และเดินไปยังห้องพักพี่กริชก็โทรกลับเข้ามาอีกครั้งนั่นแหละฉันถึงได้รับสายเขาในรอบหนึ่งวัน “ค่ะ” (หายไปไหนมาทั้งวันเลย พี่โทรหาก็ไม่ยอมรับ ไลน์ก็ไม่ตอบ) ปลายสายรัวคำถามเข้าใส่ น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเป็นห่วงนั้นทำให้ฉันรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่ยอมรับการติดต่อจากเขา “ขอโทษค่ะ มาถึงก็หลับยาวเลย ตื่นตอนเย็นก็ไปกินข้าว” ระหว่างที่ตอบขาก็ก้าวไปยังโซฟามุมห้อง ระหว่างที่คุยโทรศัพท์เพื่อนทั้งสองก็เตรียมไปอาบน้ำ เห็นว่ากลัฟเข้าไปอาบน้ำก่อน ส่วนหยกนั่งเล่นโทรศัพท์รอที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องสำอาง (พี่เป็นห่วง...) เพียงเพราะคำว่าห่วงของเขาคำเดียวทำให้หัวใจที่เต้นในจังหวะปกติแปรเปลี่ยนเป็นรัวแรงอย่างห้ามไม่อยู่ “ขอโทษค่ะ” (พี่ไม่ได้จะดุ แต่ตอบไลน์พี่บ้างก็ได้ ไม่ก็โทรกลับหาพี่หน่อย แม่เองก็เป็นห่วงบอกติดต่อเราไม่ได้) ฉันกลายเป็นเด็กไม่ดีแล้วสินะ ที่ทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วงมากขนาดนี้ “...” (มีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม...) “พี่ยังไม่ลงเวรเหรอ” ไม่พร้อม ฉันไม่พร้อมจะคุยกับเขาจริง ๆ อย่าเพิ่งมองเห็นเวลาที่ฉันอ่อนแอได้ไหม (เฟื่องฟ้า...) เขารู้ รู้ว่าฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง “...” (เฮ้อ พี่ยังไม่ลงเวรครับลากยาวเช้าบ่ายแล้วก็ดึกเลย จากนั้นพี่หยุดสองวัน วันที่เรากลับบ้านพี่เองก็น่าจะหยุดอยู่) เขาเล่าอย่างเป็นปกติ “พี่กินข้าวหรือยัง” (เรียบร้อย เรากินหรือยังไปกินร้านโปรดหรือเปล่า) “กินแล้วค่ะ แล้วก็ไปดื่มเพิ่งกลับแต่ว่าไม่ได้ไปร้านโปรดไม่ได้ไปพักแถวนั้น” (เมาไหม?) “ไม่ค่ะ แก้วเดียวเอง หนูขับรถน่ะ” (คืนก่อนกลับห้ามดื่มนะรู้ไหม มันอันตราย) “รู้แล้วค่ะ หนูไปอาบน้ำนอนก่อนนะคะ” (ครับ พรุ่งนี้ลงเวรแล้วจะโทรหานะ) “ค่ะ” (ฝันดีครับ) “ค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD