Hi, Darling 4
“ใช่ ๆ อย่าดุน้อง” ฉันบอกย้ำประโยคที่แม่หมี่พูดกับพี่กริช คนที่ขับรถอยู่หันมามองแวบหนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ว่ายิ้มเพราะอะไร
“ก็น้องดื้อพี่ก็ต้องดุ”
บ้าจริง! ไปหมดแล้วสมงสมองฉัน เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ของเขาทำเอาหัวใจฉันเต้นแรงตึกตักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บ้าไปแล้ว นี่ฉันเป็นอะไรไป!!
“ดื้อ ถึงแล้ว เฟื่อง เฟื่องฟ้า...”
“คะ?” ฉันสะดุ้งหลุดจากภวังค์เมื่อถูกสะกิดที่ไหล่เบา ๆ ไม่รู้ว่าเหม่อไปตั้งแต่ตอนไหนที่มั่นใจคงจะหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นออกมาแน่ ๆ
“ถึงแล้ว เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า”
“ก็เปล่าค่ะ ๆ ”
“เฟื่อง...” พี่กริชยื่นมือมาจับแขนไว้เมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ นอกรถนั้นเป็นพ่อกับแม่เขาที่ยืนรออยู่
“หนูไม่เป็นอะไรจริง ๆ ลงกันเถอะค่ะ พ่อกับแม่รอนานแล้ว”
“ถ้าไม่สบายให้บอกพี่เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะ พี่ปล่อยก่อน หนูจะลงรถแล้ว” ฉันบอกอย่างดื้อดึงทั้งยังบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย พี่กริชยอมปล่อยในที่สุด พอเป็นอิสระฉันก็วิ่งลงจากรถไปยืนกอดแขนแม่หมี่ทันที อย่างน้อยอยู่ข้างแม่หมี่ฉันก็จะปลอดภัยรอดจากการถูกดุ
“แม่คะวันนี้อากาศดีเรานั่งด้านนอกดีไหมคะ” ระหว่างที่เดินเข้าไปในร้านก็เอ่ยชวนแม่หมี่คุยเล่นไปเรื่อย
“ได้นะ ตรงนั้นดีไหม ใกล้น้ำลมน่าจะโกรกอยู่”
“ได้ค่ะแม่”
“กี่คนคะ” พนักงานเดินเข้ามาเอ่ยถามเราพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเราเดินไปจนถึงโต๊ะและกำลังจัดแจงที่นั่ง
“สี่คนค่ะ”
“ไม่ทราบว่าลูกค้าสนใจรับเครื่องดื่มอะไรคะ”
“น้ำอัด...”
“น้ำเปล่าครับ” คำว่าน้ำอัดลมยังไม่ทันจะได้เอ่ยจนจบ พี่กริชก็เอ่ยตอบเสียก่อน ฉันมองอีกฝ่ายงอน ๆ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวด้านในที่ติดกับสระน้ำเล็ก ๆ ของทางร้าน หมูกระทะต้องกินคู่กับน้ำอัดลมสิถึงจะอร่อย ทำไมเขาใจร้ายกับฉันแบบนี้ไม่เข้าใจเลย แค่น้ำอัดลมสักขวดก็ให้กันไม่ได้
“ต้องการชุดไหนเขียนใส่กระดาษไว้เลยนะคะเดี๋ยวจะกลับมาเอาค่ะ”
“ครับ” พี่กริชตอบรับ ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งเสร็จเรียบร้อยตรงข้ามเป็นแม่หมี่ที่กำลังมองฉันยิ้ม ๆ ส่วนพ่อคงก็มองแม่หมี่อย่างจนใจ ถามว่าคนข้าง ๆ ฉันทำอะไร จะบอกให้ก็ได้ว่าเขาน่ะกำลังเอากระเป๋าผ้าที่ฉันใส่โทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ไปค้นดู ไม่รู้ว่าค้นดูอะไร กระทั่งพอใจถึงได้หย่อนกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์และกุญแจรถของเขาใส่กระเป๋าฉันไว้
“ช่วงนี้ไม่มีหยุดยาวเลยเหรอ ไม่เห็นกลับไร่กันเลย” พ่อคงเอ่ยถามพี่กริช ฉันไม่ได้ฟังอะไรมากว่าพวกท่านคุยอะไรกันมือล้วงโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดเล่นเกมรอเครื่องดื่ม
“ช่วงนี้ยังยุ่ง ๆ อยู่ครับ เฟื่องดูจะเอาอะไรบ้าง” พี่กริชเลื่อนเมนูมาตรงหน้าและเอ่ยบอกฉันในท้ายประโยค
“เอาอันนี้ค่ะ อันนี้ด้วย” ฉันชี้นิ้วไปตามชุดเมนูที่ทางร้านจัดไว้ส่วนพี่กริชก็ทำหน้าที่เขียนตามที่ฉันชี้ เมื่อเขียนครบพนักงานก็เดินมาพร้อมกับเครื่องดื่มที่สั่งไป น้ำเปล่านั่นแหละค่ะ
“ทำหน้างออะไรแบบนั้น” พี่กริชแซวเสียงเจือแววขบขัน แต่ฉันไม่ขำด้วยหรอกนะ
“หนูอยากกินน้ำอัดลม”
“วันนี้ก็กินทั้งวันแล้วไม่ใช่เหรอ? ทั้งชานมทั้งน้ำอัดลมน่ะ” บ้าจริง เขารู้ได้ยังไงกัน
“แต่มันคนละส่วนนี่คะ ขอน้ำอัดลมด้วยได้ไหม” เริ่มอ้อนอีกฝ่ายเสียงหวาน มือก็ยื่นไปจับกางเกงเขาดึงไปมาอ้อน ๆ ตอนนี้ไม่กล้ามองหน้าเขาแล้วล่ะ
“นะคะ ขอขวดนึงได้ไหม”
“ถ้าปวดท้อง...”
“หนูจะไม่กินเยอะ แค่เทใส่แก้ววางข้าง ๆ ก็สบายใจแล้วไม่กินเยอะหรอกนะคะ”
“...” เมื่ออ้อนอยู่นานเขายังเงียบฉันจึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองเขา อีกฝ่ายมองหน้าฉันนิ่ง ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าแววตาเขากำลังขบขันก็ไม่รู้ จากที่นั่งหันข้างให้เขาตอนนี้ฉันขยับหันหน้ามองเขาตรง ๆ มือเปลี่ยนจากจับกางเกงมาเป็นจับนิ้วเขาแทน เขานั่งโดยใช้แขนข้างหนึ่งพาดที่เก้าอี้ที่ฉันนั่ง แล้วมือข้างที่ฉันจับอยู่เป็นมือข้างที่อยู่ห่างฉันออกไป แต่เวลานี้ต้องอ้อนก่อนเพื่อน้ำอัดลม
“พี่กริช ขอน้ำอัดลม...”
“ลองขอเพราะ ๆ ก่อน” อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอ
“พี่กริชขา” ฉันเอ่ยเสียงหวาน ทั้งยังมองเขาตาแป๋ว
“ขา...” อีกฝ่ายเสียงกระตุกไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมจ้องมองฉันกลับมา
“น้องเฟื่องขอน้ำอัดลมได้ไหมคะ”
“หนูจะกินเยอะไหมคะ” อีกฝ่ายถาม ฉันเองก็รู้ว่าเขาเป็นห่วง เพราะในหนึ่งวันฉันกินน้ำหวานและน้ำอัดลมเยอะมาก มีบ่อยครั้งที่ปวดท้องจนต้องกินยา แต่ว่า วันนี้น่ะ ขออีกนิดไม่ได้เหรอ
“หนูกินไม่เยอะ”
“หึ” พี่กริชหลุดยิ้ม
“พี่ให้แค่หนึ่งขวดเล็ก”
“เยส! ขอบคุณค่ะ” ฉันร้องอย่างดีใจ ยกมือเรียกพนักงานทันที เมื่อพนักงานของร้านเดินเข้ามาใกล้ก็ไม่รีรอที่จะสั่งเครื่องดื่มเพิ่ม
“เอาน้ำอัดลมอีกหนึ่งขวดค่ะ”
“ได้ครับ รอสักครู่ครับ”
“เฮ้อ จะดุได้เท่าไหร่กันเชียว เจอน้องอ้อนไปก็แพ้แล้ว” แม่หมี่เอ่ยขึ้นลอย ๆ พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ของพี่กริชที่มีแจ้งเตือนข้อความดังขึ้น แต่เจ้าของโทรศัพท์ไม่ได้สนใจจะหยิบขึ้นมาดูเลยสักนิด
“ก็รู้อยู่แล้วนี่ครับ” พี่กริชตอบกลับแม่หมี่ จากนั้นเราก็นั่งรอไม่นานของที่สั่งไปก็ถูกทยอยนำมาเสิร์ฟ แม่หมี่ชวนคุยสนุกมากเราคุยกันเรื่องทั่วไป ทั้งเรื่องที่ไร่ เรื่องผลไม้ที่กำลังมีผลผลิตและปิดด้วยแม่หมี่ชวนไปที่บ้าน
“พรุ่งนี้ตอนเย็นว่างไหมกริช”
“ไม่ว่างครับพ่อ ผมต้องขึ้นเวรถึงเที่ยงคืนเลย พ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีว่าเพื่อนพ่อชวนไปกินข้าว แล้วทางนั้นเขาอยากเจอลูกด้วยน่ะ”
“ทำไมต้องอยากจะเจอล่ะครับ ผมกับพวกเขาก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันอยู่แล้ว” บทสนทนาฟังดูเครียด ๆ แต่พี่กริชก็คงยังพลิกหมูบนเตาไปมาอันไหนสุกก็คีบมาใส่จานฉัน ช่างขัดกับบทสนทนานี้เหลือเกิน
“ก็พวกเขาอยากเจอ...”
“ก็บอกไปเลยสิ ว่าพวกเขาอยากยกลูกสาวให้ลูกฉัน ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกฉันจะหมั้นกับหนูเฟื่อง”
“แคก! แคก!” ว่าจะไม่สนใจแล้วนะ ทำไมเรื่องถึงวนกลับมาหาฉันอีกล่ะ แล้วอะไรนะ หมั้นเหรอ? บ้าไปแล้ว ฉันนึกว่ามันเป็นความฝันเสียอีก
“ค่อย ๆ กิน” พี่กริชเตือน มือก็ยื่นแก้วน้ำและทิชชูมาซับมุมปากให้
“แสบคอ” ฉันบอก
“เดี๋ยวกินน้ำเปล่า” เขาบอกแค่นั้นก็เปลี่ยนแก้วน้ำให้ฉัน น้ำจิ้มแทบจะขึ้นจมูกเมื่อได้ยินประโยคที่แม่หมี่พูดออกมา
“เรื่องนี้เราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านครับ แต่ผมบอกไว้เลยว่าผมไม่แต่ง ไม่หมั้น ไม่ว่ากับใครก็ตาม...”
“ถ้าเป็น...” เสียงแม่หมี่เงียบไป ฉันดูดน้ำอีกอึกใหญ่จึงดีขึ้น เงยหน้ามองคนนั้นทีคนนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ประโยคที่ว่า ไม่ว่ากับใครเขาก็จะไม่หมั้น ไม่แต่ง นั่นคงรวมถึงฉันอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ แต่ก็คงจะใช่แหละ เขาจะมาอยากหมั้นอยากแต่งงานกับเด็กกะโหลกกะลาอย่างฉันได้ยังไงกัน บ้าไปแล้วเหอะ
“ค่อย ๆ กิน”
“อื้อ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็กินแบบเดิมที่ตัวเองกิน
เราใช้เวลาที่ร้านปิ้งย่างนานเกือบสองชั่วโมงเมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านก็รีบขึ้นไปบนห้องเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานต่อ ตั้งใจไว้ถ้าหากทำงานชิ้นนี้เสร็จฉันไปอาบน้ำและกลับมาทำงานอีกชิ้นต่อทันที
เกือบห้าทุ่มเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ฉันจึงเดินไปเปิดดูเป็นพี่กริชที่อยู่หลังบานประตู ร่างสูงอยู่ในชุดพร้อมนอนนั่นคือเสื้อยืดสีเทากางเกงขาสั้น ยืนหลับตาผมชี้ฟูแต่ในมือถือแก้วน้ำไว้หนึ่งใบ
“พี่คะ”
“อือ พี่นึกขึ้นได้ว่าหนูยังไม่ได้กินยาลดกรดเลยชงมาให้” เขาบอกเสียงอู้อี้ แทบจะฟังไม่ออกว่าพูดว่าอะไร แต่มือที่ถือแก้วน้ำมากลับยื่นมาให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ” ท่าทางแบบนี้คือหลับไปแล้วแน่ ๆ แต่นึกขึ้นได้เลยลุกขึ้นมาชงให้
“ครับ รีบกินเดี๋ยวเอาแก้วไปเก็บให้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวหนูเก็บเอง พี่ไปนอนได้แล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ครับ ถ้าไม่สบายท้องเรียกพี่เลยนะ”
“ค่ะ ฝันดีค่ะ”
“ฝันดีครับ” พี่กริชบอกกลับพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้โน้มหน้าเข้ามาจูบที่หน้าผากเบา ๆ แล้วผละออกห่าง เขาเดินกลับเข้าห้องนอนอย่างคนละเมอ แต่คนที่มีสติครบถ้วนอย่างฉันนี่สิที่ใจเต้นแรงตึกตักกับการกระทำของเขาอีกแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำบ่อยแต่ก็ไม่เคยที่จะชินเสียที แบบนี้ฉันควรจะทำยังไงดี
ช่วงสายของวันถัดมา ฉันตื่นด้วยความมึนงงนั่งนิ่ง ๆ บนเตียงนอนอยู่หลายสิบนาทีก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงต่อ กว่าจะได้นอนก็เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงรถพี่กริชที่เคลื่อนออกจากโรงจอดรถของบ้าน ห้าโมงตรงฉันลงจากเตียงเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยวันนี้อยู่บ้านจึงเลือกชุดง่าย ๆ ที่ใส่แล้วสบายนั่นคือเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ฉันเคลียงานเสร็จแล้วตั้งแต่เช้ามืดตอนนี้เลยมีเวลาพักอยู่เล็กน้อยก่อนที่พรุ่งนี้จะเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ที่แสนจะน่ารักของฉัน
“ตื่นแล้วเหรอลูก” แม่หมี่ที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องรับแขกเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันเดินลงบันไดไป ฉันส่งยิ้มให้ท่านเขิน ๆ อายอยู่ไม่น้อยเมื่อนึกได้ว่ามีผู้ใหญ่อยู่ที่บ้านด้วย เล่นตื่นเสียเที่ยงแบบนี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วเหมือนกัน
“ฮา ๆ ๆ ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ ไป ๆ พี่กริชเขาสั่งก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านโปรดเรามาให้แล้ว” แม่หมี่บอกด้วยรอยยิ้มขบขัน
“พี่สั่งมาให้เหรอคะแม่”
“ใช่จ๊ะ ห่วงว่าเด็กแถวนี้ต้องออกไปซื้อเองเลยสั่งเข้ามาให้”
“แม่กินข้าวหรือยัง ไปกินพร้อมกันไหมคะจะเที่ยงแล้วด้วย”
“เอาสิ กินพร้อมหนูเลยก็ได้ แล้วก็แม่มีเรื่องจะคุยกับหนูด้วยนะ” เราทั้งสองเดินเข้าห้องครัว ฉันหยิบถุงก๋วยเตี๋ยวที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวมาจัดการเทใส่จานจากนั้นก็เอาเข้าไมโครเวฟ เพื่ออุ่นให้ร้อนอีกนิด ส่วนของแม่เก๋ท่านกินข้าวแทนเหมือนจะมีแม่บ้านทำไว้ให้ท่านแล้ว ใครจะมาโรคจิตกินก๋วยเตี๋ยวทุกวันแบบฉันกัน
“คุยเรื่องอะไรเหรอคะแม่”
“เรื่องหมั้นหนูกับพี่กริช” อ่า เรื่องนี้อีกแล้ว เอายังไงดี
“ขอโทษที่ทำให้หนูอึดอัดใจ แต่แม่กับแม่หนูคุยกันเรื่องนี้แล้วเราต่างเห็นพ้องกันว่าควรจะให้หมั้นแล้วแต่ง พี่เขาก็อายุเยอะแล้วอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที”
“แต่เราไม่ได้รัก...”
“รักสิ อีกอย่าง ถ้าไม่แต่งต้องมีคนอกแตกตายแน่เลยเชื่อแม่สิ”
“แม่คะ เรื่องแบบนี้เราจะเดาไปเองไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าพี่เขามีแฟนแล้วให้พี่เขาหมั้นกับแฟนจะดีกว่าไหมคะ”
“ตากริชไม่มีแฟน เพราะลูกชายแม่รัก...”
“คุณหมี่ ออกมาคุยกับผมหน่อย” เสียงพ่อคงเอ่ยขัด แม่หมี่หันกลับไปมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ด้านหลังเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองฉันดังเดิม
“เดี๋ยวแม่มานะลูก” แม่หมี่ส่งยิ้มให้ จากนั้นก็เดินออกจากห้องกินข้าวไป ตามด้วยพ่อคงที่เดินตามหลังไปติด ๆ ฉันปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้คุยกันอีกนิด ระหว่างรอแม่หมี่กลับมาก็อุ่นอาหารไว้ให้ด้วยเลย แต่รอสักพักใหญ่แม่หมี่ก็ยังไม่กลับมา ฉันจึงตัดสินใจจะเดินเข้าไปดูว่าแม่ยังโอเคดีไหม เพราะช่วงนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองเหมือนจะงอน ๆ กันอยู่
“คุณอย่ามาบังคับลูกแบบนี้คุณคง”
“คุณก็อย่าบังคับลูก ตากริชไม่ได้รักหนูเฟื่อง”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าตากริชไม่ได้รักหนูเฟื่อง หึ คุณเอาอะไรมามั่นใจว่าตากริชรักผู้หญิงคนนั้น”
“เพราะหนูจินเป็นเพื่อนตากริช และทั้งคู่ก็ทำงานด้วยกันที่โรงพยาบาล คอยดูแลกันมาตลอด คุณเลิกยัดเยียดเด็กคนนั้นให้ลูกสักที เปรียบเทียบกันแล้ว หนูจินดีกว่าเฟื่องเห็น ทั้งการงาน ฐานะทางครอบครัว เรื่องครอบครัวเฟื่องอีกพวกเขามีปัญหากัน...”
“คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าดีกว่า คุณก็ดีแต่ยัดเยียด ลูกให้ลูกสาวเพื่อนคุณ เคยมองเคยคิดจริง ๆ ไหมว่าลูกรักใครชอบใคร”
“คุณเองก็ไม่ต่างจากผมนักหรอก”
“แต่ฉันถามความสมัครใจของลูก ถ้ามองว่าฉันไม่ดีก็เลิกกันสิ เพราะคนดี ๆ แบบคุณจะได้กลับไปหายัยเด็กคนนั้น คนที่คุณนอนกับมัน....”
“ผมกับเด็กนั่นก็บอกไปแล้วว่าไม่มีอะไร ผมไม่เคยมีอะไรกับเขา...”
เสียงผู้ใหญ่ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงขึ้นฉันก้าวถอยหลังอย่างเหม่อลอยเมื่อได้ยินเรื่องราวที่น่าตกใจเหล่านั้น มีคนที่เพรียบพร้อมและเหมาะกับพี่กริชอยู่แล้ว และคน ๆ นั้นก็ชื่อจิน ทั้งเป็นเพื่อนพี่กริช ทั้งเป็นคนที่คอยช่วยเหลือพี่กริชเรื่องต่าง ๆ ทั้งคู่ทำงานโรงพยาบาลด้วยกัน ฮา ๆ ๆ ๆ ตลกจัง ทำไมพอได้รู้แบบนี้ฉันกลับปวดหนึบไปทั้งหัวใจแบบนี้กันนะ ก็แค่เขามีคนที่เหมาะสมกับเขาแล้วแค่นั้นเอง
“ยังไม่กินข้าวเหรอลูก” เสียงแม่หมี่เอ่ยถาม ท่านทรุดนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ตักข้าวใส่จานราวกับว่าก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้คุยเรื่องอะไรที่ทำให้รู้สึกเครียดกับพ่อคง แต่ด้านหลังท่านนั้นกลับมีผู้เป็นสามียืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“รอแม่อยู่ค่ะ”
“อ้าวเหรอ มา ๆ กินกันเถอะ ตอนบ่ายหนูออกไปข้างนอกไหมลูก”
“ว่าจะไปอยู่ค่ะ”
“แม่ไปด้วยได้ไหม” แม่หมี่เอ่ยขอน้ำเสียงติดเกรงใจ
“ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเราก็ออกไปกันเลยดีไหมคะ” ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วเผลอคิดฟุ้งซ่านอีก
ทำไมช่วงนี้สิ่งรอบตัวฉันถึงได้ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมดแบบนี้ มีเรื่องเข้ามารบกวนจิตใจตลอดเลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ แต่ตอนนี้เรื่องใหญ่ ๆ ที่ทำให้ฉันเสียใจอยู่ลึก ๆ คือเรื่องพี่กริชกับคนที่เหมาะสมกับเขาคนนั้น และเรื่องฉันในสายตาพ่อคง คนที่ฉันเรียกว่าพ่ออีกคนฉันนึกว่าท่านจะเข้าใจและเปิดรับกับอาชีพฟรีแลนซ์ของฉันเสียอีกแต่ที่ไหนได้ท่านกลับมองอาชีพที่ฉันทำไร้ค่ามากขนาดขนาดที่ยกเรื่องอาชีพฉันมาเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ชื่อจิน คนที่ท่านอยากได้เป็นลูกสะใภ้ ไหนจะเรื่องครอบครัวฉัน
ครอบครัวฉันปกติทุกอย่าง พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน พวกท่านตั้งรากฐานอยู่ที่นั่นโดยที่ฉันไม่อยากไปจึงทำให้มีปากเสียงกับคนเป็นพ่อก็เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าท่านจะมองเรื่องนี้เป็นปัญหา และพูดแบบนั้นออกมา ฉันเสียใจและเสียความรู้สึกอยู่ไม่น้อย ต่อไปก็คงจะต้องรักษาความรู้สึกตัวเองให้มากกว่านี้แล้วล่ะ ฉันไม่อยากจะเสียใจเพราะใครอีกแล้ว