Hi, Darling 2
“พี่นั่นแหละขึ้นไปอย่ามาดื้อใส่หนูนะ ทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็ไปพัก พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอีก ที่เหลือหนูจัดการต่อเอง” ฉันบอกเสียงดังฟังชัด ดึงจานออกจากมือเขาแล้วรีบเดินกลับเข้าไปในห้องครัว เสียงหัวเราะดังตามหลังมาเบา ๆ เมื่อวางจานที่อ่างล้างจานเสร็จก็หันกลังกลับตั้งใจจะไปเอาจานส่วนที่เหลือ แต่ไม่คิดว่าพี่กริชจะถือจานตามเข้ามา
“พี่เก็บมาหมดแล้ว”
“ค่ะ” อีกฝ่ายวางจานที่ล่างล้างจานและล้างมือเสร็จก็เดินกลับไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารไม่ยอมขึ้นไปพัก ส่วนฉันก็ล้างจานทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยก็เช็ดมือก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องกินข้าวที่มีพี่กริชนั่งอยู่
“อยากไปเกาหลีเหรอ?” ฉันเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยว มือหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวีที่เชื่อมเข้ากับไวไฟของที่บ้านทำให้ฉันเลือกดูหนังได้ตามใจคิด
“ใช่ค่ะ”
“จะไปวันไหน”
“หนูก็ไม่รู้ รอดูก่อนว่ากดบัตรคอนเสิร์ตได้ไหม”
“ของไทยก็จะกดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูจ้างกดไปสองสามร้านแล้ว แล้วก็จะกดเองด้วย”
“ทำอะไรก็ระวังด้วยล่ะ”
“ค่า”
“งั้นพี่ขึ้นไปพักแล้วนะ อย่าลืมปิดไฟ” พี่กริชเอ่ยย้ำ เพราะก่อนหน้านี้เขาคงจะเดินดูบ้านล็อคบ้านแล้วเรียบร้อยถึงได้เอ่ยบอกแค่ว่าให้ปิดไฟ ฉันนอนดูทีวีอยู่จนถึงดึกรู้ตัวแค่เผลอหลับไปตอนห้าทุ่มโดยที่ยังไม่ทันได้ปิดทีวี หลับไปทั้งอย่างนั้นเลย ไม่รู้ทำไมพอรู้สึกตัวตื่นถึงได้อยู่บนเตียงนอนก็ไม่รู้ ตีห้าครึ่งฉันขยับตัวลุกตามเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ แม้จะง่วงงุนมากแค่ไหนก็ต้องลุกเดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันและทำข้าวต้มไว้ให้พี่กริชที่จะออกไปทำงานตอนเช้า ก็คุยกันไว้แล้วนี่นาว่าจะกินข้าวต้มตอนเช้า
ใช้เวลาสักพักใหญ่ก็ทำข้าวต้มไว้ให้อีกฝ่ายเสร็จ หลังทำเสร็จได้ไม่นานพี่กริชก็เดินลงมาที่ห้องครัวพร้อมกับกระเป๋าทำงานของเขา
“กาแฟด้วยไหมคะ?” ฉันถาม
“ครับ กินข้าวพร้อมพี่เลยไหม?” พี่กริชถามกลับมา
“ไม่ค่ะ หนูง่วง เดี๋ยวชงกาแฟให้นะคะ” ฉันหยิบผงกาแฟขึ้นมาชงในสูตรที่พี่กริชชอบกิน แก้วเก็บความเย็นถูกหยิบออกมาใช้อีกครั้ง ฉันชงเสร็จก็ตักน้ำแข็งจากเครื่องทำน้ำแข็งใส่ในแก้ว
“เฟื่อง”
“คะ?” กาแฟดำถูกเทใส่แก้วเก็บความเย็นเรียบร้อย ฉันยกไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าวไม่ไกลจากจุดวางกระเป๋าของเขา
“ถ้าแม่มาถึง ช่วงบ่ายพาแม่ไปเที่ยวก็ได้ช่วงนี้แม่เครียดนิดหน่อย”
“ได้ค่ะ พี่จะออกไปเลยไหม?”
“ครับ เดี๋ยวออกไปเลย ถ้าจะกลับไปนอนต่อก็ล็อคบ้านดี ๆ นะเข้าใจไหม” พี่กริชย้ำอีกครั้งเมื่อฉันเดินออกไปเปิดประตูรั้วให้เขา ก่อนไปไม่ลืมเลื่อนกระจกรถลงมาย้ำก่อนจะไปอีกครั้ง
“อยู่บ้านห้ามซนนะ พี่ไปทำงานก่อนเสร็จแล้วจะรีบกลับ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ รีบปิดรั้วบ้านกลับเข้ามาในบ้านก็ล็อคบ้านปิดม่านแล้วรีบขึ้นไปนอนต่อ นี่ไม่ใช่เวลาตื่นของฉันเลยสักนิดดังนั้นขอกลับไปนอนต่อก่อนนะคะ เจอกันเมื่อฉันตื่นก็แล้วกัน
เกือบเที่ยงครึ่งฉันนั่งคุยกับคุณป้าหมี่ ที่เป็นแม่พี่กริช ตอนนี้ท่านกำลังงอนที่ฉันยังเรียกท่านว่าป้าไม่ยอมเรียกว่าแม่ ท่าทางแสนงอนของท่านทำให้ฉันยิ้มอ้อนกลับไปและชวนคุยเรื่องอื่นแทน น่าแปลกที่มารอบนี้ท่านมาคนเดียวไม่มีคุณลุงมาด้วย
“คุณป้าอยากไปเดินเล่นไหมคะ”
“หือ? เดินที่ไหนลูก” ป้าหมี่ทวนถามน้ำเสียงสงสัย ท่านคงจะเครียดจริง ๆ นั่นแหละดูไม่ค่อยมีความสุขเลยสักนิดเดียว
“ป้า...แม่อยากไปไหนหนูจะพาไปเองค่ะ ไปได้ทุกที่เลย” ต้นประโยคถึงกับเปลี่ยนคำไม่ทันเพราะโดยคุณป้ามองดุ แต่พอเปลี่ยนคำอย่างรวดเร็วท่านก็เปลี่ยนเป็นยิ้มขำแทน
“ไปเดินห้างกันไหม แม่อยากได้เสื้อผ้าใหม่ด้วย แล้วก็เราไปกินข้าวที่นั่นดีไหม”
“ได้ค่ะ แม่ขึ้นไปอาบน้ำก่อนไหมคะ”
“ดีเหมือนกันลูก” แม่หมี่เดินขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องว่างอีกห้อง ส่วนฉันก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเช่นเดียวกันระหว่างที่กำลังแต่งหน้าฉันก็โทรหาพี่กริช
(ครับ เป็นไงบ้างแม่ถึงหรือยัง) ยังไม่ทันจะได้เอ่ยทักทายอะไร พี่กริชก็เป็นฝ่ายถามกลับมาเสียก่อน
“ถึงตอนเกือบเที่ยงค่ะนั่งคุยกันนิดหน่อย แล้วก็จะออกไปกินข้าวที่ห้าง จะช็อปด้วยค่ะ”
(แวะเข้ามาเอาบัตรกับพี่ก่อนไหม...)
“ไม่ค่ะ หนูมีอยู่ แต่พี่กริช”
(ครับ?)
“ป้าหมี่ดูเครียด ๆ นะคะ”
(พี่ก็พอรู้อยู่ ฝากหนูดูแม่ด้วยนะ มีอะไรโทรหาพี่ได้เลย)
“ได้ค่ะ งั้นหนูวางแล้วนะ”
(ครับ รับรถระวังด้วยนะ)
“รับทราบค่ะ วางแล้วนะ บายค่ะ”
สี่สิบนาทีให้หลังฉันและป้าหมี่ก็มาถึงห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เราตกลงกันว่าจะไปกินข้าวกันก่อนเสร็จแล้วค่อยเดินเที่ยวเดินซื้อของด้วยกัน พี่กริชก็ส่งข้อความมาถามเรื่อย ๆ ว่าอยู่ไหนกันแล้วฉันก็ตอบบ้างในช่วงแล้วหลัง ๆ มานั้นแทบจะไม่ได้ตอบเลยเพราะมัวแต่เดินเที่ยวเล่น
“แม่คะ อันนี้สวยไหม?” เสื้อตัวสวยถูกชูขึ้นตรงหน้า ป้าหมี่มองยิ้ม ๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบ
“สวยลูก มีแค่สีนี้เหรอ มีสีอื่นอีกไหม?”
“มีเยอะเลยค่ะ เราซื้อใส่คู่กันไหมคะแม่”
“แม่ใส่แล้วจะตลกหรือเปล่าลูก”
“เอาอะไรมาตลกละคะ เสื้อแบบนี้มันใส่ได้ทุกวัยอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องสนใจสายตาหรือคำพูดคนอื่นเลยค่ะแม่ แค่เราอยากแต่งตัวแบบไหนก็ได้หมดเลยค่ะ” ฉันเชียร์อัพป้าหมี่เต็มที่เช่นเดียวกัน เพราะแววตาท่านดูชอบมากแต่ก็ยังลังเลไม่กล้าใส่
“ทำในสิ่งที่ชอบแต่ยังคงความถูกต้องและถูกกาลเทศะสินะลูก”
“ใช่ค่ะแม่ ให้ถูกกาละเทศก็พอแล้ว อย่ามัวแต่สนใจสิ่งที่คนอื่นพูดเลยนะคะ ความชอบเรา เราก็ทำให้มันมีความสุขแค่นั้นเอง”
“อื้อ แม่จะทำแบบนั้นนะ”
“ถ้างั้นชุดนี้ เรามาใส่ให้เป็นชุดคู่กันเถอะค่ะ”
“ได้ลูก” สองชั่วโมงกับการเดินเที่ยวเล่นในห้างสรรพสินค้า พอเหนื่อยก็เดินไปนั่งที่ร้านเครื่องดื่มชื่อดังเราได้เครื่องดื่มมากันคนละแก้วและขนมเค้กอีกสามสี่ชิ้น เมื่อเรากลับมาถึงบ้านก็ต่างฝ่ายต่างไปพักผ่อน เกือบหกโมงเย็นพี่กริชกลับมาถึงบ้านพร้อมกับก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดฉัน นอกจากนี้ยังมีกับข้าวที่เขาซื้อติดมือมาด้วย เจ้าตัวส่งข้อความมาบอกแล้วว่าไม่ต้องทำมื้อเย็นเดี๋ยวเขาจะซื้อเข้ามาเอง
“นั่งรถเหนื่อยไหมครับ” พี่กริชคุยกับแม่เขา ส่วนฉันก็แกะกับข้าวใส่จานจากนั้นก็ตักข้าวใส่จานสองใบเพราะฉันไม่กินข้าวน่ะฉันจะกินก๋วยเตี๋ยว
“อ้าว ทำไมไม่กินข้าวล่ะลูก” ป้าหมี่ถามอย่างสงสัย แต่คงจะเข้าข้างลูกชายคนเล็กของท่านที่เริ่มฟ้องแม่ตัวเองเรื่องที่ฉันไม่ชอบกินข้าวและกินแต่ก๋วยเตี๋ยว
“รายนั้นไม่ชอบกินข้าวครับ เช้าเย็นกินแต่ก๋วยเตี๋ยว ข้าวก็กินแค่วันละมื้อสองมื้อ”
“ไม่ต้องฟ้องแม่เลยนะ”
“ทำไมล่ะ ก็ดื้อ ขนาดพี่บอกยังไม่ฟังเลย”
“ก็หนูเคยบอกไปแล้วไง แม่หมี่พี่กริชดุหนูอีกแล้ว ชอบดุ”
“ตากริชก็อย่าดุน้องมากนักสิ น้องชอบก็ให้น้องกินไป” เยส! คุณป้าเข้าข้างฉันแล้ว ฉันมองพี่กริชอย่างผู้ชนะ อีกฝ่ายตีหน้าดุใส่ แต่มือยังตักกุ้งแช่น้ำปลามาใส่ปากอย่างตั้งใจแกล้ง
“อื้อ!”
“กินไป อย่าพูดเยอะ”
“ใจร้ายที่สุดเลย” ฉันร้องโวย ป้าหมี่หัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่าฉันและพี่กริชเริ่มก่อสงครามกันอีกครั้ง
“พี่เหรอใจร้าย?”
“...”
“พี่น่ะใจดีที่สุดแล้วไม่รู้หรือไง”
“ซื้ออะไรบ้างวันนี้” พี่กริชถามเสียงเบาในจังหวะที่ฉันกำลังล้างจาน ป้าหมี่ออกไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น ส่วนเจ้าของบ้านอย่างพี่กริชกลับมายืนเฝ้าฉันล้างจานแทนที่จะไปนั่งคุยกับแม่เขา ฉันนี่งงมาก
“ก็ซื้อเยอะเลยค่ะ เสื้อผ้า รองเท้า ซื้อเลนส์กล้องอันใหม่ด้วย”
“หือ? เลนส์ใหม่ เพิ่งซื้อไม่ใช่ไหม?”
“ก็ค่ะ แต่มันออกใหม่และดีกว่าไง”
“เฮ้อ โอเค ๆ ไม่ได้จะดุอย่าเพิ่งทำหน้างอแบบนั้น กินผลไม้ไหมจะได้ล้างให้”
“ไม่ค่ะ อิ่มแล้ว พี่ออกไปรอกับป้า...”
“เรียกใหม่”
“เอ่อ พี่ออกไปรอกับแม่ก็ได้ เดี๋ยวหนูล้างจานเสร็จจะรีบตามออกไป”
“ครับ จะรอนะรีบมา” ฉันไม่รู้ว่าทั้งพี่กริชและป้าหมี่มีอะไรจะคุยกับฉันถึงต้องรอให้พร้อมหน้าพร้อมตาและดูมีเรื่องที่น่ากังวลใจแบบนี้ หรือท่านจะให้ฉันย้ายออกจากบ้านกันนะ อันนี้ก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็บางทีพี่กริชอาจจะมีแฟนแล้วแฟนไม่พอใจที่ฉันยังพักอยู่กับเขา อันนี้ก็มีความเป็นไปได้สูง หรือว่า...
“ยืนทำหน้างงอะไร มานั่งก่อนแม่มีเรื่องจะคุยด้วย” พี่กริชบอกด้วยน้ำเสียงเจือแววขบขัน ก็แน่สิ ฉันเผลอทำหน้าตลก ๆ ออกไปแน่ ๆ เลยเขาถึงได้กลั้นขำอยู่แบบนั้น
“พร้อมหรือยัง” พี่กริชถามย้ำ มือก็ยื่นมาดึงมือฉันให้นั่งลงข้าง ๆ เขา
“ค่ะ”
“แม่พูดเลยครับ”
“ก็ได้ ๆ คือแม่จะให้น้องเฟื่องกับพี่กริชหมั้นกัน สักปีหน้าค่อยแต่ง....”
ในหูของฉันอื้ออึงไปหมด สติละเลือนฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยสักนิด สติฉันหายไปตั้งแต่ที่ได้ยินว่าจะให้หมั้นกับพี่กริชแล้ว จะหมั้นได้ยังไงกัน เขาเองก็น่าจะมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมฉันกับเขาต้องหมั้นกัน หรือยังไง ฉันงงไปหมดแล้ว
“เดี๋ยวผมอธิบายให้น้องฟังเองครับ”
“น่ารักจริงเชียว ตกใจยังทำหน้าตาน่าเอ็นดูเด็กคนนี้”
“แม่ครับ...พ่อกำลังเดินเข้ามา”
“แม่ขึ้นไปพักก่อนละกัน ฝันดีลูก ฝากดูน้องด้วย”
“เฟื่อง เฟื่องครับ” เสียงเรียกพร้อมกับแรงเขย่าที่ไหล่ทำให้รู้สึกตัวอีกครั้งพร้อมกับความมึนงงที่ยังเกาะกินความความรู้สึกอยู่
“ขึ้นไปรอบนห้องก่อน เดี๋ยวพี่ตามขึ้นไป” พี่กริชบอกเสียงนุ่ม มุมปากยังยกยิ้มขำอยู่
“...”
“ไปครับ เดี๋ยวพี่ไปเปิดประตูให้พ่อก่อน”
“...”
“เราค่อยมาคุยกันนะครับ” พี่กริชเดินออกไปเปิดประตูบ้านส่วนฉันพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับมาจากนั้นก็เดินขึ้นไปยังบนห้องนอน ไม่หรอก บางทีฉันอาจจะฝันไปก็ได้ ใช่สิ ต้องฝันไปแน่ ๆ ไม่มีทางหรอกที่เขาจะยอมหมั้นยอมแต่งอะไรกับฉัน ที่ผ่านมาก็เหมือนเขามีแฟนอยู่แล้วนะ ฉันเคยเห็นเบอร์ล่าสุดที่เขาโทรออกถูกบันทึกไว้เป็นชื่อ Darling ด้วยนะ คนเราอ่ะถ้าไม่ใช่แฟนจะบันทึกชื่อแบบนั้นเหรอไม่ใช่หรอก
“นอนเฟื่อง นอนก่อน ต้องตื่นจากฝันให้ได้”
ทวนบอกตัวเองเสียงงึมงำพยายามข่มตาให้หลับ อาจเป็นเพราะทั้งตื่นเช้าและออกไปตะลอนเที่ยวตลอดทั้งบ่ายจึงทำให้หลับไปในที่สุด ดีแล้ว หลับไปแบบนี้น่ะดีแล้ว จะได้ตื่นไปเจอโลกความเป็นจริงสักที แม้ในฝันฉันยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอเนี่ย ให้ตายสิ อุตส่าห์ซ่อนความรู้สึกไว้ลึกขนาดนี้ยังจะตามมาหลอกหลอนอีก เรื่องระหว่างฉันและพี่กริชไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ตื่นนะเฟื่องฟ้า
“อ้าว หลับแล้วเหรอ หึ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้”
“ฝันดีครับดื้อ”