ตอนที่ 10
เสียงกรุ่นไอความโกรธที่มากระทบ ทำให้ดาราเนตรค่อนข้างจะงุนงงเป็นอย่างมาก เท่าที่คบกันมา ยกเว้นครั้งที่เธอถูกทำร้ายครั้งนั้นที่เธอได้เห็นความโกรธของเพื่อน
คิ้วเข้มขมวดเข้ากัน เธอเหลียวมองตามเสียงที่ได้ยินในทันที
“อยู่นี่...มีอะไรหรือเปล่าจา หน้าตาแกเหมือนกับอยากจะกัดขย้ำใครให้จมเขี้ยวอย่างงั้นแหละ”
มาแบบนี้เดาได้ไม่ยากเลย เรื่องมันคงจะเกี่ยวกับเธออีกนั่นแหละ และน่าจะไม่ใช่ใครที่ไหนที่สร้างเรื่อง ก็คู่กัดคู่แค้นคนที่เธอเพิ่งเจอนั่นแหละ
เพียงคิดว่าพีชาริกานำเรื่องของเธอไปตีไข่ใส่สีจนไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไงจากปากอมสุนัขเต็มฟาร์มและช่างปั้นเรื่องโกหกพกลมทำให้เพื่อนได้ร้อนอกร้อนใจจนลมออกหูแบบนี้ เธอก็เหนื่อยใจขึ้นมาทันที
“คนที่มีคือแกนั่นแหละ ยายเพื่อนบ้า!” จารุชาตวาดกลับ เดินไปทรุดตัวลงนั่งใกล้กับดาราเนตร ตวัดใบหน้าบึ้งตึงใส่เพื่อนวงโต ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้าง เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนอิงขอบหน้าต่างมองเธอและดาราเนตรด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่วงท่าสบาย ๆ
“นั่นใครยายเนตร ผู้ชายคนที่ยายริกาพูดถึงใช่ไหม”
“สวัสดีครับ ผมชื่อปรมัตถ์เป็นว่าที่สามีของเพื่อนคุณครับ” กลายเป็นคนที่ถูกเอ่ยถึงตอบเสียเองและยังจะส่งรอยยิ้มมีเสน่ห์มอบให้ไปอีกด้วย ทำเอาคนถูกมองถึงกับหน้าแดง
“เราสองคนคิดว่าจะจดทะเบียนกันภายในหนึ่งถึงสองวันนี้ รบกวนคุณที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของเนตรอยู่ช่วยเป็นพยานให้ แบบว่าคนบางคนจะได้ไม่บิดพลิ้วผิดคำพูด” ท้ายสุดของประโยคปรมัตถ์ย้อนไปหาคนที่หาทางยกเลิกคำพูดที่ได้รับปากไว้ด้วยสีหน้าเหมือนกำลังยิ้ม แววตาวามวาวมองดาราเนตรที่ถลึงตาใส่เขาตั้งแต่ยังพูดไม่ทันจบ
“สวัสดีค่ะ ฉันจารุชา เพื่อนรักของเนตร” จารุชาพยักหน้ารับและตอบกลับอย่างงุนงง มองหนุ่มที่เพิ่งจะแนะนำตัวเองสด ๆ ร้อน ๆ ก่อนหัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน เท่าที่เห็นบอกได้เลยว่าคนตรงหน้าไม่ใช่กุ๊ยข้างถนนอย่างที่พีชาริกากล่าวอ้าง ดูดีและหล่อสง่างามอีกต่างหาก แต่...เมื่อหันไปมองเพื่อนที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ช่างไม่เหมือนกับที่กำลังจะแต่งงานเลย
อ้าว...เธอลืมไปได้ยังไงกัน ดาราเนตรไม่อยากแต่งงานเสียหน่อย แต่ที่ทำทุกอย่างเพราะอย่างจะมีเบบี๋อย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหน ถึงได้ถูกปรมัตถ์บังคับจับมัดให้ต้องจดทะเบียนสมรสด้วย ดูท่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วยซิ เพราะดูแล้วชายตรงหน้าหมายหมั่นปั่นมือต้องเอาชนะให้ได้
แม้แวบหนึ่งในความคิด กลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาเปรียบเพื่อนรักแต่ไม่รู้สิ อะไรบางอย่างบอกให้เธอรู้ว่าชายหนุ่มไม่ทำอย่างนั้น แล้วยังจะเป็นคนที่จะปกป้องคุ้มครองภัยให้ดาราเนตรได้อย่างดีอีกด้วย คิดได้ดังนั้นจารุชาก็สบายขึ้น ใบหน้าที่บูดบึ้งเมื่อครู่เลยแย้มยิ้มอย่างสดใสอย่างที่เป็นมาตลอด
“ไม่จริงนะจา แกอย่าไปเชื่ออีตาบ้าจอมขี้ตู่นี่นะ ฉันยังไม่ได้ตกลงใจรับเลยนะ พูดเองเออเองทั้งนั้น” ปากบอกเพื่อนรัก แต่ตวัดค้อนใส่ปรมัตถ์ขวับ ๆ
“หรือครับคุณว่าที่เมีย แต่ถ้าผมจำไม่ผิดตอนที่เรา…” ปากหนาเพียงแค่ขยับเป็นคำพูดว่า “จูบ” ใส่หน้าดาราเนตร ทำให้เห็นพวงแก้มนุ่มเห่อแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธระคนอาย
“กันเสร็จก็เหลือแค่กอด” เขายิ้ม นัยน์ตาพราวระยับมองคนที่ขยันตวัดค้อนใส่ไม่ยอมหยุด
“คุณเป็นคนตอบตกลงจดทะเบียนกับผมเองนะ มีอีกคน...อ๋อ ญาติที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าคุณเป็นพยานด้วย ผมไม่ยอมนะคุณ พูดแล้วห้ามคืนคำด้วย”
ปรมัตถ์ยกแขนขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก เลิกคิ้วยียวนกวนใจดาราเนตร ยังไงเขาจะต้องจับแม่สาวน้อยแสนหวานแต่พยศจัดไปนิดคนนี้จดทะเบียนให้ได้ เรื่องอะไรจะปล่อยเนื้อสมันหวาน ๆ ให้ตกไปอยู่ในมือผู้ชายคนอื่นเล่า
“ใช่เลยเนตร เพราะยายริกาไปป่าวประกาศว่าแก!” จารุชาชี้หน้าเพื่อน “ยืนจูบกับผู้ชายกลางถนน แล้วก็จะแต่งงานกับกุ๊ยด้วยล่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้คิดจะเข้าข้างคุณปรมัตถ์หรอกนะ” หญิงสาวหันไปส่งยิ้มแหย ๆ ให้ปรมัตถ์ก่อนจะหันกลับไปกระซิบกระซาบกับดาราเนตร
“แต่ถ้าไม่มีการจดทะเบียนสมรสกัน แกมีหวังถูกยายริกากับพ่อเล่นงานงอมพระรามแน่เลยวะ สองคนนั้นกะเหี้ยนกะหือรืออยากถีบแกให้พ้นจากกองมรดกจะแย่อยู่แล้ว”
“แต่ฉันไม่ชอบนี่น่า แล้วแกดูสายตาอีตาบ้านั่นสิ มองมาแต่ละที ยังกะจะกินฉันไปหมดทั้งตัวงั้นแหละ เห็นแล้วขยะแขยงนะแก” ดาราเนตรข่มกลั้นความรู้สึกแปลก ๆ ที่ผุดขึ้นยามที่คิดถึงสัมผัสที่ทำให้วาบหวามปั่นป่วนเมื่อยามเขาใกล้ชิดไว้ให้ลึกที่สุด
“จริง!” จารุชาถามเสียงยาว ดวงตาวาววับและยิ้มมีเลศนัย ก็สายตาเพื่อนรักไม่ได้บอกอย่างนั้นนี่น่า ดูท่าอยากจะกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของปรมัตถ์อย่างรวดเร็วเสียด้วยสิ ก็แหม...แค่เห็นตอนมีเสื้อผ้าอยู่ครบแต่กระดุมเสื้อหลุดออกสองสามเม็ดให้เห็นอกกว้างล่ำสันกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ยังน่ากินขนาดนี้ โอ้ย...ใจจะละลายแล้ว หุ่นก็ทรมานใจสาวขนาดนี้ แถมหน้าตาก็...
ใบหน้ารูปเหลี่ยมคมคายด้วยเครื่องหน้าเข้มที่รับกันทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหน้าผากกว้าง คิ้วหนาเป็นปื้น จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากหนาหยักเล็กน้อย เห็นแล้วอยากถูกจูบชะมัด มันจะรู้สึกดีอย่างที่คิดหรือเปล่านะ แก้มของจารุชาร้อนผ่าวไปหมด
“ถ้าอย่างนั้นแกก็จีบสิ” ดาราเนตรชักสีหน้าใส่เพื่อน ไม่รู้ทำไมถึงได้หงุดหงิดนักที่เห็นจารุชาทำตาวามวาวเคลิ้มฝันส่งให้ปรมัตถ์
“อยากจีบนะ แต่ดูว่าเขาไม่สนใจฉันเลยนะแก สนใจแต่แกอยู่คนเดียวนี่น่า ฉันว่าเขาน่าจะหลงรักแกเข้าให้แล้วนะเนตร” จารุชากระซิบหยอกเย้าเพื่อนและได้เห็นพวงแก้มนุ่มเห่อแดงขึ้นมาทันควัน
“นี่คุณเนตร”
“มีอะไรอีกล่ะคุณปรมัตถ์” ดาราเนตรหันไปทำหน้าทำเสียงแหลมเล็กใส่เรียก
ปรมัตถ์ไม่สนใจโทสะของว่าที่เมียที่ส่งมาให้ ยังคงยิ้มรับหน้าตาเฉย “ผมร้อนอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย”
“คุณก็เดินออกไปทางประตูนะ แล้วก็เลี้ยวซ้าย เดินไปอีกสักสี่ห้าก้าวแล้วก็เลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกไม่ถึงห้าสิบเมตรจะมีคูน้ำตื้น ๆ คุณก็แก้ผ้าแล้วกระโดดลงไปอาบสิ รับรองได้ว่าไอ้ที่คุณป่าวประกาศว่าอยากได้เมียนะ ฉันให้คุณได้สิบคนเลย”
“เฮ้ย! แกจะบ้าหรือไงยายเนตร” จารุชาอ้าปากค้างกับคำตอบของเพื่อน ศีรษะทุยสะบัดส่ายอย่างอิดหนาระอาใจ ดูท่าแล้ว กว่าปรมัตถ์จะปราบพยศดาราเนตรให้ยอมศิโรราบได้ ชายหนุ่มคงจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย เธอภาวนาให้ชายหนุ่มทำได้ เพราะอยากให้เพื่อนได้ผู้ชายที่จะสามารถปกป้องคุ้มครองและต่อสู้กับสองพ่อลูกวายร้ายพีรัชกับพีชาริกาได้
“ไม่ได้บ้า แค่ไม่อยากให้ใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า” ดาราเนตรหันไปเน้นย้ำคำว่าหัวนอนปลายเท้าหนัก ๆ ใส่ปรมัตถ์ “มาอยู่ร่วมบ้าน ร่วมห้องนอนด้วยก็เท่านั้น”
“จะว่าไป...คุณพูดมาก็ถูกนะเนตร” ปรมัตถ์พยักหน้าสนับสนุนความคิดคนพูด “เพื่อนคุณเขาก็พูดถูกจริง ๆ นั่นแหละครับคุณจา จะให้คนไม่รู้จักกันมาอยู่ร่วมบ้านกันได้ยังไง ใช่ไหมครับ” ปรมัตถ์ตอบรับคำพูดดาราเนตรและยิ้มใส่ตาหญิงสาว