ในทุกๆครามิว่ามีงานสำคัญในฤดูใด องค์ไท่จื่อมักจะติดภารกิจจนมีเพียงองค์ชายรองเท่านั้นที่สตรีได้พบปะในวังหลวง มิมีผู้ใดแพร่งพรายนักว่า องค์ไท่จื่อนั้นสง่างามเพียงใด บางคราก็ชอบใส่หน้ากาก หากประสงค์จะออกในท้องพระโรงเคียงคู่กัน บางผู้คนยังคาดว่าองค์ชายทั้งสองนั้นประสูติต้นปีและท้ายปี แต่ทว่าห่างกันเพียงเสี้ยวนาทีข้ามคืน ทรงประสูติตอนปีใหม่นั้นเอง และผู้ที่มักจะจัดงานฉลองนั้นมักเป็นองค์ชายรอง ที่มิมีภารกิจอันใดนัก แตกต่างจากองค์ไท่จื่อ ที่จะรับของขวัญอย่างลึกลับ ในวันคล้ายวันเกิดของอนุชาของตนเองนั้น
ขุนนางโดยมากก็มิรู้ มีเพียงความลับที่ยังมิเปิดเผยอันใดนัก หลายผู้คนเข้าใจในเรื่องความปลอดภัยขององค์ไท่จื่อ ที่มิยินยอมเปิดเผยใบหน้าแก่ผู้คน สิ่งลี้ลับที่มิมีผู้ใดกล้าวิจารณ์นัก หวั่นเกรงว่าหัวจะขาดลอยเสียก่อนที่จะแก่เฒ่า เช่นนี้นานวันไปผู้คนก็คุ้นชินไปเอง
ยามพบเจอองค์ชายรอง ผู้คนก็มักจะคบหาและทักทาย บอกกล่าวความคิดต่างๆส่งผ่านไปสู่องค์ไท่จื่อ เฉกเช่นดุจเดียวกัน เสมือนสองพี่น้อง ทั้งสองพระองค์คงมิมีสิ่งใดซ่อนเร้นต่อกัน หากจะเป็นเช่นนั้นเห็นทีคงเป็นการบดบังขององค์ชายรองแล้ว แต่ทุกคนก็มิมีอันใดขัดข้อง ในการฝากข่าวสารถึงองค์ไท่จื่อ ก็มักจะมีสาส์นตอบกลับมาเสมอๆ ผู้คนก็ยกยิ้มยินดีนักมิมีอันใดขุ่นเคืองอีก
ผ่านพ้นคืนวันมา ฝนก็เทลงมาหนักหน่วงนัก แม่น้ำสายต่างๆเริ่มขุ่นขึ้น ผู้คนทยอยอพยพมาเมืองหลวงมากผิดปกติ แต่ก็ดีที่เป็นชายร่างกำยำตัวใหญ่โต บ้างก็มาเข้าสำนักคุ้มภัย โรงงิ้ว เป็นกุลีแบกหาม ตามจวนของขุนนางต่างๆ องค์ชายรองรับผู้คนไว้ถึงห้าร้อยคน แจ้งวังหลวงว่าจะนำกำลังผู้คนนี้ไปช่วยประชาชนยามน้ำหลาก
วังหลวงก็มิมีผู้ใดกล้าคัดค้าน บางผู้คนก็คล้ายนึกไปว่า องค์ชายรอง คือองค์ไท่จื่อไปเสียแล้วในยามนี้
ฝนตกลงมาหนัก องค์ชายรองมีจดหมายมาถึงหลิวจิวอิง เนื้อความว่ายามนี้มีบุรุษมากมายนักในจวน ห้ามนางไปมาหาสู่ที่จวนตน เพราะว่าอาจมีเหตุมิคาดฝันเกิดขึ้นต่อสตรีผู้งดงามนัก ทรงกำชับว่าหากพระองค์ว่างยามใด จะไปหานางเองที่จวน และส่งบทกลอนรักมาเกี้ยวนางเสียทุกค่ำเช้า และฝากองครักษ์ลับมาสิงสู่อยู่บนหลังคาจวนของนาง
หลิวจิวอิงจึงได้โต้ตอบบทกลอนแก้เบื่อหน่าย และสลักใบเฟิงเป็นบทกลอนนำไปตากแห้งเสีย ก่อนส่งไปให้คู่หมั้นของตน นางย้อมขี้ผึ้งเคลือบไว้อย่างงดงามนักและส่งไปให้องค์ชายรอง ยามฝนตกนางนั่งประดิษฐ์ดอกไม้ปลอมจากดินปั้น และวาดภาพเขียนงดงามเป็นหมู่มวลดอกมู่ตานและนกคู่หนึ่ง ส่งให้ไป
และยามฝนตกติดต่อกันอากาศชื้นนัก นางปักผ้าคลุมลวดลาย ที่นางสอบถามจากเหล่าองครักษ์ ว่าองค์ชายต้องสวมฉลองพระองค์เช่นใด เหล่าองครักษ์ก็โบยบินไปหอบหิ้ว ฉลองพระองค์ที่แท้จริง มาให้นางเป็นแบบฝึกหัด ทุกสิ่งล้วนมีแต่ลายมังกรและลายเมฆา บิดาของนางมองตามไปดวงตามิกระพริบ แต่ทว่าก็มิกล้าเอ่ยอันใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ บิดามิถามบิดามิไถ่ นางก็ตัดผ้าและเย็บปักฉลองพระองค์งดงาม ออกมาได้ถึงสิบชุดเลยทีเดียว
องครักษ์ชื่นชมนักว่างดงามกว่ากองภูษาในวังหลวงมากเสียอีก แล้วองครักษ์ก็หอบหิ้วไปให้นายตนอย่างยินดีมากนัก ยามที่ฉลองพระองค์ถึงพระหัตถ์องค์ไท่จื่อแล้ว องค์ไท่จื่อมีใบหน้าเคลิ้มฝัน ถือฉลองพระองค์ไปโอ้อวดบิดาตน ยามองค์ฮ่องเต้ทอดมองลงมาพบ จึงฉกฉวยฉลองพระองค์สีแดงไปเสียถึงหนึ่งตัว องค์ไท่จื่อถึงกับดิ้นลงไปบนพื้นพระบิดาก็สรวลลั่น
"ฝีมือตัดเย็บของนางช่างปราณีตงดงามนัก เจ้าก็ให้นางตัดเย็บสีแดงขึ้นมาใหม่อีกสองตัว อย่างไรวันวิวาร์พวกเราก็ต้องสวมไส่มัน เจ้าก็บังคับเจ้าสาวตัดขึ้นมาอีกเสียมิดีหรือ พวกเราทั้งสามจะได้สวมใส่เช่นเดียวกันอย่างไรเล่า"
เช่นนี้หลิวจิวอิง จึงตัดฉลองพระองค์สีแดงอีกสามตัว นางหน้าแดงนัก ยามที่มีผู้คนชื่นชมผลงานของนาง นางยังตัดให้บิดาของนางเสียอีกหนึ่งตัว ยามบิดามาพานพบเข้า สุดท้ายในจวนก็ร้องขอเสื้อสีแดงกันทั้งสิ้น นางก็เลยประชดปักผ้าคลุมเจ้าสาวและชุดเจ้าสาวของตนเองรอเสียเลย นางถามลวดลายที่นางใช้ได้จากเหล่าองครักษ์หลวง หลังจากนั้นก็มีกระดาษแบบลวดลายของชุดไท่จื่อเฟย ส่งมาให้จากกองภูษาเสีย บิดาของนางตากระตุกยิกๆและคล้ายเข้าใจในบางสิ่งและแข้งข้าสั่นขึ้นมา
"บุตรสาวของตนจะได้เป็นไท่จื่อเฟย แต่ทว่านางหมั้นหมายกับองค์ชายรองอยู่ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!!! "
ร่างหนาของบิดาหลิวจิวอิว จึงลากองครักษ์ไปสอบเค้นถามความจริงอย่างเร่งด่วน ยามรู้ความจริงก็ลมแทบจับ ตื่นตระหนกยิ่งและเขย่าองครักษ์เสียแรงๆ
"ข้ามิเคยคิดจะให้นางอยู่สูงถึงเพียงนั้น เหตุใดพระองค์จึงกระทำเช่นนี้กัน นางเปราะบางนัก จะให้เข้าสู่วังวนแห่งอำนาจเช่นนั้นหรือ"
องครักษ์ยิ้มให้จางๆและยิ้มอีกครั้งหนึ่ง ตบบ่านายแห่งสกุลหลิวเบาๆพร้อมเอ่ยปลอบใจขึ้นมา
"ฟ้าลิขิตไว้แล้วขอรับ องค์ไท่จื่ออยู่ต่างเมือง ยังเสด็จมาพบนางได้ด้วยความบังเอิญ และนางเข้าใจผิดไปเองว่าพระองค์คือองค์ชายรอง แท้ที่จริงพระองค์นั้นคือฝาแฝดขององค์ชายรอง เป็นองค์ไท่จื่อขอรับ ท่านอำมาตย์หลิว"
"ห่ะ ฝาแฝดเช่นนั้นหรือ!!! "
"ขอรับมิมีส่วนใดแตกต่างกันตั้งแต่เส้นผมจรดปลายนิ้ว ทุกสิ่งแยกมิได้เลย ยกเว้นอุปนิสัยขอรับ และองครักษ์เช่นข้าน้อย ยามใดพบข้าน้อยนั้น ยามนั้นท่านเสมือนว่าได้พบองค์ไท่จื่อแล้วขอรับ จะมิห่างกันไปที่ใดขอรับ ยกเว้นในยามที่พระองค์รับสั่งให้อยู่ในสกุลหลิวเช่นนี้ขอรับ"
อำมาตย์หลิวฟังแล้วตกตะลึงขึ้นมานัก
"ตนเองรับราชการมานานก็ยังมิรู้ได้ แล้วจะเอาอันใดกับบุตรสาวของตนเองเล่า ยามที่นางพบว่าตนเองโดนหลอก นางคงเสียใจอยู่มิน้อย เป็นองค์ไท่จื่อนั้นสตรีเดียวคงมิอาจครอบครองได้ คงต้องแย่งชิงสามีตน หนึ่งบุรุษร้อยพันสตรี น่าอนาถใจยิ่งนัก "
ผู้คนคงมิอาจรับรู้ในความลำบากใจของอำมาตย์หลิวในยามนี้ ที่ถึงกับนั่งมองผืนฟ้าแล้วทอดถอนลมหายใจออกมาเช่นนั้นเอง
ฮี้ ฮี้ ฮี้ !!!
เสียงม้าร้องแข่งกับพายุฝนฟ้าคะนอง องค์ชายรองตัวจริงออกไปโลดโผนโจนทะยานสลับกันกับพระเชษฐาของตนเองในยามนี้ พระองค์ออกไปช่วยชาวบ้าน และพบกับสายน้ำเชี่ยวกราดถล่มเขื่อนพังลงมา ดั่งเช่นที่พระเชษฐาว่าไว้ทุกประการ พระองค์เพียงมาเป็นหุ่นเชิดบัญชาการทหาร ตามที่พระเชษฐาสอนสั่งมา
อันว่าองค์ชายรองมีพระปรีชาสามารถก็ทรงมี แต่ทว่ามีอุปนิสัยที่ยังเด็กนัก มิใคร่เติบโตเช่นเดียวกับพระเชษฐาจึงปกครองผู้คนได้ยากลำบากยิ่ง พระบิดาจึงต้องส่งพระเชษฐาออกมาบ่อยครั้งนัก แต่ทุกสิ่งก็เป็นหน้าที่ของพระองค์ในส่วนที่พระเชษฐาขีดกำหนดไว้แล้ว จะหนทางซ้ายขวาพระองค์ก็ต้องไป
เช่นยามนี้ถูกกำหนดให้มาติดน้ำป่าเพื่อบัญชากองทหาร ช่วยราษฎรยามประสบอุทกภัย โดยที่พระเชษฐามิเสด็จมาด้วยองค์เอง ทรงตรัสว่าเสี่ยงเกินไป พระองค์ทิ้งพระชนม์ชีพตนเองมิได้ องค์ชายรองจึงแทบหลั่งน้ำตาในความรักของพระเชษฐาขึ้นมาในทันใด