เรื่องน้องสาวแม่ทัพได้รายงานเพิ่มเติมว่าอีกฝ่ายนั้นก็มีบุรุษอื่นมาเกี้ยวพาและมีทีท่าสนใจอยู่ไม่น้อยทำให้นางนั้นเบาใจลงได้หลายส่วนว่าตนเองมิได้ไปเป็นก้างขวางคอผู้ใด ฉีเฉิงเองก็เพียงรับจ้างทั่วไปเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้องเพียงเท่านั้น
เมื่อทราบทุกอย่างฟางเหนียงก็ประกาศให้ทุกคนในเรือนรับรู้ว่าฉีเฉิงคือสามีของนาง ให้ทุกคนเคารพเขาในฐานะนายท่านผู้หนึ่งไม่ต่างกัน แรก ๆ ฉีเฉิงก็ไม่ยอมรับต่อต้านนางอยู่บ้างบวกกับมีคนมาคอยรับใช้เขาก็ยิ่งไม่ชอบจนต้องขอร้องไม่ให้ผู้ใดมาวุ่นวายกับเขามากเรื่องอาหารการกินเขาจะจัดการทุกอย่างเอง
ฟางเหนียงมิได้ขัดเพราะไม่ใช่คนชอบบังคับจิตใจคนนักเรื่องที่นางฝืนใจผู้อื่นก็คือการให้เขาเป็นสามีเท่านั้น นางให้ฉีเฉิงอยู่เรือนวิหคด้านขวาถัดจากเรือนใหญ่ที่นางอยู่ประจำ มีเพียงช่วงนี้ที่นางเข้าไปอยู่ในเรือนวิหคกับฉีเฉิง
“ท่านพี่ข้าเตรียมอาหารให้ท่านแล้ว ล้างหน้าที่นี่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เสียงไพเราะเรียกสามี
ร่างน้อยถือถังน้ำใบเล็กวางบนโต๊ะให้แก่สามีที่วันนี้ตื่นสายกว่าปกติซึ่งนางก็ไม่ได้ใส่ใจนักคิดไปว่าฉีเฉิงคงเหนื่อยล้าจากการถกเถียงนางกระมังเพราะหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่นางกับฉีเฉิงจะคุยกันดี ๆ สักครั้ง
“ข้าจัดการเองได้เจ้าไม่ต้องลำบากหรอก”
แม้จะเอ่ยเช่นนี้แต่เขาก็ยอมไปล้างหน้าในถังน้ำที่โรยด้วยดอกไม้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ส่งผลให้สดชื่นลืมความง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“ท่านพี่ข้าหวังดีนะเจ้าคะ ข้ารู้ท่านเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในเรือนทุกวันเช่นนั้นไปทำงานในโรงเตี๊ยมดีหรือไม่เจ้าคะ”
นางรับรู้ได้ถึงความเบื่อหน่ายยามเห็นฉีเฉิงนั่งอยู่ลำพังซึ่งนางไม่อยากให้เขาเป็นเช่นนั้น
“ข้าขอไปล่าสัตว์เช่นเดิมดีกว่า” งานในโรงเตี๊ยมเขาไม่ชอบสักนิด ให้ไปล่าสัตว์มาให้นางยังง่ายดายเสียกว่าไปยืนปั้นหน้าให้ผู้คนมากมาย
“ท่านพี่ข้าไม่ได้ใช้เปล่า ๆ ท่านทำงานหนึ่งวันหนี้สินท่านก็จะค่อย ๆ ลดลงด้วย บางทีท่านอาจไม่ต้องทนอยู่ถึงหนึ่งปี ส่วนเรื่องล่าสัตว์หากท่านชื่นชอบก็ไปได้ทุกเมื่อขอเพียงรักษาตัวให้ปลอดภัย”
ไม่มีคำว่าห่วงใยแต่ฉีเฉิงสัมผัสได้จากน้ำเสียงแววตาและท่าทางอ่อนหวานที่เขาพยายามบอกตัวเองว่ามันคือเล่ห์ลวงเอาไว้หลอกลูกแกะซื่อบื้ออย่างเขาเท่านั้นเอง นางงดงามเพียงนี้จะอยากได้เขาเป็นสามีฟังดูไม่น่าเชื่อถือนัก
เจ้าของเรือนกายใหญ่โตขบคิดครู่หนึ่งก่อนจะยอมตกลงทำตามที่ภรรยาว่าเพราะเขาไร้หนทางอื่นหาเงินจำนวนมากมาใช้หนี้ที่นางกล่าวอ้างและร่างสัญญาผูกมัดเขาเอาไว้เรียบร้อย
โรงเตี๊ยมหอมพันลี้เต็มไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากวันที่ฉีเฉิงมาร่วมงานวันเกิดของนาง ซึ่งก็ไม่แปลกประหลาดนักเพราะรสชาติอาหารนั้นไม่มีที่ใดเทียบทั้งยังแปลกตาน่าลิ้มลอง ฟางเหนียงเป็นสตรีฉลาดมากถึงพากิจการโด่งดังได้มากเพียงนี้ทั้งที่นางมีอายุเพียงสิบแปดหนาว
เขามองร่างภรรยาที่เดินแจกรอยยิ้มทักทายลูกค้าในโรงเตี๊ยมทุกคนด้วยความรู้ประหลาดมันตึง ๆ จะว่าไม่ชอบก็ไม่ใช่ รู้เพียงแค่หากไม่ไปเดินโปรยยิ้มหวานล้ำนั้นจะดีกว่า
“คุณหนูซูหยวนอาหารเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฟางเหนียงเดินเลียบเคียงมาหยุดโต๊ะน้องสาวแม่ทัพซูหนานที่เพียรส่งสายตามองมาทางสามีนางไม่ลดละ
“โรงเตี๊ยมมีแต่อาหารเลิศรสอีกทั้งงดงามนัก เห็นทีข้าคงต้องมาบ่อย ๆ” ซูหยวนน้องสาวท่านแม่ทัพผู้อ่อนหวานกล่าวทักทายสบสายตากับฉีเฉิงบุรุษรูปงามที่มักมาช่วยงานท่านแม่ทัพพี่ชายของนางบ่อยครั้ง
“ทางเรานับว่าเป็นเกียรติที่ได้รับคำชื่นชมจากหญิงงามเช่นท่าน” รอยยิ้มหวานยังคงประดับใบหน้าแม้ว่าอีกฝ่ายจะส่งสายตาให้สามีนางไม่ลดละ
“วาจาแม่นางฟางเหนียงหวานหูสมคำร่ำลือแต่ที่ข้าแปลกใจคือฉีเฉิงอยู่ที่นี่ด้วย มาทำงานหรือเจ้าคะ”
นางอดถามถึงบุรุษรูปงามที่มักมาทำงานให้พี่ชายไม่ได้
“ท่านพี่ฉีคือสามีข้าเจ้าค่ะ” นางไม่คิดปิดบังบอกสถานะให้แก่สตรีตรงหน้าได้รับรู้จะได้ไม่ต้องบาดหมางกันในภายภาคหน้าเพราะบุรุษผู้เดียว
“สามีหรือเจ้าคะ” สีหน้าซูหยวนซีดเผือดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงประคองไว้ซึ่งรอยยิ้มจาง ๆ มองหน้านางสลับกับฉีเฉิงเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ เราอยู่กินกันเงียบ ๆ ไม่ได้บอกผู้ใดนักเพิ่งกราบไหว้ฟ้าดินไปเมื่อไม่นานนี้”
นางอ้างไปอย่างนั้นเพราะขี้เกียจอธิบายให้มากความด้วยเข้าใจความคิดของคนที่นี่ดี
“ข้าคิดว่าแม่นางฟางเหนียงกำลังคบหาอยู่กับองค์รัชทายาทเสียอีก เห็นว่ามีคนขององค์รัชทายาทนำของขวัญมามอบให้ท่านหลายครั้ง ตัวท่านเองก็ขยันส่งของให้องค์รัชทายาทบ่อย ๆ เรื่องนี้ฉีเฉิงเจ้าพอรู้บ้างหรือไม่”
คำกล่าวนั้นฟังแล้วให้ความรู้สึกเหยียดประณามว่านางหลายใจเป็นนัยทั้งยังหันมาถามฉีเฉิงเพื่อฟ้องอีกด้วยดูแล้วแม่นางผู้นี้คงเป็นแม่ดอกบัวขาวกระมัง
“ข้าเป็นสามีฟางเหนียง นางมิได้คบหาผู้ใดเพราะข้าร่วมเตียงกับนางทุกคืนได้โปรดอย่าเข้าใจผิด”
ฉีเฉิงหลุดปากออกไปโดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อได้ยินวาจาที่คล้ายจะเข้าใจผิดของซูหยวน
เขาอาจเป็นเพียงสามีชั่วคราวขัดดอกของนางแต่ก็ไม่อยากได้ชื่อว่าโง่งมโดนภรรยาสวมหมวกเขียวให้
“เป็นคู่สามีภรรยาที่แปลกนะเจ้าคะ กราบไหว้ฟ้าดินกันเมื่อใดไม่มีผู้ใดรับรู้” ซูหยวนยังมิวายซักไซ้
“องค์รัชทายาทส่งของมาหาข้านั้นนับเป็นเมตตาที่พระองค์ประทานรางวัลชื่นชมโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ของข้า ข้าเองตอบแทนพระองค์ด้วยสิ่งใดมิได้จึงให้คนส่งอาหารให้บ่อยครั้งเจ้าคะ พร้อมกับส่งอาหารถวายฮ่องเต้ด้วย”
ฟางเหนียงกล่าวตามความจริงทุกประการไม่บิดพลิ้วแม้แต่น้อยเพราะองค์รัชทายาทใช้ข้ออ้างเหล่านี้มอบของกำนัลให้นางหลายอย่างจนนางต้องส่งคืนทุกครั้งแต่ครั้นจะส่งไปทื่อ ๆ ก็เกรงจะหยามเกียรติจึงถวายอาการเลิศรสด้วยทุกครั้งพร้อมกับถวายฮ่องเต้ด้วยเพื่อป้องกันคนเอาไปนินทาว่านางทอดสะพานให้บุรุษ
“เป็นเช่นนี้เองแม่นางฟางเหนียงจิตใจงดงามนัก”
เมื่อหาหนทางโต้เถียงซูหยวนก็เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ลึก ๆ พร้อมบอกตนเองว่าบุรุษรูปงามอย่างฉีเฉิงต้องมองนางเพียงผู้เดียว
“ขอบคุณแม่นางซูหยวน วันนี้มีชาพิเศษทำจากดอกไม้ทางเหนือดื่มแล้วกลิ่นกายหอม หากท่านสนใจข้าจะลดราคาให้พิเศษจะรับไว้หรือไม่เจ้าคะ”
เสียงเจรจาหวานหูชวนฟังพาให้อารมณ์ฉีเฉิงเปลี่ยนเป็นขบขันที่นางช่างหว่านล้อมหาเงินทองเข้ากระเป๋าของตนเองได้แยบยล
ซูหยวนที่รู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายพยายามข่มใจทว่าสุดท้ายก็ยอมเสียเงินซื้อชาดอกไม้กลับจวนเพราะทนคำหวานของสตรีที่มาแย่งบุรุษของนางไปไม่ได้ ฉีเฉิงคงหลงใหลฟางเหนียงแล้วแน่แท้ถึงได้ไม่สนใจนาง เอาแต่ส่งสายตาชื่นชมผู้เป็นภรรยา