"หิวหรือยังคะ" เกศราลุกขึ้นแล้วจูงมือลูกเข้าบ้าน มือเรียวรีบเช็ดน้ำตาออกไปให้หมด แต่พอเจอหน้าย่าของหลานท่านยิ้มมาให้เธอรีบหลบสายตาทันทีเพราะกลัวอีกฝ่ายเห็นตาแดงๆ
"ไปไหนกันมาเอ่ย" คนเป็นย่าอ้าแขนโอบรับหลานสาวตัวน้อย เด็กหญิงกรธิดาก็รีบเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายทันที
"ส่งคุณพ่อไปทำงานค่ะ แต่คุณย่าคะ บ้านเราฝุ่นเยอะมาก มันเข้าตาคุณแม่ด้วยค่ะ คุณย่าให้พี่แม่บ้านขึ้นไปทำความสะอาดห้องให้หน่อยสิคะ น้องแก้มไม่อยากเห็นคุณแม่ร้องไห้ค่ะ"
"เอ๋?" คุณสายใจเงยหน้าขึ้นมองลูกสะใภ้อีกครั้ง ก็เห็นดวงตาแดงๆ ของเกศรา รู้ว่าหญิงสาวกำลังเก็บอาการทว่าไม่มิด เจ้าตัวกลับยิ้มให้มาเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องฝุ่นอย่างที่หลานพูดแน่นอน แต่มันเป็นเรื่องของคนสองคน เธอรู้และเข้าใจความรู้สึกที่เกศราเป็นมาตลอด แต่เลือกเก็บไว้ไม่ถามออกไปให้ผู้เป็นหลานสงสัย
ตั้งแต่วันที่เกศราก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้จนถึงปัจจุบัน หลายครั้งที่รู้และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดีว่าลูกชายตัวเองปฏิบัติต่อแม่ของลูกยังไง เห็นอกเห็นใจเกศรามากที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้
แต่เธอก็ไม่รู้จะช่วยยังไงดี นอกเสียจากให้แม่ของหลานอยู่ในบ้านให้สบายกายสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องคนอื่นๆ ในบ้านหลังนี้ คอยรับมือแต่กับพ่อของลูกตัวเองเถอะ วันไหนจะดีจะร้ายหาเรื่องมาทะเลาะเมีย
"ได้ค่ะ เดี๋ยวคุณย่าจะบอกพี่แม่บ้านทำให้นะคะ" คนเป็นย่าเลือกบอกหลานสาวอย่างนี้มากกว่า
"ขอบคุณค่ะคุณย่า ไปค่ะคุณแม่ น้องแก้มหิวข้าวมากที่สุดในสามโลกแล้วค่ะ" เด็กน้อยวาดมือออกให้ผู้เป็นแม่เห็น ทำเอาคนเป็นแม่และย่าขำออกมา
เกศราก็ได้ลูกสาวเนี่ยแหละเรียกรอยยิ้มอยู่บ่อยๆ ให้กลับมามีกำลังใจที่จะสู้ต่อกับสารพัดคำถากถางจากพ่อของลูกในแต่ละวัน แต่หากว่ากรธิดาเปิดเทอมเมื่อไหร่เธอก็กลับมาเหงาอีกที
พอมาถึงในครัว เด็กน้อยรู้งานรีบปีนขึ้นนั่งรอบนเก้าอี้เพื่อรอทานอาหาร
"วันนี้อยากทานเมนูอะไรคะ" เกศราปรับอารมณ์ได้แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส
"ผัดเต้าหู้ใส่หมูสับค่ะ เอาเยอะๆ เลยนะคะคุณแม่ น้องแก้มหิวมากกก.." เด็กหญิงตัวน้อยลากเสียงยาว พร้อมทั้งมือที่ลูบพุงป่องๆ จนคนเป็นแม่นึกขัน เด็กตัวเล็กๆ ช่างพูดช่างจาแต่ฟังได้ไม่เบื่อจริงๆ
"ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ"
"ค่าาาา" เด็กหญิงกรธิดารับปากแล้วนั่งรอ ระหว่างนี้ก็พูดคนเดียวไปเรื่อย
เกศราเดินไปเปิดตู้เย็นเอาของสดออกมาทำ ส่วนข้าวนั้นแม่บ้านหุงรอเอาไว้แล้วตั้งแต่เช้าตรู่
แบบนี้ทุกครั้ง เธอจะทำอาหารทานกับลูกสองคน เพราะคนตัวเล็กหิวเช้ากว่าทุกคน ส่วนย่าของเด็กน้อยจะทานสายหน่อยตามประสาคนแก่
พ่อของลูกเขาไม่ทานข้าวเช้าอยู่แล้วเราจึงไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะกัน ยามเย็นเท่านั้นทุกคนจึงจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องทานอาหาร
สมาชิกหลักๆ ในบ้านก็มีคุณย่าของหลาน พ่อของลูก เธอและลูกสาว ส่วนคุณปู่ท่านเสียไปตอนที่เธอตั้งท้องเด็กหญิงกรธิดาได้สี่เดือน
นอกนั้นบ้านหลังนี้ก็จะมีแม่บ้านทั้งหมดสองคน รวมทั้งคนสวนที่พ่วงตำแหน่งคนขับรถ ก็ล้วนใกล้ชิดสนิทสนมกันเพราะอยู่กันมานาน
บางครั้งว่างๆ เธอก็ไปนั่งทานส้มตำ ยำกับแม่บ้าน ไม่ได้ถือตัวว่าตัวเองเป็นลูกสะใภ้
เธอไม่ได้แต่งงานเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทุกอย่างมันคือความรับผิดชอบและความจำเป็นทั้งหมดเลย เธอเลือกเองก็ต้องยอมรับในข้อนี้
"เสร็จแล้วค่ะ" ผ่านมาสิบห้านาทีเมนูอาหารจานโปรดพร้อมข้าวเปล่าก็ถูกนำมาวางลงตรงหน้าลูกสาว เด็กน้อยดวงตาลุกวาวเพราะอาหารหน้าตาดีมาก อีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยสุดๆ
"วันหลังคุณแม่ทำให้คุณพ่อเอาไปกินที่ทำงานบ้างสิคะ คุณพ่อไม่ได้ทานข้าวเช้าสักวันเลย" คนตัวเล็กยู่หน้าเพราะสงสารพ่อตัวเอง วันๆ เธอได้ยินแต่พ่อทำงาน
เกศราชะงัก สะโพกที่กำลังจะแตะเก้าอี้เมื่อนั่งลงฝั่งตรงข้ามของลูกสาว พอเห็นเด็กหญิงตัวน้อยส่งยิ้มมาให้เธอจึงรับปาก
"ได้สิคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณแม่จะห่อข้าวให้คุณพ่อไปกินที่ทำงาน ว่าแต่น้องแก้มอยากให้คุณแม่ทำเมนูอะไรดีคะ" ลากเก้าอี้เข้ามานั่งแล้ววางช้อนกับส้อมลงในจานของลูกสาวรวมทั้งให้ตัวเองด้วย เธอจะทานไปพร้อมกับน้องแก้มเลย
"คุณพ่อเคยบอกว่าชอบทานแกงข่าไก่ค่ะ"
"ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้คุณแม่จะรีบตื่นขึ้นมาทำแต่เช้าเลยนะคะ"
"ทำให้น้องแก้มทานด้วยนะคะน้องแก้มก็ชอบ แต่ของน้องแก้มไม่ใส่พริกค่ะ"
"ได้ค่า"
คนทั้งคู่นั่งกินข้าวด้วยกัน ต่างฟังเสียงเล็กๆ เจื้อยแจ้วที่แต่ละวันหาเรื่องมาคุยกับแม่ไม่หยุด ทำให้บ้านหลังนี้ไม่เหงาจนเกินไป
มีบางครั้งที่แอบคิดว่าไม่อยากให้ลูกเปิดเทอมเธอจะได้มีเพื่อน แต่แบบนั้นไม่ได้ ลูกสาวเธอยังต้องไปเรียนหนังสือ
เขาไม่ให้เธอทำงาน ไม่ให้สนใจอย่างอื่น ให้ดูแลแต่ลูกเพียงเท่านั้น
เมื่อก่อนมันค่อนข้างฉุกละหุกเพราะกรธิดายังเล็ก เธอไม่มีเวลาว่างมากพอต้องมาคิดถึงเรื่องพวกนี้เพราะเลี้ยงลูกเอง
แต่พอลูกสาวโตขึ้นทำอะไรสะดวก เธอกลายเป็นคนว่างมาก มากจนคิดว่าอยากหางานอะไรทำสักอย่างเลย