ช่วงปลายฤดูร้อนกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงต้นฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำยังมหานครอันเล่อเมืองหลวงของอาณาจักรต้าเหลียงในช่วงปลายยามเซินสายลมกำลังพัดรวยรินนำพาเอากลิ่นอายต้นหญ้าที่เพิ่งได้ฝนแรกชวนให้ผ่อนคลาย หอชิงชิวหอชมเมืองที่สูงที่สุดของเมืองหลวงแห่งต้าเหลียง ด้านหน้านั้นติดกับถนนสายหลักของเมืองหลวงส่วนด้านหลังก็ตั้งอยู่ชิดติดริมแม่น้ำไห่โจ่วที่ไหลหล่อเลี้ยงคนทั่วอาณาจักรมานานหลายชั่วอายุคนก็เกินจะนับได้
ซึ่งบัดนี้ยังระเบียงชั้นบนสุดฟากฝั่งชิดติดริมแม่น้ำกลับมีสองร่างนั่งละเอียดชิมขนมกุ้ยฮวาพร้อมดื่มด่ำกับน้ำชาดีของอันเล่อ หนึ่งคือบุรุษรูปกายสูงใหญ่สมเป็นชายชาตินักรบผู้เป็นแม่ทัพใหญ่กุมกำลังทหารเกือบเจ็นแสน ส่วนอีกหนึ่งคือสตรีที่มีรูปกายอรชรงดงาม ยามสายลมโบกสะบัดจนผ้าที่ปิดบังใบหน้าเผยอเปิดเล็กน้อยผู้คนที่พบเห็นล้วนตื่นตะลึงกับความงามหากกว่าว่านางคือที่สองเกรงว่ามหานครอันเล่อแห่งนี้ล้วนหาที่หนึ่งคงมิมีไปได้อีกแล้ว
และบุรุษผู้นั่งฝั่งตรงกันข้ามก็ให้รู้สึกภาคภูมิใจเสียนักหนาด้วยว่าเขานั้นกำลังจะตกแต่งกับสตรีตรงหน้าผู้นี้ไปเป็นฉีหวางเฟยนั่นเองดังนั้นทุกครั้งที่ได้เดินเคียงแล้วมีแต่สายตาอิจฉาริษยาของเหล่าบุรุษแทบทุกวัยต่างมองตามก็ทำให้เขานั้นรู้สึกว่าตนเองเป็นบุรุษผู้โชคดีที่สุดในดินแดนต้าเหลียงแห่งนี้เลยทีเดียว
“กินอีกหน่อยเถิดหรั่นเอ๋อร์มิพบกันร่วมสองหนาวเจ้าดูผ่ายผอมลงไปอีกแล้ว”
...เขา...ท่านอ๋องเก้าหรือก็คือฉีหวาง...แห่งแคว้นตงอี๋...หนึ่งในหกแคว้นใต้ปกครองของดินแดนต้าเหลียง
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบหกหนาวผู้องอาจหาญกล้านามว่า 'หานหย่งไท่' ขยับจานขนมไปตรงหน้าคู่หมั้นสาวบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของไค่กั๋วายชนม์งแห่งอันเล่อ นามว่า 'หลัวหรั่นเยี่ยน' สตรีผู้เลื่องชื่อว่าเป็นหญิงงามล่มมหานครวัยสิบเก้าหนาวพร้อมเอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงแสนห่วงใยมิปิดบัง
“พอแล้วเพคะท่านอ๋องเก้าในอีกราวสองชั่วยาม หรั่นเอ๋อร์ต้องไปร่วมมื้อค่ำกับท่านพ่อและท่านแม่ให้ทานอีกเกรงว่ามื้อค่ำจะรับข้าวอีกมิไหวแล้ว”
หญิงสาวคนงามเอ่ยจีบปากจีบคอออกมาอย่างมีจริตจะก้าน ทว่าก็รักษาทุกกิริยาได้งดงามและเหมาะสมมิได้ขายหน้าที่มีน้าสาวเป็นถึงไท่เฟยผู้วายชนม์
“เช่นนั้นหรือ”
เพราะวัยเพียงสิบสามหนาวหานหย่งไท่ก็ต้องออกรบและนับแต่จำความได้เขาก็อยู่ในค่ายฝึกทหาร จึงให้พูดจาอ่อนหวานเอาใจสตรีนั้นล้วนยากยิ่งนัก ในเมื่อนางประสงค์เช่นนั้นเขาจึงเออออมิขัดใจหญิงคนรักแต่อย่างใด
"ท่านอ๋องเก้าทรงทานเถิดกินให้มากสักหน่อยอยู่ชายแดนคงลำบากมากทั้งชาดีและขนมเหล่านี้เกรงว่าในค่ายทหารยังหุบเขาตงซานคงมิมีกระมังเพคะ"
กล่าวจบหลัวหรั่นเยี่ยนนางก็เป็นฝ่ายหยิบขนมกุ้ยฮวาไปจ่อให้ยังริมฝีปากสีสวยดังสีของผลอิงเถา ซึ่งบุรุษที่คุ้นเคยแต่เพียงจับดาบฝึกกระบี่ รอบกายรายล้อมไปด้วยเหล่าทหารเดนตาย ถึงกับนิ่งค้างไปชั่วครู่จากนั้น หานหย่งไท่จึงยกมือแกร่งขึ้นรับขนมชิ้นนั้นมาถือเอาไว้ด้วยตนเองมิคุ้นจะถูกสตรีปรนนิบัติเอาอกเอาใจ
เพราะต่อให้เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ ทว่ากลับมิคุ้นเคยให้สตรีใดมาปรนนิบัติเช่นนี้แม้แต่นางกำนัลสักนาง ท่านอ๋องเก้าก็ไม่เคยรับมาอยู่ใกล้ จึงทำให้ใบหน้างดงามของคุณหนูใหญ่สกุลหลัวชักสีหน้ามิพอใจ ยังโชคดีที่นางนั้นมีผ้าปิดบังใบหน้าหาไม่แล้ว หานหย่งไท่คงตระหนกยิ่งนักที่หญิงงามคนรักแสดงกิริยาเช่นนั้นต่อตนเอง
“นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วเห็นที หรั่นเอ๋อร์คงต้องขอตัวกลับจวนก่อนแล้วเพคะ เช่นไรท่านอ๋องเก้าก็ทรงดื่มชาถ้วยนี้ให้หมดเถิด”
กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มหวานทว่าแววตากับสีหน้าแสนจะเจ้าเล่ห์ ยามที่นางประคองถ้วยชาดีส่งให้แก่บุรุษตรงหน้า นางอยากเร่งทำหน้าที่ของตนเองให้มันจบสิ้นลงแต่โดยไวมิคิดยุ่งเกี่ยวต่อบุรุษที่กำลังใจไร้ค่าผู้นี้ต่อไปอีก ต่อให้ฉีหวางนับเป็นบุรุษรูปงามนับว่าเป็นหนึ่ง แต่เขาทึ่มทื่อเกินไปพบเจอนางกี่ครั้งจะพูดจาอ่อนหวานเอาใจสักครานางล้วนไม่พบเจอ แตกต่างจากหานหย่งเต๋อผู้เป็นพี่ชายของเขาดังแผ่นดินกับผืนฟ้า นางจึงปักใจต่ออีกบุรุษมากมายนักยามถูกขอให้ช่วยเหลือนางจึงไม่คิดมาก
“ได้...”
หานหย่งไท่รับถ้วยชาร้อนมาแล้วส่งยิ้มแสนอ่อนโยนเช่นเคยเพราะเขายามนี้นั้นมีความสุขจนแทบล้นหัวอกโดยมิคิดเฉลียวใจเลยว่าตนเองกำลังรับเอาโชคชะตาร้ายมาสู่ตัวเองและในเวลาอีกมิถึงชั่วยามข้างหน้านี้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเขาที่กำลังสมบูรณ์แบบในทุกทางจะพังครืนจนไม่เหลือซากอีกเลยเพียงน้ำชาหนึ่งถ้วยเล็กๆ นี้เท่านั้น...
...พังพินลงเพราะความวางใจหญิงงามที่คิดว่าคู่ควรต่อให้ไม่มีจิตใจรักใคร่แต่นางคือสตรีที่พระบิดากล่าวว่าดีเขาก็เห็นงามตามนั้นมิคิดติดใจส่งสัยต่อความหวังดีที่มากมายเล่ห์กล!
...ยังอีกฟากฝั่งของหอชิงชิว...
“คุณชายเหวิน...เมื่อใดท่านจะส่งคนไปสู่ขอข้าเล่านี่ก็เข้าเดือนที่สามแล้วหากช้ากว่านี้ท้องนี้คงโตออกมาฟ้องคนทั้งอันเล่อเป็นแน่”
ดรุณีน้อยวัยคงมิน่าจะเกินสิบสี่ถึงสิบห้าหนาวไปได้กำลังมีสีหน้าเศร้าโศกยามที่ต้องแอบสายตาผู้คนยามที่มาเจรจาต่อชายคนรัก
“ก็ข้ากล่าวไปแล้วว่ายามนี้ที่บ้านของข้านั้นกำลังยุ่งส่วนข้าก็เพิ่งสอบเข้ากรมอาญาได้จะเร่งแต่งงานยามนี้มันได้ที่ไหนกันไยเจ้าจึงเป็นคนที่พูดไม่รู้ความเช่นนี้ฉีเอ๋อร์...นี่...เอาเงินนี่ไปแล้วเจ้าก็เข้าไปหาป้าจางยังตรอกย่งตันเสีย”
ต่อให้ดรุณีน้อยนางนั้นจะยังเยาว์วัยอยู่มากทว่า "ป้าจาง"ยังตรอกย่งตันนั้น 'หลัวเหม่ยฉี'ล้วนรู้แจ้งว่าชายคนรักหมายความว่าเขาต้องการให้ตนเองไปทำสิ่งใด
“คุณชายเหวิน! ...นี่...นี่เขาคือลูกของเรานะท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ดรุณีน้อยวัยสิบห้าหนาวถึงกับโมโหเดือดจนลืมตัวเผลอตะโกนขึ้นสุดเสียง เป็นเหตุให้บุรุษรูปงามต้องเร่งฉุดดึงให้นางนั่งลงแล้วสงบปากสงบคำทันที
เขานั้นเป็นถึงบุตรชายคนรองแห่งสกุลเหวินบิดาเป็นถึงรองเสนาบดีฝ่ายขวาตัวเขาเองยามนี้ก็เพิ่งเข้ารับตำแหน่งถิงเว่ย เช่นนี้จะให้มาตกแต่งสตรีที่เป็นเพียงเด็กในจวนไค่กั๋วกงมีหรือเขาจะใจกล้าถึงเพียงนั้น แล้วเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาบิดาก็เพิ่งเรียกเขาไปพูดคุยว่ายามนี้ได้ทาบทามบุตรสาวของท่านเจ้ากรมอาญาให้แก่เขาแล้ว นั่นจึงยากจะเป็นไปได้ที่ เหวินเซี่ยจะรับเอาหลัวเหม่ยฉีเข้าจวนไปให้บิดาขุ่นเคืองใจ ไปได้
“นี่...หยุดนะ ฉีเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้มาโวยวายเอาเมื่อท้องโตไปหน่อยเลย ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าในท้องของเจ้านั้นแท้จริงคือสายเลือดของข้าหรือไม่”
...เพี๊ยะ! ...
เมื่อพบเจอคำกล่าวไร้ความรับผิดชอบเด็กสาวก็สุดจะสะกดอารมณ์โกรธได้อีกต่อไปฝ่ามือเล็กจึงฟาดออกไปสุดแรงจนใบหน้าหล่อเหลาบังเกิดรอยนิ้วทั้งห้าเด่นชัดในอีกชั่วอึดใจต่อมา
“เจ้าชั่ว! หากมิใช่สายเลือดเจ้าเช่นนั้นมันจะเป็นของผู้ใดไปได้”
สาวน้อยตะโกนด้วยความคับแค้นแน่นหัวใจด้วยมิคาดว่าบุรุษที่ตนเองหวังฝากชีวิตจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
"ก็เจ้ายอมเป็นของข้ายังง่ายดายถึงเพียงนั้นเกรงว่าคุณชายชาติตระกูลดีในอันเล่อคงกินเจ้ามาแล้วทุกผู้กระมังถุย! "
จากเทพเซียนยามนี้กลับกลายร่างเป็นจอมมารในบัดดล หลัวเหม่ยฉีกำมือเล็กของตนเองจนแน่นเห็นข้อนิ้วขาวปูดโปนกายเล็กก็สั่นสะท้าน เพราะตลอดมานางกับน้องสาวฝาแฝดนั้นลำบากยากไร้ต่อให้เป็นหลานสาวของไค่กั๋วกงแห่งอันเล่อทว่ากลับอยู่ในจวนประหนึ่งสาวใช้เท่านั้น
ดังนั้นหลัวเหม่ยฉีนางจึงคิดจะจับบุรุษชาติตระกูลดีสักผู้เพื่อหวังตกแต่งออกเรือนเสีย ต่อให้มิอาจเทียบชั้นกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลัวสายหลักทว่าเช่นไรคุณชายรองแซ่เหวินผู้นี้ก็ร่ำรวยอีกทั้งตำแหน่งหน้าที่ก็ดูจะก้าวไกล นางยินยอมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขาจนตั้งท้อง ยามแรกที่รู้นางนั้นดีอกดีใจจนหลั่งน้ำตา ทว่ายามนี้...