ไม่กี่วันต่อมา
“ท่านซายูริครับ พวกเราตรวจสอบรถของท่านไคดะแล้ว... ไม่มีอะไรผิดปกติครับ”
“ว่าไงนะ”
ฉันกำตะเกียบในมือแน่น บรรดาแม่บ้านและคนรับใช้ที่ยืนห่างออกไปจากโต๊ะอาหารต่างอยู่ในอาการสงบนิ่ง แม้แต่เสียงลมหายใจก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน
“สายเบรกล่ะ”
จินที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยถามออกมาอย่างรู้ใจฉัน คนรายงานรีบก้มหน้าลงทันทีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกดดันว่า
“สายเบรกปกติดีครับ ไม่ได้โดนตัด”
“ท่านซายูริ” จินเรียกฉันราวกับจะถามความเห็น ฉันนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ยกมือเป็นสัญญาณให้คนที่เข้ามารายงานออกไปได้ หลังจากนั้นไม่นานหัวหน้าแม่บ้านก็วิ่งเข้ามาใหม่
“ท่านซายูริคะ ทนายโยชิดะมาค่ะ” ยังไม่ทันขาดคำร่างสูงของชายวัยกลางคนก็เดินอาดๆ เข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ
“ต้องขอโทษด้วยที่มากะทันหัน”
“คุณโยชิดะ ยินดีต้อนรับค่ะ” ฉันลุกขึ้นกล่าวทักทายทนายของคุณพ่อตามมารยาท หันไปบอกให้สาวใช้เตรียมหาอาหารเผื่อคุณโยชิดะ แต่ทางนั้นรีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับผมทานมาแล้ว ผมมาบอกเรื่องพินัยกรรมของคุณไคดะ”
“พินัยกรรม เดี๋ยวนะคะ แต่คุณพ่อยังไม่”
“ผมทราบครับ” ทนายโยชิดะเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะโวยวาย
การที่คุณพ่อยังมีลมหายใจอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วจู่ๆ ทนายก็โผล่มาที่บ้าน ทำเหมือนคุณพ่อไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ใครจะไม่โกรธกันล่ะ
“คุณไคดะได้สั่งกับผมเอาไว้ว่าหากวันใดเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับตัวเองจนไม่สามารถควบคุมซูซาคุได้ ให้ยกสิทธิ์การตัดสินใจทั้งหมดไว้ที่คุณซายูริ ซึ่งเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย... หากใครไม่เชื่อฟังหรือแข็งข้อ ให้ยึดเงิน ค่าจ้าง ข้าวของมีค่าทั้งหมดที่เคยได้จากซูซาคุคืนโดยไม่มีข้อแม้”
“ต่อให้ไม่มีพินัยกรรมท่านซายูริก็คือผู้สืบทอดโดยชอบธรรม” จินเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง คำพูดของทนายไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับคนฟังสักนิด
ใช่ฉันเองก็คิดแบบนั้น ทว่า... มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่ทนายจะมาบอกในสิ่งที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้วน่ะ
“มีอะไรอีกหรือเปล่าคุณโยชิดะ”
ฉันจ้องหน้าทนายด้วยสังหรณ์ว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น
“ครับตามที่ทราบ... หากวันใดที่คุณซายูริแต่งงาน อำนาจการตัดสินใจจะตกเป็นของคู่สมรสทันทีเว้นแต่ว่า”
จู่ๆ ทนายโยชิดะก็เว้นคำพูดและมีสีหน้าลังเลคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่เขียนอยู่ในกระดาษแผ่นนั้น
“ยกเว้นอะไรคะคุณโยชิดะ”
“ยกเว้นคุณฮารุจะกลับมา... สมบัติทั้งหมดในซูซาคุจะตกเป็นของเขาโดยชอบธรรม”
ฉันใจหายวาบ ทุกคนภายในนี้ต่างตกอยู่ในความนิ่งอึ้งไม่ต่างกัน ความวุ่นวายเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เสียงเย็นยะเยือกของจินจะดังขึ้น
“ล้อเล่นอะไรกันทนาย ท่านไคดะเองก็รู้ว่าท่านฮารุเสียไปนานแล้ว”
“ผมก็คิดแบบนั้น แต่คุณไคดะเป็นคนเตือนผมเรื่องนี้เอง ...บางทีคุณไคดะอาจจะหวังอยู่ลึกๆ ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
พี่ฮารุ...
ฉันกล้ำกลืนความรู้สึกเหงาหัวใจเอาไว้เมื่อนึกถึงพี่ชายคนนั้น จ้องตอบสายตาของทนายโยชิดะด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าพี่ฮารุยังมีชีวิตอยู่...ฉันก็ดีใจ”
“ครับ เอ้อ... แล้วคุณเคนมะคู่หมั้นของคุณซายูริติดต่อมาบ้างหรือเปล่า”
เคนมะเหรอ ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นยังไงฉันเองก็แทบจำไม่ได้
ฉันส่ายหน้า ไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงนายเคนมะอะไรนั่นเขาเป็นคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ให้ เราเคยเจอกันสองสามครั้งหลังงานศพคุณแม่กับพี่
ฮารุ หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าเคนมะบินไปเรียนต่อต่างประเทศ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ยกเว้นผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่ไปมาหาสู่กันเพราะเรื่องธุรกิจ
“งั้นเหรอครับ เวลาแบบนี้ถ้าคุณเคนมะอยู่ด้วยก็คงดี”
ฉันเข้าใจว่าทนายโยชิดะหมายถึงอะไร แต่ฉันไม่ใช่ประเภทที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเวลามีเรื่องอยู่แล้ว อีกอย่างต่อให้ท้อแค่ไหนฉันก็ยังมีจินเป็นที่ปรึกษาอยู่ข้างๆ
“ท่านซายูริคะ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทันนะคะ”
แม่บ้านร้องเตือน พลางเอามือทาบอกเมื่อเห็นว่าจวนได้เวลาเข้าเรียนของฉันแล้ว ฉันหันไปมองหน้าทนายอย่างไม่รีบร้อน
“คุณโยชิดะมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีแล้วครับ ผมก็กำลังจะกลับพอดี”
“ค่ะ งั้นไว้เจอกันใหม่นะคะ”
ฉันลุกขึ้นโค้งศีรษะให้คุณโยชิดะตามมารยาท ก่อนหันไปพยักหน้าขอกระเป๋าหนังสือจากสาวใช้แล้วเดินออกมาโดยมีจินก้าวตามมาด้านหลัง
“เรียนเสร็จเดี๋ยวผมมารับ”
ฉันพยักหน้าให้จินแล้วเปิดประตูลงจากรถ ที่นี่เป็นมหาลัยเอกชนที่ดีที่สุดในโตเกียว ฉันยืนรับลมที่พัดมาปะทะผิวหน้าก่อนเดินเข้ามาในตึกด้วยอารมณ์ราบเรียบ
กรี๊ด!!!
กำลังเดินอยู่ดีๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกตกใจของคนจำนวนมากดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เกิดอะไรขึ้นกันนะ ฉันรีบสาวเท้าไปตามทางที่มาของเสียง ก่อนจะเห็นผู้คนที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง
“หลบไปอย่าเข้ามานะ”
เสียงแข็งกระด้างเต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังออกมาจากกลางวง
“แจ้งตำรวจเร็ว”
“แจ้งตำรวจๆ”
หลายเสียงรอบข้างกระซิบกระซาบกันแต่ก็ไม่มีใครกล้ากดโทรศัพท์ มีเรื่องอะไรเนี่ย ฉันค่อยๆ แหวกผู้คนเข้ามาในวงล้อมจนอยู่แนวหน้าสุด
ภาพตรงหน้าทำฉันอึ้งไปชั่วอึดใจ
ผู้ชายนัยน์ตาแดงเถือกคนหนึ่งกำลังเอามีดจี้คอนักศึกษาหญิง ใบหน้าเธอคนนั้นอิดโรยมาก ไม่รู้ว่ากำลังกลัวหรือเจ็บปวดตรงไหนก็ไม่ทราบได้ ฉันมองท่าทางคลุ้มคลั่งของไอ้ชั่วนั่นอย่างรอจังหวะ ไม่รู้หรอกนะว่ามีเรื่องอะไร แต่ขืนรอให้ตำรวจมายัยนั่นได้เป็นลมหรือไม่ก็โดนมีดบาดคอตายก่อนแน่
ฉันค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในกลุ่มคนแล้วอ้อมไปด้านหลัง
“เฮ้!”
“เฮ้ย”
หมับ!
“กรี๊ดดดดด”
ฉันกระโจนเข้าตะครุบหลังหมอนั่น คว้าข้อมือที่กำมีดอย่างแม่นยำท่ามกลางเสียงกรีดร้องแตกตื่นของเหล่าผู้ชมที่ขี้ขลาดแม้แต่โทรแจ้งตำรวจก็ไม่กล้า
ฉันจับมือหมอนั่นบิด ขณะเดียวกันก็เตะข้อพับของมันไม่ให้ตั้งหลักได้ ตะโกนบอกตัวประกันให้รีบหลบ ยัยนั่นหันมามองฉันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แววตาสีน้ำตาลสั่นระริกแต่ก็ยังมีสติพอจะเข้าใจที่ฉันบอก รีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกไปแบบล้มลุกคลุกคลาน ท่าจะกลัวจนเข่าอ่อน
ฉึบ!
“อ๊ะ!”
ฉันแทบไม่มีเวลาไปห่วงคนอื่นด้วยซ้ำ แต่ก็เผลอจนได้ ไอ้เวรนั่นดันใช้แรงควายในร่างผู้ชายกระชากมือออกอย่างแรง คมมีดเฉือนมือฉันทันที
หน็อย! คิดว่าทำฉันเลือดตกยางออกแล้วมันจะจบง่ายๆ เหรอ ไอ้สารเลวเอ๊ย!
ฟึบ!
แต่ก่อนที่ฉันจะได้พุ่งเข้าไปจัดการกับมัน มันก็ตวัดมีดเข้ามาอย่างข่มขู่ จ้องฉันด้วยสายตาเลือดเย็น โกรธจนหน้าสั่น
“อยากตายนักใช่ไหม ได้! กูจะฆ่ามึงก่อนแล้วค่อยตามไปจัดการนังนั่นทีหลัง”
มันแกว่งมีดมั่วซั่วพร้อมกับตะโกนด่าด้วยท่าทางเคียดแค้น เหมือนจะน่ากลัวแต่จริงๆ เปิดช่องโหว่มาก ฉันอาศัยจังหวะที่มันเปิดช่องว่าง พุ่งเข้าไปจัดการประเคนหมัด เท้า ศอก และเข่าใส่มันไม่ยั้ง เสียงตุบตับๆ ดังรัวไม่หยุดจนกระทั่งร่างหนาล้มพลั่กนอนขดตัวงอชักกระตุกอยู่บนพื้นท่ามกลางเสียงที่เงียบกริบของผู้คน...
“โทรตามรถพยาบาลด้วย ไม่งั้นคงตายไปจริงๆ” ฉันหยิบกระเป๋าที่กองอยู่บนพื้นขึ้น เดินมืออาบเลือดฝ่าผู้คนออกมา รู้สึกได้ถึงสายตาอึ้งตะลึงที่มองตามมาด้านหลังแต่ฉันไม่สนใจ แค่รู้สึกหัวเสียที่มาเรียนวันแรกก็มีเรื่องซะแล้ว
ระหว่างที่ฉันกำลังจะตีอกชกหัวตัวเอง แขนข้างที่โดนบาดก็ถูกคว้าเอาไว้จากด้านหลัง
หมับ!
“หืม...”
“เธอบาดเจ็บ”
พอหันมามองก็เห็นใบหน้าขาวซีดกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลกำลังสั่นระริก เสื้อผ้ามีรอยยับย่นจากการถูกกระชากลากถู ฉันจำได้... นี่คือใบหน้าของผู้หญิงที่โดนมีดจี้คอก่อนหน้านี้
“ฉันไม่เป็นไร”