เมื่อปกเกศไม่คัดค้านและเงินทุนพร้อมร้านอาหารของคีติกาก็เปิดกิจการได้ในเวลาไม่นานอาหารส่วนใหญ่เน้นไปทางอาหารจีนที่ปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นคนไทย และผสมกับอาหารไทยหลายเมนู โดยใช้ชื่นร้านว่า ‘ครัวปิยะดา’ โดยนำชื่อของปิยะดาซึ่งเป็นเจ้าของทุนและผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการมาตั้ง ตอนแรกว่าที่แม่สามีผู้แสนดีทำท่าจะไม่เห็นด้วย แต่หญิงสาวยืนยันว่าชื่อนี้เหมาะที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นผู้ที่ออกทุนให้ทั้งหมดแล้วยังเป็นผู้ที่เรียกได้ว่าให้ชีวิตใหม่แก่เธออีกด้วย คีติกาทำหน้าที่ดูแลงานในครัว รวมถึงจัดการดูแลร้าน ในครัวมีกุ๊กฝีมือดีเป็นผู้ช่วยเธอสองคน มีพนักงานเสิร์ฟ และพนักงานในตำแหน่งอื่นครบถ้วนจากการจัดหาและจัดการของว่าที่แม่สามี ในระยะเวลาสั้น ๆ คุณปิยะดาสามารถตั้งร้านอาหารให้เธอได้ราวกับเนรมิต เชื่อแล้วว่ามีเงินก็สามารถจ้างผีโม่แป้งได้อย่างที่เขาว่าจริง ๆ
หนึ่งในเชฟของร้านครัวปิยะดาชื่อ ‘ดวงดาว’ เป็นหญิงผิวขาวหน้าตาหมดจดอายุสามสิบสองปี เธอเคยเป็นผู้ช่วยกุ๊กในครัวของร้านอึ้งสุนฮงของครอบครัวเหลืองธนสารมาก่อน ตอนแรกที่เห็น ‘พี่ดาว’ มาสมัครงานที่ร้านของเธอ คีติกาก็ค่อนข้างลำบากใจ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าดึงตัวกุ๊กมาจากร้านของพ่อกับแม่ แต่ดวงดาวยืนยันว่าเธอลาออกจากร้านเดิมซึ่งเป็นกิจการของที่บ้านคีติกามาพักหนึ่งแล้ว น่าจะเป็นเวลาพอ ๆ กับที่คีติกาย้ายออกมาอยู่กับปกเกศ
ตั้งแต่เปิดร้านคีติกาก็มีงานที่ต้องทำทุกวัน เธอไม่ได้มีหน้าที่แค่ทำอาหารเช้าและรอชายหนุ่มกลับมาเหมือนในช่วงแรก หลังจากตื่นนอนนั่งรับประทานอาหารเช้าร่วมกันคีติกาก็ต้องออกไปทำงานเช่นเดียวกับเขา แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้ทำงานและมีร้านเป็นของตัวเอง คีติกายืนยันว่าเธอจะทยอยค*****นที่มารดาชายหนุ่มลงทุนทำร้านให้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเพราะคิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทว่าคีติกาก็ยังมีความเกรงใจบุพการีของเขาอยู่มากจึงไม่กล้าที่จะรับทุกอย่างเอาไว้โดยไม่ตอบแทน
ร้านอาหารของคีติกาเปิดมาได้หนึ่งเดือนก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแน่น โดยเฉพาะช่วงเย็น เนื่องจากเปิดในย่านทำเลทอง อาหารมีรสชาติถูกปาก ราคาสมเหตุสมผล และบริการดี มีการรีวิวในช่องทางโซเชียลแทบทุกแพลตฟอร์ม
จนกระทั่งพี่ชายของเธอที่เรียนอยู่ต่างประเทศเห็นคีติกาผ่านช่องทางโซเชียลที่คนเข้ามารีวิวอาหารในร้านของเธอว่า
“ออส่วนหอยนางรมจานนี้ อร่อยถูกปากผมมาก หอยก็ตัวใหญ่ สด แป้งเหนียมนุ่ม มีแบบแป้งกรอบที่เรียกว่าออลัวะด้วย อร่อยไม่แพ้กัน เคยไปทานที่ไหนก็รสชาติไม่ถูกปากเท่าร้านนี้ เชิญแวะมาลองกันนะครับ นี่เป็นความชอบส่วนตัวของผม”
รวมถึงน้องชายของเธอก็เห็นเพจดังรีวิวร้านของพี่สาว จึงนำเรื่องไปบอกบิดามารดาเพราะคิดว่าพี่สาวตัวดีตั้งใจเปิดร้านแข่งกับร้านของบรรพบุรุษ เมื่อบิดามารดาของคีติการู้เรื่อง แทนที่ทั้งสองคนจะยินดีในความสำเร็จของลูกสาวในไส้ กลับคิดในทางตรงกันข้าม หาว่าคีติกาเปิดร้านนำสูตรอาหารจีนดั้งเดิมที่มีเพียงสาขาเดียวของบรรพบุรุษไปหากิน ทั้งสองจึงพากันบุกมาที่ร้าน
คีติกาที่ยังไม่ได้เข้าครัวนั่งดูความเรียบร้อยของลูกค้าและคอยอำนวยความสะดวกเรื่องโต้ะนั่งเห็นบิดามารดาเดินเข้ามาในร้านกันสองคน ตอนแรกเธอก็ส่งยิ้ม รีบเดินเข้าไปต้อนรับด้วยความดีใจและคิดถึง คิดว่าทั้งสองคนคงมาแสดงความยินดีกับเธอที่มีร้านเป็นของตัวเองแล้ว
“เตี่ย ไอ๊ นั่งก่อนสิคะ เดี๋ยวหลิว...”
พูดยังไม่ทันจบประโยคมารดาก็ชี้หน้าด่า
“หึ อีลูกเนรคุณ กล้าเปิดร้านเอาสูตรที่ร้านมาขายแข่งกับบ้านตัวเอง ลื้อนี่มันเนรคุณจริง ๆ อั๊วไม่น่าให้ลื้อเกิดมาทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเลย”
คีติกาอึ้งงัน พูดคำใดไม่ออก ลูกค้าที่นั่งรับประทานอาหารในร้านต่างพากันอึ้งกับเจ๊ปากแดงที่กำลังส่งเสียงด่าเจ้าของร้าน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นลูกสาว
“ไอ๊...”
มยุรีเครื่องติด ถ้าจะด่าแค่นี้คงไม่ใช่ซ้อเหลียนเจ้าเก่าเยาวราช จึงอ้าปากด่าลูกสาวต่อ
“ทุกคนรู้ไว้ด้วยนะว่า อีเนี่ยมันเป็นลูกสาวของอั๊ว อุตส่าห์ตบแต่งให้มันกับผู้ชายดี ๆ แต่มันไม่เคยสำนึกบุญคุณ แต่งออกจากบ้านมาแล้วก็สะบัดตูดไม่เคยช่วยอะไรที่บ้าน นี่ยังแอบเอาสูตรอาหารของที่ร้านอั๊วมาทำขายแข่ง มันเป็นลูกเนรคุณ สูตรอาหารทุกอย่างที่มันขายอยู่นี่เป็นสูตรลับของครอบครัวที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษมันกล้าเอามาขายโดยไม่ขอที่บ้านสักคำ มันใช้ได้ที่ไหน ถ้าจะเอาสูตรของที่ร้านอั๊วมาทำขายก็ต้องแบ่งกำไรมาให้ที่บ้านด้วยสิ ค่าใช้จ่ายของอาเฮียกะอาตี๋ลื้อเดือน ๆ นึงตั้งเท่าไร แต่งออกมาไม่เคยคิดจะช่วยพ่อแม่พี่น้อง แล้วยังจะเอาสูตรที่ร้านมาขายแข่งกับร้านอั๊วอีก ลื้อกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง ปิดร้านของลื้อไปเลยนะอีหลิว อีลูกเลว” ตามด้วยคำด่าหยาบคายภาษาจีนอีกเป็นชุด
ลูกค้าในร้านพากันตะลึงกับสกิลการด่าราวกับกำลังแรปของเจ๊ปากแดงคิ้วโก่ง แต่ที่ทำให้อึ้งยิ่งกว่าคือสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของคนที่บอกว่าตัวเองเป็นแม่และถ้อยคำที่ใช้บริภาษผู้เป็นลูกอย่างสาดเสียเทเสีย
ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโตมาคีติกาคือที่รองรับอารมณ์โกรธของมารดาเพราะไม่กล้าลงกับคนอื่นในบ้าน มยุรีจึงลืมไปว่าขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ที่สำคัญคือไม่พอใจที่ลูกสาวที่แสนชังเปิดกิจการแบบเดียวกับที่บ้านแถมดูไปแล้วกำลังไปได้ดีกว่าร้านต้นตำรับของครอบครัวอีกด้วย อดีตนางเอกงิ้วจึงใส่อารมณ์เต็มที่