สามนายบ่าวเพิ่งปิดประตูพูดคุยกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น หงหลินรีบออกไปดูจึงรู้ว่าอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามคุณชายสามก็จะกลับถึงจวนแล้ว เดิมทีเจียงซูเยว่นึกว่าเขาคงไม่กลับมาในวันนี้พรุ่งนี้ ดูเหมือนฟู่จูที่ฟางฮูหยินส่งไปรับบุตรชายนั้นจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แน่ล่ะคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันนายท่านสกุลฟางมาสามสิบปี จะไร้ฝีมือได้อย่างไร
นายท่านสกุลฟางเสียชีวิตไปแล้ว คนผู้นี้ย่อมต้องเชื่อฟัง ฮูหยินใหญ่ ต่อให้เป็นคุณชายคนสำคัญแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้
ปรายตามองคนข้างกายทีหนึ่ง สาวใช้คนสนิทจึงส่งเสียงเรียกบรรดาสาวใช้ผู้มีหน้าที่ตระเตรียมเครื่องแต่งกายเข้ามา เห็นถาดเสื้อผ้าเครื่องประดับสีอ่อนราบเรียบตรงหน้าแล้วจึงเอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชา
“ไปหยิบชุดผ้าไหมฉางโจวสีเลือดนกตัวนั้นมา”
ชุดนั้นมิใช่เป็นชุดที่นายหญิงไม่เหลือบแลแม้แต่หางตาหรอกหรือ นับตั้งแต่เข้าจวนมาชุดที่นายหญิงเลือกล้วนเป็นสีอ่อนเรียบง่าย เช่นสีเหลืองแสงจันทร์ สีเปลือกไข่ ชมพูปีกผีเสื้อ สีฟ้าอ่อน ทุกตัวล้วนสุภาพเรียบร้อยยิ่ง ทว่าหนนี้กลับเลือกชุดสีสันแสบตาค่อนไปทางมีอายุ ดูไม่เหมาะกับรูปร่างหน้าตาของเด็กสาวผู้หนึ่งเลยแม้แต่นิด
มิเพียงสีเสื้อหรอกที่เปลี่ยน แม้กระทั่งใบหน้าเจียงซูเยว่ยังให้สาวใช้พอกเครื่องประทินโฉมเสียหนาเตอะ แต่งออกมาแล้วทำเอาเสี่ยวถิงกับหงหลินถึงกับมองอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่รู้ว่าสตรีที่ดูมีอายุผู้นี้มาจากไหนกันแน่ เหตุไฉนถึงปรากฏตัวอยู่ห้องชั้นในของเรือนย่ำแดนเซียนได้
“ออกไปรับคุณชายสามกันเถิด” แต่เสียงนี้จะอย่างไรก็คือคุณหนูสิบเอ็ด สองสาวใช้จึงได้แต่ติดตามนายหญิงของตนไปยังหน้าประตูเรือนชั้นนอก ซึ่งตอนนี้มีบรรดาสตรีทั้งแปดคนของเขายืนชะเง้อจนคอยืดคอยาวแล้ว
เจียงซูเยว่ไม่คิดจะยืนให้เมื่อยขา นางพยักหน้าทีหนึ่ง หงหลินก็วางเก้าอี้กลมให้ ด้านข้างมีน้ำชากับของว่าง บรรดาสาวใช้ห้องข้างเห็นนายหญิงของเรือนแต่งกายเช่นนี้ แต่ละคนย่อมเผยสีหน้าพออกพอใจออกมา
นี่ต่างหากคือภาพที่คุณชายสามสมควรเห็น หาใช่สาวน้อยอ่อนวัยที่สามารถกลืนกินใจผู้คนได้ง่ายๆ อย่างที่พวกตนพบพานไปเมื่อเช้านี้ไม่
ดูท่าทางแล้ว นายหญิงจากสกุลเจียงผู้นี้อาจต้องการเพียงรักษาฐานะภรรยาเอกของตน หาได้ปรารถนาในตัวคุณชายสาม
เพียงแต่วันนี้ไม่ต้องการ ภายภาคหน้าอาจต้องการก็เป็นได้ ถึงอย่างไรพวกนางทั้งแปดย่อมต้องระมัดระวังไว้ให้ดี หาไม่แล้วอาจสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ในมือไปง่ายๆ
ส่วนผู้ใดจะคิดเช่นไรนั้นเจียงซูเยว่หาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงต้องการอยู่ในฐานะภรรยาเอกของตนให้ดี
ความโปรดปรานรักใคร่จากคุณชายสามมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับนางแม้แต่น้อย ขอแค่แม่สามีผู้นั้นสงสารเห็นใจบ้างก็พอ แต่ดูๆ แล้วแม่สามีก็คงเห็นใจไม่น้อย เพราะพวกนางทั้งสองมีชะตาชีวิตเหมือนกัน
นายท่านสกุลฟางมิใช่มากภรรยาเหมือนคุณชายสามหรอกหรือ
จะว่าไปบุรุษสกุลฟางนี้ช่างเหมือนกันไม่มีผิด ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่กับคุณชายรองที่ย้ายไปอยู่ต่างเมืองจะเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่
ยังไม่ทันได้ขบคิดอะไรไปมากกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงทำความเคารพดังขึ้นเป็นทอดๆ หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจเจียงซูเยว่ก็ได้เห็นหน้าผู้เป็นสามีของตนเสียที
พอเห็นเขาชัดเต็มตา ในหัวพลันมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา ‘ตายใต้โบตั๋น แม้เป็นผีก็สุขสำราญ’
หากฟางจิ้งห้าวรู้ว่าในใจของเจียงซูเยว่เปรียบตนเป็นโบตั๋นจะโกรธเกรี้ยวโมโหสักปานใดก็ไม่รู้
เพียงแต่นางไม่คิดจะตายใต้ต้นโบตั๋น และยิ่งไม่ต้องการเป็นผีที่สุขสำราญ ดังนั้นสีหน้าแววตายามเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจึงนิ่งสงบนัก เมื่อเขาก้าวมายืนตรงหน้า ภรรยาเอกที่แต่งเนื้อแต่งตัวดูมีอายุทำเพียงยอบกายลง “ข้าภรรยาคำนับท่านพี่”
เจียงซูเยว่อาจใช้โบตั๋นเปรียบเปรยความงดงามหล่อเหลาราวกับเทพเซียนของฟางจิ้งห้าว สำหรับฟางจิ้งห้าวนั้นมองสตรีเบื้องหน้าด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนหน้านี้คนของเขาไม่ใช่บอกว่าคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลเจียงนั้นเรียบร้อยงดงามอ่อนหวานราวดอกจื่อจิงที่น่าทะนุถนอมหรอกหรือ สตรีหน้าหนาสวมเสื้อผ้า สีแสบตานี่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ไม่อาจทะนุถนอมได้ลง มิสู้เหล่าสาวงามทั้งแปดแม้แต่น้อย
“คุณชายสาม” เสียงอ่อนหวานของแต่ละนางดังขึ้น สายตาทั้งแปดคู่มองเขาเป็นเจ้าชีวิตเจ้าหัวใจ เช่นนี้ต่างหากถึงเรียกว่าน่าทะนุถนอม
สตรีหน้าหนาปากแดงผู้นั้น...ตวัดสายตาจับจ้องไปทีหนึ่ง หัวคิ้วพลันขมวดมุ่น ลอบมองมือเรียวบางที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อแล้วก็ถึงกับลอบยกมุมปาก หลังจากนั้นรีบผละจากสาวใช้ห้องข้างทั้งแปดไปคว้าเอามือนุ่มนิ่มข้างนั้น นัยน์ตาที่ทอดมองมาพราวระยับยิ่ง
“ฮูหยินรัก ในที่สุดเราสองสามีภรรยาก็ได้พบหน้ากันเสียที เจ้ารู้หรือไม่ว่า...ข้าอยากพบหน้าเจ้าจนต้องรีบร้อนกลับมา”
อยากพบหน้า? รีบร้อน? นางเข้าจวนมาได้เกือบสองวันแล้ว หากไม่ถูกคนของฮูหยินใหญ่พาตัวกลับมา คำว่ารีบร้อนนี้คงเป็นครึ่งปีให้หลังกระมัง
มองออกว่าเขาแค่พูดไปอย่างนั้น จึงแสร้งทำตัวไร้กระดูก จู่ๆ ร่างกายก็อ่อนเปลี้ยไร้แรงกำลังหยัดยืน รั้งมือออกจากการกอบกุมของเขาแล้วพลันนวดขมับข้างหนึ่งเบาๆ “เดิมทีร่างกายของข้าภรรยาไม่เอาไหน สามวันดี สี่วันล้มป่วย ครั้งนี้ต้องเดินทางจากเมืองหลวงมายังเหยียนโจวทำให้ลำบากไม่น้อย ดูเอาเถิดเพียงแค่ยืนตากลมรอรับท่านพี่ ข้าภรรยาก็แทบหมดแรงแล้ว”
ร่างกายซวนเซไปหาเขา เดิมทีฟางจิ้งห้าวอยากประคองภรรยาเอกของตนไว้ แต่กลิ่นเครื่องหอมฉุนจมูกของนางทำเอาต้องสั่งการเสียงขรึม “สุขภาพของฮูหยินไม่ดี เหตุใดยังไม่รีบพาฮูหยินกลับเรือนชั้นในอีก พวกเจ้าต้องให้ข้าสั่งโบยใช่หรือไม่ ถึงจะรู้ว่าควรทำสิ่งใดไม่ควรทำสิ่งใด”
หันไปเอาเรื่องกับสาวใช้แล้วถึงได้เอ่ยปากกับเจียงซูเยว่ “ในเมื่อฮูหยินรักไม่สบาย เจ้าก็พักในเรือนเถิด หลายวันนี้อย่าได้ออกมาตากลมเลย หาไม่ร่างกายอาจล้มป่วยเอาได้”
เขากักบริเวณนาง ห้ามมิให้เสนอหน้าออกมา เมื่อเข้าใจความนัยที่เขาต้องการบอกกล่าวแล้วก็ได้แต่ยอบกายลง “ข้าภรรยาทราบแล้ว นับแต่นี้จะปิดประตูอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียว”
นางไม่อยากเผชิญหน้ากับเขา และยิ่งไม่มีความอดทนพอที่จะเฝ้ามองเขาแสดงความรักกับบรรดาสาวใช้ห้องข้างทั้งแปด ปิดประตูต่างคนต่างอยู่นับว่าดีที่สุด อย่างน้อยเมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูผู้มีอำนาจสูงสุดของจวน จะได้ไม่ถูกแม่สามีตำหนิเอาได้
ลูกชายบังเกิดเกล้าของแม่สามีสั่งกักบริเวณเอง หาใช่ความผิดของนางแม้แต่น้อย