แต่...ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพวกหัวขบถ

1949 Words
เรื่องของทาสแค่คนเดียวที่มาทำงานเลี้ยงปั่นป่วน เวหาไม่เก็บมาใส่ใจหรอก การรับปากที่พูดออกไปนั่นก็พูดส่งเดชไปด้วยซ้ำ เพราะหลังจากงานเลี้ยง เขาก็ลืมเด็กหนุ่มคนนั้นไปหมดสิ้น ลืมแม้กระทั่งการสั่งลงโทษตามความผิด เรียกได้ว่าแม้แต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็ไม่อยู่ในความทรงจำเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้...ดูท่าทางเขาจะจำได้ขึ้นมาแล้วว่าเขาติดค้างอะไรไว้อยู่ เพราะต้องออกไปทำธุระกับคู่ค้าที่อาณาเขตอื่นนอกจันทรานิรันดร์ เขาถึงได้พบหน้ากับทวิชอีกครั้ง รถลีมูซีนคันหรูมาจอดเทียบท่าอยู่หน้าคฤหาสน์ รอรับนายใหญ่ไปยังที่หมาย ชายหนุ่มในชุดสูทหรูเดินออกมาจากประตูหน้าคฤหาสน์ไปตามทิศทางที่ลูกน้องคนสนิทผายมือให้ หากแต่ในจังหวะที่เดินไปนั้น หูของเขาก็ได้ยินเสียงดุไม่ดังนักมาจากหัวหน้าทาสที่กำลังเกณฑ์แรงงานมาดูแลตกแต่งสวนไม่ไกล เรื่องนี้อันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติ พวกทาสมักจะถูกดุด่าอยู่เสมอ แต่ที่ไม่ปกติก็คือทาสคนที่ถูกดุ... คือคนเดียวกับที่อุกอาจบุกเข้ามาในงานเลี้ยงของเขา สองขาชะงัก หยุดเดินไปชั่วครู่ สายตาเหลือบไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายถูกหัวหน้าทาสเอาด้ามไม้กวาดทางมะพร้าวเคาะกะโหลกอยู่ เด็กหนุ่มทำหน้าเหยเก ร้องโอดโอยแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวด หากแต่เมื่อหันมาเห็นเขา สองมือที่จับเสียมพรวนดินอยู่ก็รีบวางอุปกรณ์ในมือลง ลุกขึ้นยืนเหยียดเต็มตัว พนมมือไหว้เขาอย่างรวดเร็ว ท่าทางนั้นทำให้ความทรงจำเมื่อหลายวันก่อนผุดพรายเข้ามาในสมองของเวหา ทวิช... เจ้านกตัวนั้น... คราวนี้ถึงกับจำได้แม่นเลย เขามองอีกฝ่ายที่ยกมือไหว้เขาประหลกๆ อยู่ด้วยสายตายากจะอ่าน สีหน้าไม่แสดงอาการใดๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะถูกหัวหน้าทาสถลาเข้ามาดุอีกที โทษฐานที่บังอาจไปจ้องหน้านายอย่างไม่สมควร พลันก็ถูกกระชากลากถูให้ออกจากแนวสายตา การที่ทาสมาปรากฏตัวต่อหน้านายโดยไร้คำสั่ง...เป็นเรื่องไม่สมควร ต่อให้เป็นเรื่องบังเอิญ พวกทาสก็ต้องเป็นฝ่ายรีบหลบทาง ไม่ใช่มาเสนอหน้าอย่างที่ทำอยู่ สิ่งที่ทวิชทำเรียกได้ว่าไร้มารยาทอย่างที่สุด กระนั้นเวหาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ยิ่งเห็นเด็กหนุ่มที่แม้จะถูกดึงจากไปส่งยิ้มให้ เขาก็รู้สึกสนุกขึ้นมา สนุก... แน่ล่ะว่าสนุกกว่าการที่เขาจะต้องไปคุยธุระกับคู่ค้าอย่างแน่นอน แต่ทว่าก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเด็กหนุ่มอีก หากแต่...โชคชะตามักเล่นตลกเสมอ เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ในตอนเย็น เขาก็ยังเห็นเด็กหนุ่มนั่งพรวนดินแปลงดอกไม้อยู่ที่เดิม ทว่าคราวนี้กลับกระทำตามลำพัง ดูเหมือนว่าน่าจะถูกลงโทษจากหัวหน้าทาสที่บังอาจไปเสนอหน้าต่อหน้านาย เวหาหยุดยืนมองอยู่ครู่ ใบหน้าขาวนวลของทวิเปรอะเปื้อนฝุ่นดินจนมอมแมมไปหมด พวงแก้มซีดขาวเจือสีแดงเรื่อเพราะถูกแดดเผามาตลอดทั้งวัน เหงื่อกาฬที่ไหลอาบจนเสื้อผ้ามอซอเปียกปอน ก่อนเขาจะค้นพบว่าทวิชช่างซื่อบื้อเมื่ออีกฝ่ายยกมือที่เปื้อนดินขึ้นซับเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ทำให้ใบหน้าของตนเองเปรอะเปื้อนยิ่งกว่าเดิม เวหาส่งเสียงดังฮึออกมาในลำคอ ก่อนจะต้องตีหน้านิ่งเมื่อดวงตากลมของทวิชมองปราดมาทางเขา หลังจากนั้นก็ยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มกว้างจนตาหยี เวหาจึงไม่หยุดยืนมองอีกต่อไป ออกเดินต่อโดยมีบรรดาบอดี้การ์ดเดินตามเป็นขบวน ปล่อยให้ทวิชยิ้มค้าง มองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่จากไปด้วยความเข้าใจ แน่ล่ะ พวกนายไม่ลดตัวลงมาตอบรับไมตรีกับทาสหรอก เรื่องอะไรที่จะต้องลดตัวลงมาเกลือกกลั้วด้วยเล่า เด็กหนุ่มคิดอย่างนั้น พลันทำหน้าที่ของตัวเองต่อให้จบ โดยหารู้ไม่ว่าหลังจากที่เข้ามาด้านในคฤหาสน์แล้ว เวหาก็ไม่สามารถสลัดความคิดเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ยังคงรดน้ำพรวนดินอยู่ในสวนหน้าคฤหาสน์ได้เลย ท่าทางครุ่นคิดของเขาทำเอาธามที่ยืนรอรับใช้อยู่ต้องเอ่ยปากถามเมื่อผู้เป็นนายส่งเสื้อสูทตัวนอกมาให้ “คุณเวหามีเรื่องอะไรกังวลใจหรือเปล่าครับ” คุณเวหา... มีเพียงพวกไทเท่านั้นที่ใช้เรียกเขาได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้เป้นนาย “ฉันดูเหมือนมีเรื่องกังวลเหรอ” เวหายอกย้อน เดินตรงไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก ขณะที่มือก็ดึงเนกไทออกจากลำคอ “ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นคุณเวหาขมวดคิ้วยุ่งมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ผมเลยสงสัย” เวหาชะงัก พอเหลือบมองหน้าคนสนิทก็ถูกอีกฝ่ายถาม “การไปเจรจาเรื่องส่วนแบ่งภาษีของอาณาเขตวันนี้ไม่ราบรื่นเหรอครับ” ธามเข้าใจว่าเป็นเรื่องนี้ เพราะเขารู้ดีว่าพวกนายที่มีอำนาจและถือครองอาณาเขตต่างๆ อยู่มักจะมีความขัดแย้งทางด้านภาษีซึ่งกันและกัน ในอดีตนั้นแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เรียกว่าประเทศไทย มีการแบ่งอาณาเขตออกเป็นจังหวัด แต่เมื่อยุคทุนนิยมล่มสลาย นายทุนขึ้นมามีอำนาจและสถาปนาตนเป็นนาย พวกเขาก็ถือครองพื้นที่ต่างๆ และเรียกพื้นที่นั้นๆ ว่าอาณาเขต อย่างเช่นอาณาเขตของตระกูลจันทรานิรันดร์ ปัจจุบันถือครองอาณาเขตร้อยกว่าเขต เรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตที่เจริญที่สุดอาณาเขตหนึ่งในภูมิภาคนี้ ดังนั้นพวกนายจากอาณาเขตอื่นๆ จึงหมายที่จะมาทำธุรกิจแสวงหาผลประโยชน์จากที่นี่ ทั้งทรัพยากรและทาส แต่เมื่อมีการรุกล้ำอาณาเขตก็ต้องมีการเก็บภาษี ดังนั้นสิ่งที่เขาไปเจรจาวันนี้ก็คือเรื่องภาษีที่นายจากอาณาเขตอื่นต้องจ่ายให้เขาเพื่อมาใช้พื้นที่ของเขาหาผลประโยชน์นี่ล่ะ หากแต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เวหากังวลใจ อันที่จริงเขาไม่ได้กังวลใจด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาขบคิดเรื่องหนึ่งไม่หยุดต่างหาก “ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” เวหาบอกปัด ไม่อยากจะพูดถึงสักเท่าไร แต่คนสนิทอย่างธามมีหรือที่จะดูไม่ออกว่าเจ้านายของเขากำลังโกหก กระนั้นก็ไม่เค้นถาม ได้แต่ตรงไปรับเนกไทจากมือของอีกฝ่ายพลางว่า “ถ้าคุณเวหามีอะไรให้ผมรับใช้ก็บอกได้เลยนะครับ” เป็นสัญญาณว่าเขายินดีที่จะแบ่งเบาภาระทุกอย่าง เวหาพยักหน้า ไม่พูดอะไร ธามค้อมตัวหมายจะปล่อยให้เจ้านายได้พักผ่อนตามลำพัง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเวหาโพล่งขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นฉันมีเรื่องจะถาม” “ครับ?” “เด็กนั่นอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว” จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า ‘เด็กนั่น’ ธามนิ่งงันไปครู่เพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร แต่เมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นนายเหลือบมองออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ติดกับสวนหน้าคฤหาสน์ เขาก็เข้าใจได้ทันที และแน่นอนว่าเขาไปค้นประวัติของทวิชมาหมดแล้วตั้งแต่วันที่เด็กหนุ่มก่อเรื่อง เตรียมพร้อมเอาไว้ตอบคำถามผู้เป็นนายเวลาถูกถามนี่ล่ะ “ทวิชเข้ามาเป็นทาสในสังกัดของคุณเวหาตั้งแต่อายุสิบห้าครับ” “งั้นก็สี่ปีที่แล้วสินะ” ธามพยักหน้า พลันเจ้านายก็ถามต่อ “มีอะไรที่ฉันต้องรู้เกี่ยวกับเด็กนั่นไหม” ความจริงเรื่องของทาสคนเดียว เวหาไม่จำเป็นต้องรู้เลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อออกปากพูดมาอย่างนี้ ต่อให้ไม่ได้แสดงออกตรงๆ ว่าอยากรู้ ธามก็สาธยายออกมาอย่างรู้งานแล้ว “ทวิชถูกจำหน่ายเป็นทาสตั้งแต่เกิดเพราะพ่อแม่เป็นทาส ตอนอายุได้สามขวบ มีนายเป็นเจ้าของเหมืองทางภาคเหนือ พออายุได้สิบขวบก็ถูกจำหน่ายไปทางภาคใต้เพราะนายคนเก่าใช้เป็นตั๋วเบี้ยเดิมพันในสังเวียน จากนั้นก็ถูกจำหน่ายมาเป็นทาสของคุณเวหาเพราะคุณเวหาชนะเดิมพันตอนไปคาสิโนที่อาณาเขตอื่นเมื่อสี่ปีที่แล้วครับ” เวหามองหน้าคนเล่าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เรื่องที่ได้ทาสแทนตั๋วเบี้ยจากการเดิมพันในบ่อนคาสิโนที่ใช้นักสู้เป็นเกมการพนัน เรื่องนั้นเป็นเรื่องปกติของพวกนายที่มักจะทำกิจกรรมนี้เวลาพบปะสังสรรค์กัน แต่ที่เขาฉุกใจก็คือเขาจำไม่เห็นได้เลยว่าได้ทวิชมาเป็นทาสในสังกัดจากการเดิมพันนี้ด้วย ที่สำคัญ...ไม่เห็นรู้เลยว่า... “แล้วเด็กนั่นมาเป็นทาสชั้นในได้ยังไง” นั่นล่ะที่เขาสงสัย ทาสชั้นในก็คือพวกทาสที่มีความประพฤติเรียบร้อย รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน พวกทาสเหล่านี้จะถูกคัดมาทำงานใกล้ชิดกับพวกนายและอยู่อาศัยในบริเวณคฤหาสน์ ก่อนที่เวหาจะเข้าใจได้เมื่อธามบอก “ตอนที่คุณเวหาชนะการเดิมพันมา พวกทาสที่เป็นตั๋วเบี้ยมีเด็กอยู่มาก คุณเวหาก็เลยสั่งให้เอาพวกทาสเด็กเข้ามาเป็นทาสชั้นในน่ะครับ” เขาคงเคยสั่งอะไรแบบนี้ล่ะสินะ... เข้าใจแล้ว และเพราะเข้าใจนี่ล่ะที่ทำให้เขาอดคิดขึ้นมาไม่ได้ “ฉันดูแลทาสชั้นในไม่ดีหรือไง จู่ๆ วันดีคืนดีถึงได้มีพวกบ้าอยากจะปลดแอกตัวเอง” ได้ยินอย่างนั้น ธามก็ส่ายหน้าพลัน “ไม่เลยครับ คุณเวหาดูแลพวกทาสดีมาก ไม่ว่าจะชั้นในหรือชั้นนอก แม้แต่พวกทาสชั้นเลวเองก็ได้รับความเมตตาจากคุณเวหาทั้งสิ้น เรียกได้ว่าคุณเวหาใจดีกว่านายสังกัดอื่นๆ อยู่มาครับ” ใช่ เขามีเมตตา บอกตามตรงว่าเขาก็คิดอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขาใจดีหรืออะไรหรอก เขาแค่ไม่ต้องการให้เกิดการกบฏหรือปฏิวัติ ดังนั้นการใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการให้ของขวัญในโอกาสต่างๆ หรือการให้อาหารการกินที่ดีเป็นบางครั้ง ก็จะช่วยทำให้พวกทาสรู้สึกว่าเขาเป็นนายที่ดีและอยากอยู่รับใช้ตลอดไป แต่...ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพวกหัวขบถ ก่อนหน้านี้ก็มีมาคนหนึ่ง ล่าสุดก็เจออีกคนหนึ่ง การควบคุมพวกทาสเป็นเรื่องยากกว่าการรีดเค้นเก็บภาษีพวกนายจากอาณาเขตอื่นเสียอีก “คุณเวหาอยากจะถามใช่ไหมครับว่าทำไมพวกทาสถึงได้คิดอยากจะปลดแอกทั้งที่คุณเวหาก็ใจดีด้วยขนาดนี้” ธามถามอย่างรู้ทัน เวหาเหลือบมอง “อยากหักปีกเด็กนั่นไหมครับ” รู้ใจเขาอีกแล้ว แต่เวหาไม่ตอบอะไร ได้แต่โบกมือไล่ “นายมีอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันจะพักแล้ว” ธามจึงไม่เซ้าซี้ ค้อมตัวอีกครั้งเพื่อขออนุญาตหลบไปทำหน้าที่ตน ทิ้งให้เจ้านายหนุ่มนั่งขบคิดอะไรเพียงลำพัง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD