ผมอยากขอปลดแอกตัวเองจากการเป็นทาสครับ
หลังเศรษฐกิจยุคทุนนิยมล่มสลาย ระบบใหม่ก็เข้ามาแทนที่พร้อมกับชนชั้นทั้งสามที่ถือกำเนิด
นาย...ไท...และทาส
ระบบการปกครองที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดในสังคมอันโหดร้าย
ธรรมชาติคัดสรรให้ผู้ที่แข็งแกร่งอยู่เหนือผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างนั้นหรือ?
คนพวกนั้นก็คือพวกชนชั้น ‘นาย’ อย่างไรล่ะ พวกที่แข็งแกร่งรองลงมา ถึงจะไม่มีอำนาจอยู่ในมือแต่สามารถดูแลจตัวเองได้ พวกนั้นจึงเป็น ‘ไท’ แต่สำหรับ ‘ทวิช’ ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากบิดามารดา เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้อ่อนแอ
ไม่สิ...ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่คิด คนอื่นๆ เองก็คิด เพราะชนชั้นของเขาบ่งบอกความอ่อนแอและล้มเหลวของต้นตระกูลตนอย่างชัดเจน
‘ทาส’…
ทวิชผูกติดกับคำนี้มาตั้งแต่ที่เขายังไม่ออกจากครรภ์ของมารดาด้วยซ้ำ
ทาส...ไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้
ทาส...จำต้องมีนายและเข้าสังกัดเพื่อให้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าปกป้อง หากไม่มีนายแล้ว ทาสก็ไม่ต่างอะไรจากเศษขยะ ถูกทำร้ายหรือตายไปสักคน ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะชีวิตมีค่าน้อยยิ่งกว่าตั๋วเบี้ย[1]ที่ค่าต่ำที่สุดเสียอีก
เขาถูกจำหน่ายเข้าสังกัดนายหลายต่อหลายคน การพลัดพรากจากครอบครัวไม่จบไม่สิ้นทำเอาเขาลืมไปแล้วว่าพ่อแม่ของตนหน้าตาเป็นอย่างไร มีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาไม่รู้ทั้งนั้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเมื่อทาสอย่างเขาต้องมีลมหายใจอยู่เพื่อภักดีกับนาย
ทว่า...มันจะไม่ใช่เมื่อเขาอายุครบยี่สิบปี
เป็นเกณฑ์อายุที่ทาสอย่างเขาจะขอนายปลดแอกจากความเป็นทาสเพื่อเป็นไทได้
หากแต่ตอนนี้ทวิชมีอายุเพียงสิบเก้า เขาต้องรออีกหนึ่งปีเพื่อให้ถึงวันนั้น
“เอ้า ว่าไงไอ้วิช มึงอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด รีบบอกไป คุณเขาจะได้เอาไปบอกคุณท่าน”
คุณท่าน...คือสรรพนามเรียกแทนตัวผู้เป็นนายของทาสทุกชีวิตที่นั่งอยู่ตรงนี้ รวมถึงพวกไทที่มาทำงานให้ด้วย ทวิชเหลือบไปมองหน้าชายหนุ่มในชุดสูทที่ทางด้านหลัง รอให้หัวหน้าทาสจดของขวัญวันเกิดที่ทาสที่เกิดในเดือนนี้อย่างเงียบเชียบ โดยปกติแล้วไม่มีนายคนไหนหรอกที่จะมอบของขวัญวันเกิดให้ทาสอย่างนี้ พวกเขาถือคติว่าพวกทาสคือชนชั้นล่างที่ไม่ควรลงไปเกลือกกลั้วหรือใส่ใจ เว้นเสียก็แต่ทาสในสังกัด ‘จันทรานิรันดร์’ ที่มีธรรมเนียมนี้มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ
ทาสทุกคนมีความสำคัญ เป็นแรงงาน เป็นแขนเป็นขา อีกนัยหนึ่ง การมอบของขวัญให้เช่นนี้ก็คือการซื้อใจเพื่อให้ทาสยอมภักดี ไม่อาจหาญขอปลดแอกตัวเองเป็นไท
ทวิชยังคงนึกไม่ออกว่าอยากจะได้อะไรเป็นพิเศษในวันเกิดตัวเอง นั่งนิ่ง เม้มริมฝีปากขบคิดกระทั่งหัวหน้าทาสร้องถามมาอีก
“มึงจะบอกได้หรือยัง หรือของที่มึงอยากได้มีมากจนคิดไม่ตกวะ”
เสียงหัวเราะของบรรดาทาสที่มีวันเกิดในเดือนเดียวกันดังขึ้นขรม แต่ทวิชไม่ได้อยากได้สิ่งของมีค่าใดๆ เลย จึงทำให้เขาเงียบงันอยู่อย่างนี้ เพราะของที่มีค่าสำหรับเขาตอนนี้ก็คือ...
“จะบอกไม่บอก ถ้าไม่บอก กูเอาใบรายชื่อไปให้เขาแล้วนะ”
“คือผม...”
ทวิชหมายจะบอกส่งเดชไปให้เรื่องมันจบๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดต่อ ก็มีเสียงร้องโอดโอยดังขึ้นจากไม่ไกล เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นเสียงจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกพวกไทลากออกมาจากทางด้านหลังของอาคารที่เรียกว่า ‘สังเวียน’
ร่างที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ใบหน้าบวมปูดและแขนขาที่บิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้บรรดาทาสที่เห็นภาพนั้นพากันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับทาสคนนั้นคืออะไร
ทาสคนนั้น...ขอปลดแอกตัวเองเป็นไท
การขอปลดแอกแม้จะทำได้เมื่ออายุครบยี่สิบปี แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้โดยง่ายเพราะพวกนายทั้งหลายถือว่าการขอปลดแอกคือการกบฏ
...กบฏย่อมต้องถูกลงโทษ
หากแต่ไม่ใช่การลงโทษด้วยการทำร้ายร่างกายอย่างทารุณ แต่เป็นการบีบบังคับให้ทาสต้องใช้ชีวิตของตัวเองแลกกับอิสระที่โหยหา ทั้งหมดนั้นก็เพื่อทำให้พวกทาสไม่กล้าที่จะคิดตีตัวจากไป ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าทาสที่นั่งหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ไม่มีใครสักคนที่กล้าจะเอ่ยปากขอปลดแอก มิหนำซ้ำยังพากันบริภาษทาสผู้น่าสงสารคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงอีกด้วย
“อยู่ในสังกัดดีอยู่แล้วแท้ๆ หาเรื่องใส่ตัว คงจะไม่ไหวล่ะสิ”
“ก็แน่ล่ะ ใครมันจะไปไหว นักสู้พวกนั้นไม่ใช่ทาสเหมือนพวกเรา เป็นพวกที่ถูกฝึกมาเพื่อคุมทาส ไม่ตายก็บุญหัวแล้ว”
“แต่มันก็สมควรตาย ตายให้กับความโง่ของมันนั่นแหละ แต่คุณท่านคงไม่ปล่อยให้มันตายหรอก พามันไปรักษาอยู่ดี เนี่ย มีนายที่ไหนบ้างที่แสนดีเหมือนสังกัดนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี เจ็บปากตายแบบนี้ก็สมน้ำหน้ามันแล้ว”
ต่างคนต่างก่นด่า ทวิชก้มหน้าลง ครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยความเงียบงัน
การเป็นไทต้องแลกด้วยชีวิต...
สิ่งนั้นทำให้เขาหวาดกลัวเสียจนสั่นสะท้าน
แต่...กลิ่นของความอิสระมันช่างหอมหวนเหลือเกิน
ต่อให้ต้องหมดลมหายใจ ถึงอย่างนั้นทวิชก็ยังอยากได้มันมาอยู่ในมือ เขาคิดวกวนอยู่แต่เรื่องนี้ ก่อนที่จะได้สติอีกครั้งเมื่อถูกหัวหน้าทาสถามอีกครั้ง
“ว่าไง ตกลงคิดได้หรือยังว่ามึงอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
ทวิชคิดว่าเขานึกออกแล้ว
“ผม....” พูดพลางสูดหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะบอกออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมอยากขอปลดแอกตัวเองจากการเป็นทาสครับ”
[1] ตั๋วเบี้ย เป็นธนบัตรสมมติในนิยายเรื่องนี้