อาคารมนวรรธน์เป็นอาคารสูงสิบชั้น สีขาวล้วน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงฯ ห้อมล้อมด้วยตึกรามบ้านช่องอีกนับร้อยนับพัน หลายๆ คนใฝ่ฝันอยากมาทำงานที่นี่ พริ้มเพราก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ความใหญ่โตของบริษัท แต่มันคือความมั่นคง และที่สำคัญ เธอชื่นชอบผ้าไหมอันเป็นสิ่งทอหลักๆ ของที่นี่
แปดโมงสี่สิบนาทีพอดีตอนที่พริ้มเพราลงไปสั่งกาแฟที่ร้านตรงข้ามบริษัท ต้องเข้าแถวรอเป็นชาติเพราะขนาดสายแล้วคนก็ยังแน่นร้าน เธอไม่เข้าใจว่ากาแฟสดอร่อยกว่ากาแฟผงตรงไหน เพราะชงออกมาแล้วก็ขมเหมือนกัน แต่ก็นั่นล่ะ มันเป็นคำสั่งและเธอต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้
เมื่อได้กาแฟตามต้องการพริ้มเพราก็ข้ามถนนกลับมายังบริษัท แทบจะวิ่งก็ว่าได้เพราะเวลานี้ใกล้ถึงเส้นตายของเธอเต็มที รู้สึกเหมือนความเจ็บปวดวิ่งวนไปทั่วร่างโดยเฉพาะส่วนอันบอบบางที่อยู่ระหว่างขา วันนี้เธอควรได้นอนอยู่บนเตียง ร้องไห้คร่ำครวญให้กับพรหมจรรย์ที่เพิ่งเสียไป แต่กลับต้องมาทำงาน และกำลังวิ่งข้ามถนนไปมาเพื่อซื้อกาแฟให้เจ้านาย
“อีกห้านาที!” แม่สาวแว่นโตอยากกรีดร้อง รีบพากาแฟของบอสใหญ่ขึ้นไปส่งที่ชั้นสูงสุดของบริษัท มณีนุชยังง่วนอยู่กับเอกสารและโทรศัพท์มือถือตอนที่พริ้มเพรามาถึง เธอเคาะประตูส่งสัญญาณ ต้องรีบหลับตาลงเมื่ออาการเหนื่อยทำเอาหน้ามืด
แอ๊ด...
พริ้มเพราผลักประตูเข้าไป
“เกือบไม่ทัน แต่ก็ทัน ให้อภัยก็ได้” มาร์คินเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ยังมีแฟ้มหนาๆ ที่เป็นลายผ้าไหมลายใหม่ที่ส่งมาให้เขาอนุมัติเพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการการทอ
พริ้มเพรากลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ ทั้งกะพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกตาลาย อุณหภูมิในกายร้อนขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เธอเอากาแฟไปวางบนโต๊ะ อยากจะเดินออกมาจากตรงนั้นเมื่อหมดหน้าที่ แต่ว่าสังขารไม่อำนวย สองขามันอ่อนและพาร่างทั้งร่างทรุดลงไปกองกับพื้น
“พริ้มเพรา!” มาร์คินแทบกระโดดออกมาจากโต๊ะทำงาน เขารีบมาดูอาการของพริ้มเพรา อุ้มหล่อนไปนอนบนโซฟาตัวยาวที่มีอยู่เพียงหนึ่งตัวในห้องนี้ สีดำของมันช่างตัดกับแก้มขาวๆ ของพริ้มเพราเหลือเกิน
“พริ้มเพรา...พริ้ม...” เขาพยายามเรียกชื่อ ทั้งยังตบแก้มเบาๆ ให้หล่อนรู้สึกตัว ผิวหล่อนอุ่นจัดชัดเจน
“บอส...” พริ้มเพราครางอืออา ขยับลุกนั่งด้วยรู้ว่าไม่เหมาะที่มานอนอยู่ในห้องทำงานเขาอย่างนี้
“ลุกขึ้นทำไม นอนลงไปเดี๋ยวนี้” เขาสั่งแต่อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ฉันดีขึ้นแล้วล่ะ แค่เอ่อ...รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้” บอกเขาแล้วยกมือกอดอก รู้สึกหนาวขึ้นมาดื้อๆ
“คงไม่ใช่แค่รู้สึก คุณเป็นไข้จริงๆ”
เขาว่าแล้วถอดสูทมาห่มให้พริ้มเพราอีก หญิงสาวอยากปฏิเสธ แต่หนาวเกินกว่าจะทนไหว มาร์คินยังจัดแจงหายาแก้ปวดลดไข้ให้ด้วย
หญิงสาวมองเขาอย่างงงๆ ความเอื้ออาทรเขาไม่ต้องมอบมันให้เธอก็ได้ เธอก็เป็นแค่ผู้ช่วยเลขา ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย
“ทำงานไหวไหม”
บอสเอียงคอรอคำตอบ พริ้มเพรากะพริบตาปริบๆ จะเข้ามาถามใกล้อะไรปานนี้ ถามอยู่ห่างๆ ก็ได้ ดูตาเขาสิเป็นประกายเชียว ริมฝีปากก็ด้วย แดงเรื่อน่าจูบแรงๆ ให้ชื่นใจ
“ค่ะ คิดว่าไหว ขอบคุณค่ะบอส” บอกเขาแล้วรีบลุกจากมาอย่างขัดเขิน เธอคิดบ้าๆ แบบนั้นได้อย่างไรในสถานการณ์นี้
พริ้มเพราออกมาจากห้องของบอสใหญ่พร้อมกับสูทตัวหนาที่ยังปกคลุมหัวไหล่ แน่นอนว่ามันเตะตามณีนุชตั้งแต่แรกเห็น สตรีวัยเลยขบเผาะเลยได้จ้องสูทตัวนั้นเขม็ง
“เอ่อ...ฉันเหมือนจะเป็นไข้น่ะ บอสเลยให้ยืมเสื้อ ฉันหนาวค่ะพี่นุช”
พริ้มเพรารีบแก้ต่าง มณีนุชมองลอดแว่นสายตาอย่างใคร่รู้
“บอสมาร์นี่ใจดีจริง ผู้ช่วยเลขาคนเก่าแทบจะลากเสาน้ำเกลือมาทำงาน เขายังไม่ยอมให้หยุด จนแม่หนูนั่นต้องลาออก แต่กับเธอนี่สิ...”
พริ้มเพรายิ้มแห้งๆ ให้กับการตั้งข้อสังเกตของมณีนุช ก็แหม จะให้บอกได้อย่างอย่างไรว่าเมื่อคืนพวกเธอเพิ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งแนบแน่นเสียยิ่งกว่าแน่นกันมา
“บอสใจดีค่ะ หล่อด้วย แหะๆ” หัวเราะแก้เก้อแล้วพาตัวเองไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน มีเอกสารสองสามแฟ้มกางรอเธออยู่
“เรียกฉันว่าอานุชเหมือนบอสมาร์ก็ได้” มณีนุชว่า มองสตรีตรงหน้าแล้วเริ่มสงสัยใคร่รู้ อีกอย่าง...ให้คนที่อายุน้อยกว่าหลานชายมาเรียกพี่ๆ ก็กระไรอยู่
“คะ?”
มณีนุชไม่ได้เอ่ยทวนสิ่งที่เอ่ยออกไปแล้ว เพราะมั่นใจว่าพริ้มเพราได้ยินทุกคำ
“นั่นงานของเธอ อ่านทวนอย่าให้มีคำผิด แล้วค่อยเอาเข้าไปให้บอสเซ็น”
พริ้มเพรารับคำ เธอเพิ่งรู้ว่าเขามีชื่อเล่นว่ามาร์ และดูเหมือนว่าอาหลานคู่นี้จะสนิทกันไม่น้อย แม้ว่าอยู่ในทำงานก็ยังเรียกกันว่าอากับหลาน โดยไม่กลัวว่าจะเสียการปกครอง
เลขาคนใหม่ทำงานต่ออย่างตั้งใจ เอาเอกสารไปให้มาร์คินเซ็นแล้วรีบกลับออกมา อาการไข้ที่รุมเร้าเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เธอเริ่มจะทนไม่ไหว ยิ่งในตอนที่มณีนุชไม่อยู่และเธอต้องวิ่งวุ่นรับโทรศัพท์จากสองโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน
พริ้มเพรารับโทรศัพท์คุยธุระแล้วจดโน้ตไว้ให้มณีนุช ก่อนจะวิ่งมาที่โต๊ะของตัวเอง เมื่อเสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น นี่เธอทำงานวันแรกใช่ไหม!
“พริ้มเพรา ขอน้ำเย็นแก้วหนึ่ง อย่าเกินสองนาที”
“ค่ะบอส” พริ้มเพรากดอินเตอร์คอมแล้วขานรับ เธอลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อหาน้ำเย็นเข้าไปให้เขา ยิ่งใกล้เวลาเที่ยง ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าร่างกายอ่อนล้าเต็มที
*****
“พริ้มเพรา สั่งสเต็กเนื้อที่ร้านเลอบลองให้ด้วย ไม่ต้องสุกมาก ผักเคียงไม่ต้องลวกขอสดๆ”
“ค่ะบอส”
*****
“พริ้มเพรา ขอรายงานการประชุมคราวที่แล้ว”
“ค่ะบอส”
*****
“พริ้มเพรา ตามสูทที่ส่งซักคราวที่แล้วให้ด้วย เขาส่งมาไม่ครบ มีนามบัตรร้านอยู่ที่โต๊ะอานุช”
“ค่ะ! บอส!”
และก่อนเที่ยงวันนั้น พริ้มเพรายังได้เอ่ยคำว่า ‘ค่ะบอส’ ไปอีกหลายครั้งหลายหน กว่าจะได้เวลาพักก็ทำเอาหมดแรงข้าวต้ม เนื้อตัวที่รุมๆ บัดนี้ร้อนจัดจนแม้แต่ตัวเองยังรู้สึก มณีนุชยังไม่กลับเข้ามา เธอได้ยินว่ามาร์คินสั่งให้มณีนุชไปพบลูกค้าแทนในขณะที่เขายังเคลียร์งานเอกสารไม่เสร็จ
พริ้มเพราลุกไปเอาอาหารใส่จานให้เขา เมื่อคนที่ร้านอาหารเอาอาหารมาส่ง เธอจัดวางทุกอย่างลงบนถาดสีน้ำตาลเข้ม ก่อนจะพาเข้าไปในห้องที่เดินเข้าออกเป็นรอบที่ร้อย
“ขอบคุณมาก คุณไปพักเถอะ” เขาว่าโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มงาน
“ฉันพักได้แล้วจริงๆ หรือคะ”
“อาฮะ” เขารับคำ
พริ้มเพราถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวออกจากห้อง แต่เธอไม่ได้ไปไหน กลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง นั่งลงไปบนเก้าอี้แล้วฟุบหน้าลงไปกับแฟ้มงานที่กางค้างอยู่ ก่อนจะสลบเหมือด หมดแรง และไข้ขึ้น
มาร์คินผู้ไม่รู้เรื่องราว นั่งทำงานอยู่สักพักก็ลุกมาจัดการกับมื้อเที่ยงแสนอร่อย มันถูกส่งลงท้องผ่านริมฝีปากสีชาดระเรื่อ ทว่าเมื่อกินอิ่มแล้วกดอินเตอร์คอมเพื่อเรียกพริ้มเพราให้มาเก็บสำรับ กลับได้พบเพียงความเงียบงัน เขาออกมาดู และได้พบว่าพริ้มเพราหลับคาโต๊ะทำงานไปเสียแล้ว ลองแตะแขนให้หล่อนรู้ตัว ทว่าไอร้อนที่แผ่ออกมาทำเอาเขาตื่นตะลึง
“บ้าจริง พริ้มเพรา!”