บทที่ 5
คำเตือนของฆาตกร
พริ้มเพราวางสายเพื่อนรักหลังจากที่อีกฝ่ายโทรจิกทุกห้านาที มองไปข้างหลังก็ยังเห็นรถเพื่อนขับตามมา นึกขอบคุณตัวเองที่มีเพื่อนดีๆ อย่างกมลศักดิ์และกุ้งนาง แต่คงดีกว่านี้ถ้าเธอได้นั่งอยู่บนรถเพื่อน ไม่ใช่รถของบอสมาร์ เขายังไม่ได้เอ่ยปาก เอาแต่ขบกรามกรอดๆ นั่นโกรธหรือ เธอไปทำอะไรให้ล่ะ ตามติดชีวิตเธอจังนะ นี่เจ้านายหรือเจ้ากรรมนายเวร โมโห!
“ทำไมต้องตามฉันด้วยคะ” เธอถาม เขาหันมามองแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปจ้องท้องถนนเช่นเดิม เวลานี้ใกล้ห้าทุ่มแล้ว แต่ถนนเมืองกรุงฯ ยังมีรถราวิ่นสวนกันหนาตา
“ไม่ตอบก็อย่าตอบ เป็นใบ้ไปเลยก็ได้”
“ทำแบบนั้นชอบเหรอ กับผู้ชายคนอื่น”
พริ้มเพรากะพริบตาปริบๆ นั่นเขากำลังถามหรือว่าด่ากันล่ะ
“ก็ดีค่ะ อย่าคิดว่าบอสเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตฉันสิคะ มันเป็นสิทธิ์ของฉันที่จะเข้าม่านรูดกับใครก็ได้”
พวงมาลัยรถถูกกำแน่นขึ้นเมื่อได้ฟัง หล่อนช่างพูดออกมาได้
“สำนึกส่วนดีหายไปหมดนะ เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
“มันหายค่ะ สำนึกส่วนดีมันหายไปพร้อมๆ กับเยื่อพรหมจรรย์นั่นแหละ” เธอประชดบ้าง เขาต้องการอะไรจากเธอกันล่ะ อยากคบเธอหรือก็เปล่า ไม่ชัดเจนสักอย่าง อย่ามาทำเป็นพูดดี
มาร์คินพ่นลมหายใจแรงๆ เหลือบมองพริ้มเพรานิดๆ เขากำลังระงับความโกรธอยู่ “บ้านไปทางไหน”
“ถึงแยกหน้าเลี้ยวซ้ายค่ะ อันที่จริงจอดข้างหน้าก็ได้ เพื่อนฉันขับรถตามมา ฉันย้ายไปนั่งคันนั้นก็ได้เพราะเราพักที่เดียวกัน”
“ไม่ต้อง”
“ทำไมคะ”
“ถ้าไม่ไปส่งก็ไม่รู้สิว่าบ้านอยู่ไหน”
“บอส!?”
มาร์คินยิ้มที่มุมปาก เขาขับรถไปเรื่อยๆ มีพริ้มเพราคอยบอกทาง
“ฉันไม่ได้อ่านสัญญาจ้างงาน” เธอเอ่ยในช่วงที่รถเริ่มติดไฟแดง
“นั่นเป็นสิ่งที่พลาดมหันต์ มาเป็นเลขาได้ยังไงไม่รอบคอบ”
อยู่ๆ ก็หาเรื่องโดนด่า ไม่น่าเลยพริ้มเพรา
“ฉันยอมรับค่ะ มีอะไรที่ฉันควรรู้อีกไหมคะ”
มาร์คินยิ้มอีก ยิ้มที่มุมปากอย่างผู้ชนะ “ถ้าผมเรียกหา คุณต้องมา ต้องสามารถทำตามที่ผมสั่งได้ทุกอย่าง รายละเอียดปลีกย่อยรวมถึงข้าวของที่ต้องจัดเตรียม ไปดูเอาเองในเอกสารแนบท้ายสัญญา ดูให้ละเอียดแล้วก็ปฏิบัติตามซะ”
“บ้าชัดๆ”
“เราจ้างงานสมเงินเดือน หรือไม่จริง”
พริ้มเพรานั่งนับนิ้วสองรอบสามรอบ เงินเดือนที่ว่าก็สูงจริงๆ สูงกว่าผู้ช่วยเลขาที่เธอเคยรู้ ต้องทำใจยอมรับล่ะ เธอไม่เคยเป็นเลขาของผู้บริหารระดับสูง แต่เท่าที่หาข้อมูลมา เลขาพวกนั้นทำงานครอบจักรวาล บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่ควรทำแต่ก็ต้องทำ ไม่มีการเลื่อนขั้น ไม่มีการเติบโตในสายงาน นอกจากเจ้านายได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่ต้องการการเลื่อนขั้น ไม่ต้องเติบโตอะไร แค่เงินดีสวัสดิการเด่น แค่นั้นพอ
“เลขาก็เหมือนหน้าตาเจ้านาย ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องฉลาดรอบรู้ มีไหวพริบ ช่วยเจ้านายให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่มีความเสี่ยง เป็นยิ่งกว่าเสื้อเกราะกันกระสุน นั่นล่ะหน้าที่ของเลขาที่ดี อย่าเอาแต่ความรู้ที่เรียนมามาใช้อย่างเดียว สิ่งที่ต้องเจอทุกวันต่างหากคือโลกของความจริง ถ้าไม่ปรับตัว ก็กลับไปตกงาน เข้าใจไหม”
“ค่ะ บอส!”
“ป่วยได้ แต่ห้ามตายตราบใดที่งานยังไม่เรียบร้อย”
“ค่ะบอส! แล้วถ้าฉันป่วยหนักต้องแอดมิตละคะ” ยังไม่หยุดการประชดประชัน
“ถ้าเป็นไปได้ละก็...ลากเสาน้ำเกลือมา!”
“ค่า! รับทราบค่า!” รับคำด้วยเสียงลอดไรฟัน นี่ไม่ใช่งานเลขา นี่มันทาส!
มาร์คินลอบมองคนข้างๆ ริมฝีปากที่อ้าเผยอนั้นกำลังดึงดูดเขาให้เข้าหา เรื่องงานจบไป แต่เรื่องส่วนตัวยังไม่จบ!
แล้วรถคันโก้ก็จอดเลียบข้างทาง
“จอดทำไมคะ”
“โทรหาเพื่อนสิ”
“ทำไม” เธอถามด้วยใคร่รู้ เขาเลยชี้มือไปนอกตัวรถ คุณพระ! ด่านค่ะ ด่าน!
พริ้มเพราโทรหาเพื่อนสาวให้ไว ถ้ายังไหวก็ให้เปลี่ยนเส้นทางกลับ ถ้าไม่ไหวก็หาที่จอดนอนพัก มาร์คินจอดรถห่างจากจุดตรวจพอสมควร แสงไฟสีแดงวูบวาบสื่อให้รู้ว่าด่านตรวจยังไม่เลิกง่ายๆ เขามองเธอตาขวาง เอื้อมมือมาบีบปลายคางเธอด้วย
“อะไร เจ็บ”
“เมื่อกี้...ไอ้หมอนั่นทำอะไรบ้าง”
พริ้มเพราตาเบิกโต ทำไมต้องรู้สึกหวั่นๆ ทำไมต้องใจหล่นวูบไหว เธอไม่ได้ทำผิดสักนิด
“หือ? ทำอะไรคะ ไม่ได้ทำ จับมือกันเฉยๆ” ตอบแต่ไม่มองหน้า รีบหลบสายตาไปทางอื่น
“หึๆๆ ตลกแล้วพริ้มเพรา เข้าม่านรูดทั้งทีได้แค่จับมือเหรอ”
“ฮ่าๆๆ ใช่ไงคะ แหม...บอสโทรมาไวนี่นา” พูดพลางหัวเราะกลบเกลื่อน
มาร์คินยิ้มตาม ทว่าเพียงพริบตารอยยิ้มก็หุบฉับ
“เพื่อนเล่นเหรอ สารภาพมาเดี๋ยวนี้”
“โอย...บอสอ่า จะถามทำไมล่ะ ถามดีจัง ซักดีจัง เป็นเจ้านายนะคะไม่ใช่ผัว”
หมับ!
มาร์คินคว้าเอาแขนเรียว ดึงหล่อนเข้าหา โอบเอาร่างพริ้มเพราอย่างสนิทชิดเชื้อ จนกายท่อนบนของหล่อนเลื่อนมาอยู่บนเบาะเดียวกับคนขับ
“บอส? จะทำอะไร ปล่อยนะ”