วีรกรรม

1395 Words
เป็นเช้าวันจันทร์ที่ญานิศาตื่นสายเกินกว่าเวลาที่ควรจะตื่นไปร่วมครึ่งชั่วโมง Chip-หาไม่เจอแล้วไหมล่ะ!! ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาแปดโมงตรงเคารพธงชาติ แล้วนี่เธอยังทำอะไรอยู่บนเตียง เป็นวันแรกของชีวิตนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่สี่ที่เริ่มต้นได้ซวยมากเพราะฤทธิ์ร้ายแรงของยาแก้แพ้ที่กินไปตั้งแต่เมื่อคืน มันทำให้เธอหลับเป็นตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกดเลื่อนเวลานาฬิกาปลุกตั้งแต่เมื่อไร หญิงสาวตาลีตาลาน ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ความจริงน่าจะเรียกว่าเดินผ่านน้ำเสียมากกว่า ความเย็นจากน้ำพอลดอาการมึนๆ เบลอๆ ในหัวสมองผลพวงจากการ ‘เมายา’ ให้ดีขึ้นได้อาจสัก…ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เหมือนวงจรเดิมซ้ำซากที่เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้หายไปได้สักที คงไม่มีทาง ในเมื่อภูมิแพ้ผื่นขึ้นผิวหนัง แพ้อากาศ แพ้มันไปซะทุกอย่างคือโรคประจำตัว เธอคงทำได้แค่ทำใจให้ชินและยอมรับความมึนทุกครั้งที่กินยาอย่างนี้มันไปตลอดชีวิต แม้จะหวาดเสียวไม่น้อยกับการนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ฝ่าไฟแดงตรงอนุสาวรีย์ชัยโดยไร้หมวกกันน๊อก แต่พี่วินก็ช่วยเธอได้มาก หญิงสาวมาถึงหน้าประตูมหาวิทยาลัยในเวลาแปดโมงยี่สิบห้า เหลือเวลาอีกห้านาทีก่อนเข้าเรียน!! ร่างเล็กในชุดนักศึกษาถูกระเบียบทุกอย่างตรงไปที่ร้านกาแฟ ปกติเธอไม่ใช่คนพิศวาสมันมาก แต่วันนี้ระดับคาเฟอีนที่เข้มเกินปกติอย่างน้อยคงพอถ่างตาให้เธอเรียนคาบแรกผ่านพ้นไปได้โดยไม่ฟุบลงไปเฝ้าพระอินทร์แทนมองหน้าหล่อๆ ของอาจารย์ซะก่อน ใช่แล้ว ปีนี้วิชาภูมิคุ้มกันวิทยาซึ่งเป็นวิชาหลักของหลายคณะแต่เป็นวิชาเลือกเสรีของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์เอกชีววิทยาอย่างพวกเธอมีคนลงทะเบียนเรียนเกือบเต็มคลาสตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ระบบเปิด เหตุผลหลักคงเพราะปีนี้ทางคณะได้เชิญอาจารย์หมอจากคณะแพทย์ศาสตร์มาร่วมสอนด้วย นอกจากความพิเศษทางด้านวิชาการ ท่าทางเคร่งขรึมภายใต้บุคลิกอบอุ่นน่าเข้าใกล้ แค่ขึ้นชื่อว่าอาจารย์หมอ มันก็มีอิทธิพลต่อความเพ้อฝันของบรรดานักศึกษาสาวๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครจะหนุ่มหรือแก่ขนาดไหน เรื่องนักศึกษาแอบปลื้มอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว แต่สำหรับเธอต้องลงเรียนวิชานี้เพราะความจำเป็น ภูมิคุ้มกันวิทยาเบื้องต้นเป็นหนึ่งในสองวิชาเลือกเสรีที่นักศึกษาภาคชีววิทยาอย่างเธอจะเลือกได้ เพราะมีช่วงเวลาว่างจากรายวิชาหลักเพียงแค่นี้ และถ้าให้เลือกหนึ่งในสอง แม้วิชานี้จะยากกว่าแต่มันน่าสนใจตรงที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองที่มีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ เธอไม่ได้มองที่ตัวอาจารย์เป็นหลัก เพราะเอาเข้าจริงมันอาจดีต่อหัวใจ แต่ไม่ได้ดีสำหรับสวัสดิภาพเกรดเอของเธอเลยสักนิด อาจารย์จบใหม่ร้อนวิชามักออกข้อสอบยากๆ ท้าทายความสามารถนักศึกษามากกว่าอาจารย์ที่อยู่มานานและเข้าใจธรรมชาติของเด็กเสมอ เอสเฟสโซร้อนสองช็อตหวานน้อย …หญิงสาวจ่ายเงินแล้วรีบเดินออกมาเมื่อได้ของตามที่ต้องการ แต่ทันใดนั้น โครม พลั๊ก “โอ้ย” ญานิศาอุทานเมื่อข้อมือขาวๆ เปลี่ยนเป็นรอยแดงขึ้นมาในพริบตาด้วยอนุภาพความร้อนของน้ำกาแฟที่กระฉอกออกมาจากแก้ว อีกความรู้สึกหนึ่งที่วาบขึ้นมาติดๆ กันคือมึนหัวไปหมด คล้ายกับตัวเธอไปเดินชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ชน… มีบางส่วนของกาแฟ อาจจะสักครึ่งแก้วที่หกลงบนพื้น ส่วนที่เหลือ… ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่า ญานิศาหลับตาบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ทั้งที่ตอนนี้มันตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อย รองเท้าหนังสีดำมันปราบ ช่วงขายาวภายใต้กางเกงสแล๊กสีดำสนิทที่เธอเห็นแวบๆ เมื่อกี้ สาวน้อยเงยหน้าแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สายตาของเธออยู่แค่ระดับอกของเขา แต่นั่นก็มากพอให้เธอเห็นป้ายคล้องคอบอกชื่อและตำแหน่งว่าเขาอยู่ในสถานะอะไร ซวยแล้วไงยัยมิ้ม ญานิศามองตัวอักษรสีดำสองคำอ่านได้ว่า ‘อาจารย์’ ที่เด่นชัดกว่าตัวอื่นๆ บนป้าย ตอนนี้อย่าว่าแต่ตาตุ่ม หัวใจเธอหล่นไปที่ปลายเท้าเรียบร้อย สาวน้อยสูดหายใจลึกมองคราบกาแฟบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเรียบกริบ แค่เธอโดนกระเด็นใส่ข้อมือยังรู้สึกร้อนขนาดนี้ แทบไม่ต้องคิดเลยว่าคนที่โดนเต็มๆ ไปบนแผงอกเกือบครึ่งแก้ว จะทั้งแสบทั้งร้อนจนเลือดขึ้นหน้าขนาดไหน …เพราะความสะเพราะรีบจนไม่ดูตาม้าตาเรือของตัวเธอเอง ถึงอยากก้มลงไปหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีและเสียเวลาเปล่า สายตาสำนึกผิดค่อยๆ เงยขึ้นไปมองสบกับแววตาเครียดขรึมของผู้เสียหาย คนที่เธอตัวสูงแค่บ่า เขามองมาอยู่ก่อน แววตาคู่นั้นนิ่งขรึมแต่ฉายชัดถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “นี่ผมต้องขอโทษคุณด้วยหรือเปล่า” “หนูขอโทษค่ะ” ญานิศายกมือไหว้ ไม่โกรธเลยสักนิดกับน้ำเสียงตำหนินั้น ความจริงเธอควรรับผิดชอบ อย่างน้อยก็ขอโทษเขากับการกระทำของตัวเองเสียต้องแต่แรก เพราะความซุ่มซ่ามไม่ระมัดระวังของเธอจึงทำให้เขาต้องเดือดร้อน แต่เพราะความตกใจ ทำให้ลืมทำในสิ่งที่ควรทำจนต้องโดนดุซ้ำสอง “หนูยินดีรับผิดชอบนะคะ” เสียงแผ่วบอกออกไป ทั้งที่จะรับผิดชอบเขาได้ยังไงเธอก็ยังไม่รู้ คนหนึ่งเอาแต่ก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด กับอีกคนที่เธอคิดว่าเขาจะโมโห ดุว่า หรือทำอะไรมากกว่านี้ แต่เขากลับทำเพียงแค่มอง… มองด้วยสายตาที่เธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ญานิศาประหม่าจนไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกลั้นหายใจอยู่หรือเปล่า “ผมคิดว่ามันไม่จำเป็น” ในที่สุดเขาก็พูด คำปฏิเสธของเขาไม่ได้ทำลายความอึดอัดจากความเงียบที่ปกคลุมอยู่ระหว่างคนสองคนหรือทำให้เธอสบายใจขึ้น ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งอึดอัดเข้าไปอีก อึดอัดและกลัว เธอกลัวเสียงขรึมๆ และสายตาดุๆ คู่นั้น “ผมจะไม่ถามว่าคุณไปทำอะไรมาถึงได้แบ่งเวลาไม่ถูก แต่ถ้าหน้าที่นักศึกษาแค่มาเรียนให้ตรงเวลายังรับผิดชอบไม่ได้ คุณควรพิจารณาตัวเอง” “ค่ะ” สาวน้อยรับคำ ก้มหน้ามองปลายเท้า การโดนตำหนิท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและเริ่มหันมาสนใจมอง ตอนนี้ญานิศาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอย่างไรกันแน่ ไม่ควรโกรธเขา แต่เธอก็โกรธ เพราะเขาไม่สนใจถามเหตุผลของเธอ แต่กลับตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรงซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ริมฝีปากบางเม้มแน่น ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาคมกริบ เธอยอมรับแต่ไม่ยอมรับ ดลวัฒน์มองคนเอาแต่ก้มหน้านิ่ง เลยไปถึงจมูกรั้นๆ และดวงตากลมที่บ่งบอกว่าเจ้าของเป็นคนดื้อเงียบขนาดไหน “คุณชื่ออะไร” อาจารย์หนุ่มถาม “ญานิศาค่ะ” คนตอบเงยหน้าขึ้นมามอง เธอเห็นเขาทำเพียงพยักหน้ารับรู้ ในเสี้ยววินาทีที่สบกับดวงตาคมปราบคู่นั้น สายตาแบบนี้หรือเปล่าที่เหมาะนักกับการเป็นอาจารย์ สายตาเรียบเก็บอารมณ์ได้ทุกอย่างแต่ก็ดุขรึมเด็ดขาดเกินกว่าจะคิดต่อกลอน เธอชอบอ่านหนังสือจิตวิทยา แล้วเอามาสังเกตพฤติกรรมเพื่อนๆ แต่เดาอะไรไม่ออกจากดวงตาเข้มขรึมของเขา “แล้วผมจะจำเอาไว้” จำ… แล้วจะจำไปเพื่ออะไร คำพูดทิ้งท้ายเหมือนท้าทาย เขาหันหลังเดินจากไปแล้ว เหลือแต่เธอที่ยังยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังกว้าง …แล้วบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัวอะไรกับคำขู่ของเขา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD