อาจารย์คนใหม่

1933 Words
ชีวิตนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของญานิศาในสองสัปดาห์แรกผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถึงงานเยอะแต่ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง จะมียุ่งยากหน่อยก็วันนี้ที่เธอจำเป็นต้องตื่นเช้ากว่าปกติ นอกจากการมาเข้าเรียนวิชาภูมิคุ้มกันเบื้องต้นให้ทันในเวลาเก้าโมงเพื่อฟังแลกเชอร์ในสองชั่วโมงแรกและทำแลปในชั่วโมงหลัง วันนี้เธอยังต้องรีบมาจองที่นั่งแถวหน้าสุดให้ทันตั้งแต่แปดโมงครึ่ง เพราะข่าวแพร่สะพัดเกี่ยวกับตัวอาจารย์ที่จะมาสอน อาจารย์นายแพทย์ดลวัฒน์ อัฎฐกรเมธา เป็นชื่อที่เอมิกาเพื่อนสนิทของเธอพร่ำเพ้อให้ฟังตั้งแต่ได้รับคอสสิริบัสและเห็นว่ามีชื่อใครเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้สอนด้วย ยัยเอมดูเป็นเอาหนักมากๆ เหมือนกับตอนนี้ที่เสียงกระซิบกระซาบอย่างตื่นเต้นของเพื่อนทำให้เธอต้องอมยิ้มส่ายหน้า “หล่อระดับไฮเดฟฟินิชั่น ถึงจะถือตัว ดูขรึมๆ ดุๆ ไปหน่อย แต่อย่างนี้ล่ะน่าค้นหา พระเอกนิยายหลุดออกมาชัดๆ” คำพูดกับนัยน์ตาเพ้อฝันของเพื่อนทำเอาคนมองหลุดหัวเราะจนถูกมองค้อน ถึงชอบอ่านนิยายชวนฝัน แต่เอาเข้าจริงเธอก็ไม่รู้หรอกว่าพระเอกนิยายถ้าหลุดออกมาในโลกของความเป็นจริงแล้วจะหน้าตายังไง ตอนอ่านก็นึกได้แค่ว่า… คงหล่อมากๆ ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง อีกสิบนาทีจะถึงเวลาเข้าเรียน บรรยากาศภายในห้องบรรยายแอลศูนย์สองวันนี้ดูคึกคักมากกว่าทุกวันโดยเฉพาะแถวหน้าซึ่งปกติมักไม่มีใครอยากมานั่ง ระหว่างรออาจารย์เธอก็ฆ่าเวลาโดยการนั่งฟังยัยเอมเล่าต่ออย่างชวนฝัน เพื่อนเล่าด้วยความเพ้อถึงตอนที่ซุ่มซ่ามเดินเอาขาไปนาบท่อร้อนๆ ของรถมอเตอร์ไซด์ แล้วแพทย์ที่ลงตรวจคลินิกสวัสดิการนักศึกษาวันนั้นเป็นคนหล่อ ‘ระดับไฮเดฟฟินิชั่น’ วันนั้นเธอจำได้ว่ายัยเอมขากะเพลกกลับมาพร้อมยาถุงใหญ่มาก มากจนเธอแอบค่อนคอดคนสั่งยาว่ามากเกินความจำเป็นหรือเปล่า แต่เพื่อนเธอดูจะเป็นปลื้มเอามากๆ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็สมัครเข้าชมรมเอฟซีดอกเตอร์ดลวัฒน์อย่างเป็นทางการ เขาเป็นอาจารย์ที่เธอเคยฟังกิตติศัพท์ทั้งทางด้านความเก่ง ความเฮี้ยบ โดยเฉพาะความหล่อมาจากเพื่อน แต่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เลยสักครั้ง อาจเพราะไม่คิดสนใจ หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่… เสียงพูดคุยจอแจในห้องเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท เมื่อประตูห้องบรรยายถูกผลักเข้ามา ตอนนี้สายตาทุกคู่คงพุ่งไปยังเจ้าของร่างสูงเกินหกฟุต หมอเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า ชอบใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน หนังสือจิตวิทยาที่ชอบอ่านทำให้เธอเผลอคิดว่าในความสีฟ้าอ่อนนั้นมันมีอะไรแอบแฝงอยู่ไหม… อาจทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่นและสงบ ทั้งยังดูภูมิฐานน่าเชื่อถือไปในคราวเดียวกัน แต่อยู่ๆ ความคิดที่ล่องลอยไปไกลก็ถูกกระชากให้กลับมาอยู่ที่เอกสารประกอบการสอนตรงหน้าแทบไม่ทัน ญานิศาก้มหน้าก้มตาพลิกเปิดดูคร่าวๆ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เพราะเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนทำให้เธอนึกถึงคราบกาแฟขึ้นมา กาแฟร้อนที่ทำหกใส่อกใครบางคน ป่านนี้ไม่รู้ถ้าเขาเป็นแผลแล้วจะหายสนิทดีหรือยัง ญานิศาเสมองข้อมือตัวเอง แต่แรงสะกิดด้วยความตื่นเต้นจากมือของเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองคนหล่อระดับไฮเดฟฟินิชั่น มันไฮเดฟฟินิชั่นจริงๆ เพราะตำแหน่งที่เธอนั่งอยู่คือแถวหน้าสุดแถมเป็นตรงกลาง ตรงนี้เธอคิดว่าถ้าอาจารย์ที่นั่งสอนอยู่บนเวทีคิดจะมองใครเพื่อตอบคำถามหรืออะไรก็ตามสักคน เธอนี่ล่ะสมควรโดนเรียกเป็นคนแรกเพราะอยู่ตรงกับตำแหน่งสายตาของเขามากที่สุด สาวน้อยสูดหายใจลึก ก้มหน้าหลบตาทันทีเมื่อสายตาคมกริบของอาจารย์มองมา ก่อนเขาจะกวาดสายตาไปทั่วๆ ห้อง เป็นครั้งแรกที่เธอนึกเกลียดความกลมเกินไปของโลกใบนี้ Dolawatt Attakornmeta , M.D Ph.D (allergy and immunology) คำต่อท้ายชื่อด้วยดีกรีแพทย์และปริญญาเอกเฉพาะทางด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาที่เขาจบคงทำให้ยัยเอมพร่ำเพ้อเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบๆ เท่า แต่ต่างจากตัวเธอโดยสิ้นเชิง ญานิศาลอบสูดหายใจลึก เป็นเวลาร่วมนาทีกว่าสาวน้อยจะรวบรวมสติเพื่อเงยหน้าขึ้นมาสนใจเรียน โดยพยายามไม่สนใจหน้าและสายตาดุๆ ของอาจารย์ผู้สอน ภาวนาให้เขาจำเธอไม่ได้ แม้ว่าในความจริงจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม!! หลังจากฟังความรู้ทางวิชาการในภาคบรรยาย บรรยากาศในห้องแลปในชั่วโมงต่อมา นักศึกษาต่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น โดยเฉพาะพวกที่ไม่ใช่สายสุขภาพ พวกนักศึกษาวิชาเลือกอย่างเพื่อนๆ ของเธอที่ดูจะตื่นเต้นและตั้งใจเป็นพิเศษกับการลองปฏิบัติตรวจหมู่เลือดให้เพื่อนและตัวเองจริงๆ เป็นครั้งแรก หยดเลือดบนสไลด์สองหยดให้ห่างกัน หลังจากนั้นหยดแอนติบอดี A ที่เลือดหนึ่งหยด และแอนติบอดี B ที่เลือดที่เหลืออีกหนึ่งหยด ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยเลือดผสมกับแอนติบอดี และดูการเกิดตะกอน หมู่เลือด O จะไม่เกิดการตกตะกอนกับแอนติบอดีทั้งสองชนิด ตรงกันข้ามกับหมู่เลือด AB ที่จะตกตะกอนแอนติบอดี้ทั้ง A และ B ตามแอนติเจนที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง… เป็นทฤษฏีที่ญานิศาจำได้แม่น ถึงยังไม่เข้าใจแต่เธอพยายามจำมาก่อน เธอไม่อยากพลาดเกรดสามจุดห้าและเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หญิงสาวจึงตั้งใจเรียนทุกวิชาเสมอแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัด ความจริงแค่ทฤษฏีมันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ถ้าแลปวันนี้อาจารย์ไม่ได้มีคำสั่งให้ผลัดกันเจาะเลือดตรวจทุกคน และจะมีสอบประเมินท้ายคาบพร้อมส่งรายงาน “มิ้มแกไหวไหม ทำไมหน้าซีด” เอมิกาซึ่งอยู่กลุ่มแลปด้านหน้าแต่เผอิญเดินผ่านมาเข้าไปทักด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าอมชมพูเป็นธรรมชาติที่เคยอิจฉานักหนาของเพื่อนตอนนี้เปลี่ยนเป็นซีดเผือด จากยืนได้พอมีคนมาจี้จุด ร่างเล็กในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ยาวสำหรับทำการทดลองจึงอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่ง เอมิกาตอนนี้วุ่นวายกับการเดินไปตามหายาดมจากเพื่อนโต๊ะอื่นๆ เธอไม่ได้กลัวเลือดขนาดเห็นเลือดแค่สองสามหยดแล้วจะเป็นลม แต่นั่นเป็นข้อยกเว้นถ้าเลือดสองสามหยดนั่นจะหยดออกมาจากปลายนิ้วที่ถูกทิ่มด้วยเข็มชนิดปลายปากกา ให้ใช้เข็มใหญ่ๆ แล้วดูดเลือดไปเป็นหลอดซะยังดีกว่า เธอเกลียดความรู้สึกปวดแปลบยามปลายเข็มเล็กทิ่มลงบนเนื้อ เกลียดความเจ็บระบมยามต้องบีบเคล้นแล้วเคล้นอีกให้เลือดออกมา เกลียดการนอนหลับอยู่ดีๆ แล้วต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแบบนี้ซ้ำๆ ซากๆ การป่วยเป็นไข้เลือดออกเมื่อตอนเจ็ดขวบ และต้องเจาะเลือดปลายนิ้วทุกสองชั่วโมงเพื่อนำไปตรวจความเข้มข้นของเลือดประเมินภาวะการเลือดข้นจากการขาดน้ำ เธอยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี มันติดอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้ เพื่อนในกลุ่มได้เลือดและผลหมู่เลือดกันครบทุกคน เหลือเพียงญานิศาที่ยังไม่ได้ เพราะถูกจับกลุ่มเรียงตามตัวอักษรแรกของชื่อจริง ทำให้เธอเไม่ได้อยู่กับเพื่อนสนิทหรือเพื่อนที่มาจากคณะเดียวกัน พาร์ทเนอร์ชายของเธอที่มาจากคณะสายสุขภาพมองด้วยแววตาไม่เข้าใจกึ่งๆ รำคาญ ถึงไม่พูดแต่เธอมองออกว่าเขากำลังมองว่าเธอเป็นตัวถ่วง สายตาคู่นั้นผ่านเธอไปด้านหลัง แววตาทั้งเหมือนดีใจ โล่งใจ และฟ้องอยู่กลายๆ ทำให้คนหน้าซีดต้องหันกลับไปมองตาม เอมิกาเดินกลับมาพร้อมเจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็กสีเข้ม คนที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุด หัวคิ้วเข้มบนใบหน้าคมคายสะอาดสะอ้านขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาดูไม่แปลกใจกับอาการของเธอ ในทางตรงข้ามกลับเหมือนไม่พอใจคำฟ้องกลายๆ ที่ออกจากปากพาร์ทเนอร์แลปของเธอมากกว่า “ญานิศาเงยหน้าขึ้นมาก่อน แล้วมองผม” เสียงนั้นอยู่ใกล้เพราะเขาโน้มตัวเข้ามาหา คนถูกเรียกชื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วทำตามที่เขาสั่ง ในวินาทีที่ดวงตาคมคมเข้มสบกลับมาราวต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง จากสติอยู่ไม่ครบดีอยู่แล้วคนถูกมองยิ่งใจหวิวเข้าไปอีก “พยายามหายใจลึกๆ เข้าไว้นะ นั่นล่ะ ดีมาก พอบอกผมได้ไหมว่าอึดอัด หายใจไม่ออก หรือไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า” เขาถาม เสียงเข้มขรึมฟังดูอ่อนลงไปมากเมื่อเทียบกับวันที่เธอเจอเขาแล้วทำกาแฟหกใส่ครั้งแรก สายตาคมสบลึกเข้ามาในดวงตา ญานิศาเผลอกระตุกข้อมือเล็กน้อยด้วยความตกใจตอนถูกมือเรียวใหญ่ฉวยไปจับเอาไว้ดื้อๆ ให้ตายเถอะยัยมิ้ม คิดอะไรของแก เขามองตาก็แค่ตรวจม่านตาว่ายังปกติหรือเปล่า แล้วหยุดได้ไหมไอ้อาการใจเต้นแรง โดนจับข้อมือตรวจชีพจรอยู่อย่างนี้ มีหวังโดนจับได้พอดีว่าตื่นเต้น เธอเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าถ้าสลัดอคติที่มีต่อเขาและความกลัวออกไป อาจารย์หมอดลวัฒน์นี่หล่อบาดใจระดับไฮเดฟฟินิชั่นแบบที่ยัยเอมว่าจริงๆ เขาตรวจคนไข้คนไหนมีหวังได้หัวใจวายตายแน่ๆ เป็นสาวน้อยที่ต้องแสร้งหลับตาเสียเอง ดีที่เขาไม่ได้ว่าอะไร คงเข้าใจว่าเธอคงกำลังยังมึนอยู่ “ปล่อยให้นักศึกษาเป็นลมแบบนี้ได้ยังไง คุณเป็นผู้ช่วยสอนทำไมไม่รู้จักสังเกตเด็ก” เสียงเรียบเข้มแต่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ขนาดเธอหลับตายังรู้ว่าคนถูกดุคงหน้าเสียไปแล้ว ดีที่เสียงขรึมนั้นไม่หันกลับมาดุเธอด้วย คนหลับตาใจชื้นขึ้นเป็นกองเมื่อได้ยินเขาสั่งให้ผู้ช่วยสอนสองสามคนที่เป็นผู้หญิงมาพาตัวเธอไปห้องพยาบาล แต่เพราะพะวงเรื่องคะแนนจากภาคปฏิบัติที่เธอยังไม่ได้ลงมือทำอะไรแล้วอาจไม่ได้เท่าเพื่อนๆ ญานิศาจึงพยายามฝืนลืมตาขึ้นมาเพื่อจะถาม แต่ยังไม่ทันได้พูด แววตาเป็นกังวลของเธอคงฟ้องออกไปหมดแล้ว และเหมือนคนเป็นอาจารย์จะรู้ทัน คราวนี้เป็นคนไม่เจียมสังขารที่โดนดุบ้าง คำดุของเขาทำให้สาวน้อยต้องก้มหน้างุดไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เธออับอายสายตาเพื่อนๆ ที่มองมากับคำดุราวกับเธอเป็นเด็กที่พูดไม่รู้เรื่องของเขา “ห่วงแต่คะแนนไม่ห่วงตัวเอง ถ้ายังดื้ออยู่แบบนี้ ผมจะให้ทีเอไปเอาไม้เรียวมาแล้วปรับตกให้ไม่มีสิทธิ์สอบ คุณจะเอาอย่างนั้นใช่ไหม… ญานิศา”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD